Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 654 : นักโทษและผู้คุม

ราชันเร้นลับ 654 : นักโทษและผู้คุม

บ้าน่า… เรายังไม่ทันได้ไปไหนเลย… ความซวยมีขาแล้วเดินมาหาถึงที่ได้รึไง? ไคลน์เผยรอยยิ้มซึ่งไม่เข้ากับมาดเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ขณะเดียวกันก็เกือบหลุดหายใจออกมาเสียงดัง

สิ่งที่คอยยับยั้งมิให้มันทำเช่นนั้นก็คือ หากตนเคลื่อนไหวมากเกินไป อาจทำให้ ‘ความซวย’ ค้นหาที่ซ่อนพบ!

เนื่องจากมิใช่เหยี่ยวราตรีอ่อนประสบการณ์เฉกเช่นอดีต ชายหนุ่มตัดสินใจกลั้นลมหายใจและลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ย่างกรายไปทางกรงเหล็กด้วยความเงียบเชียบ สายตาเหลืองมองทิศต้นทางของเสียงฝีเท้า

มันเชื่อว่าการซ่อนตัวอย่างเดียวคงไม่ใช่เรื่องดี จำเป็นต้องตรวจสอบแหล่งอันตรายควบคู่ไปด้วย จากนั้นค่อยคิดหาทางออกที่ดีที่สุด!

ด้วยพระอาทิตย์ขนาดย่อส่วนในดวงตา ไคลน์หยุดรอหลายสิบวินาที ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าทวีความหนักและแจ่มชัด มาพร้อมเสียงประตูเหล็กที่ถูกผลักออกไปชนผนัง

เพียงไม่นาน มันเห็นเงารางสูงใหญ่จากฝั่งขวามือของทางเดิน

ร่างดังกล่าวสูงเกือบสองเมตรครึ่ง สวมชุดเกราะสีดำสนิทปกปิดทุกส่วน มอบความรู้สึกเย็นยะเยือกคล้ายกับอัศวินคนยักษ์

อัศวินลึกลับอำพรางตัวตนอย่างมิดชิด เงียบงันประหนึ่งท้องทะเลลึก แผ่แสงสีแดงเข้มสองจุดในตำแหน่งของดวงตา ในมือถือดาบยาวใหญ่สีดำสนิท

เคร้ง!

อัศวินผลักประตูเหล็กห้องขังและเดินเข้าไป ตามด้วยการหมุนตัวค้นหาบางสิ่ง

ฟู่ว… กำลังมองหานักโทษหรือไง? อีกไม่นานคงเจอตัวเราแน่… ไคลน์เริ่มลังเลระหว่าง อาศัยตอนที่อีกฝ่ายยังอยู่ห่าง รีบหนีออกจากห้องขังอย่างเงียบเชียบไปอีกทาง หรือเปิดฉากโจมตีก่อนอย่างหนักหน่วงเพื่อกำจัดอีกฝ่ายโดยเร็ว จากนั้นค่อยกลับมานั่งรอที่เดิมจนกระทั่งความฝันจบลง

เมื่อประเมินว่าตนยังเหลือเวลาตัดสินใจอีกสักพัก ไคลน์ปลดจี้บุษราคัมจากข้อมือซ้ายและเริ่มทำนายด้วยเสียงแผ่วเบาซึ่งมีเพียงตัวเองได้ยิน

“อัศวินตนนี้แข็งแกร่งมาก”

หลังจากทวนครบเจ็ดครั้งภายในเวลาอันสั้น ไคลน์ลืมตาขึ้นและเห็นจี้บุษราคัมหมุนในทิศทางตามเข็มนาฬิกา รัศมีการหมุนค่อนข้างกว้างและมีความเร็วสูงมาก

หรือก็คือ อีกฝ่ายคือตัวตนที่อันตรายยิ่งยวด!

โดยปราศจากความลังเล หรืออาจเรียกว่าไม่เหลือเวลาให้ลังเล ไคลน์เปิดใช้งานพลังพิเศษของ ‘ตัวตลก’ เพื่อควบคุมมัดกล้ามเนื้อเพื่อเปิดประตูเหล็กโดยไม่ให้มีการเคลื่อนไหวส่วนเกิน

ถัดมา ชายหนุ่มฉวยโอกาสในจังหวะที่อัศวินเกราะดำเข้าไปในห้องขังอื่น ลอบย่างกรายออกมาตามทางเดินด้วยเสียงแผ่ว ส่งตัวเองไปทางซ้ายมือด้วยความเร็วสูง

ท่ามกลางความมืด ขณะโสตประสาทกำลังดักฟังความเคลื่อนไหวจากด้านหลัง มันพยายามรักษาสมดุลระหว่างความเร็วและความเงียบ ก่อนจะหักเลี้ยวและตรงไปถึงหน้าประตูเหล็กบานหนึ่งซึ่งสงสัยว่าจะเป็นทางออก

หลังจากทดสอบผลักและดึงเล็กน้อย ไคลน์พบว่าบานประตูมีน้ำหนักค่อนข้างเบา เพียงแต่ถูกลงกลอนไว้โดยใครบางคน

ผ่านไปสองวินาที มันหยิบกุญแจที่เก็บได้ในห้องแรก เสียบเข้าไปในรูกุญแจและบิดหมุนโดยไม่คาดหวังมากนัก

เกิดเสียง ‘กริ๊ก’ แผ่วเบา กลอนประตูถูกไขออกทันที

สำเร็จด้วยหรือ… แม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่คงไม่ใช่กุญแจทุกดอกที่ไขได้ เราบังเอิญหยิบของสำคัญติดมือมาด้วย… เดิมที เรามีแผนจะสอดกระดาษเข้าไปในช่องระหว่างประตู จากนั้นก็บรรจงตวัดทีละนิดเพื่อคลายกลอนออก… ไคลน์ที่รำพันกึ่งสับสน ตามด้วยการผลักประตูเหล็กออกอย่างเชื่องช้า

แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะด้านหลังบานประตูเหล็กมิใช่ทางออก หากแต่เป็นห้องโถงที่เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้จำนวนมาก

หลังจากผ่านเข้าไปและปิดประตูลงกลอนปิดตามเดิม ไคลน์เดินข้ามกองสิ่งของที่วางระเกะระกะพลางมองหาประตูหรือทางออก

ถัดมาไม่กี่วินาที มันพบประตูไม้สีดำที่กลมกลืนไปกับมุมห้อง จึงเดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวังและวางมือลงบนด้ามจับ

เฉกเช่นทุกครั้ง ฉากด้านหลังประตูผุดขึ้นในนิมิตลางสังหรณ์ ด้านในเป็นห้องเก็บของ ฝั่งซ้ายมีกระจกเงาเต็มบาน ส่วนฝั่งขวามีเงารางของใครบางคนในเสื้อคลุมลินิน

มีใครบางคนอยู่ข้างใน? นักโทษที่หลบหนีสำเร็จ? หลังจากถูกบีบให้ต้องออกจากเขตปลอดภัย ไคลน์ตระหนักว่าตนเหลือทางเลือกไม่มากนัก จึงบรรจงบิดกลอนและผลักประตูไม้สีดำเข้าไป

มันต้องการทราบสถานการณ์ปัจจุบันให้แน่ชัด จะได้ตัดสินใจถูกว่าควรหลบหนีหรือเปิดหน้าสู้ในจังหวะสำคัญ

“ใครกัน?” บุคคลในชุดคลุมลินินเอ่ยปากถามอย่างร้อนรนแต่แผ่วเบา น้ำเสียงแฝงความสิ้นหวังเจือเจ็บปวด

“นักผจญภัย” ไคลน์ตอบห้วน

อาศัยดวงตาที่สามารถมองเห็นในความมืด ไคลน์รีบสำรวจอย่างละเอียด

ใบหน้าของอีกฝ่ายเหี่ยวย่นราวกับถูกลมฝนกัดกร่อน มีริ้วรอยร่องลึกบนหน้าผาก ข้างขอบตา และข้างริมฝีปาก แต่เส้นผมกลับยังสีดำเงางามปราศจากหงอกขาว

เสื้อคลุมลินินเป็นแบบเรียบง่าย สีหน้ากำลังบิดเบี้ยวคล้ายเจ็บปวด ภายในดวงตาสีดำสนิทซึ่งหาพบได้ยาก กำลังแฝงความประหลาดใจเจือฉงนโดยไม่ปิดบัง

“นักผจญภัย? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

ไคลน์ยังคงรักษาระยะห่างจากบุคคลที่ตนไม่ทราบว่าอ่อนหรือแก่กว่า เพียงยืนอยู่หน้าประตูและประสานสายตา

“ตามมารยาทแล้ว ก่อนจะถามสิ่งใดเพิ่ม ควรแนะนำตัวเองก่อนไม่ใช่หรือ”

ในฐานะผู้ไร้หน้า เพียงมองอย่างผิวเผินก็พบจุดเด่นบนใบหน้าอีกฝ่ายได้ชัดเจน นอกเหนือจากริ้วรอยและสีผมที่ขัดแย้งกัน บนแก้มยังมีรอยแผลเป็นที่เก่าและน่าหวาดเสียว

ชายลึกลับผงะเล็กน้อย สายตาชำเลืองไปยังห้องโถงอย่างเป็นกังวล

“รีบปิดประตูก่อน พวกเราจะถูกเจ้าปีศาจนั่นพบตัวไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น…”

กล้ามเนื้อใบหน้าของมันพลันกระตุกสองหนจนเห็นได้ชัด คล้ายกับฉุกคิดถึงเหตุการณ์เลวร้าย

“ปีศาจ?” ไคลน์โพล่งเสียงแผ่วพลางเลื่อนมือปิดประตูไม้สีดำ

บุรุษลึกลับเผยสีหน้าโล่งใจพร้อมกับยิ้มขื่นขม

“ต้องขอโทษด้วย เมื่อครู่เสียมารยาทไปนิด… ข้าชื่อเลโอมาสต์ เป็นนักบวชจากองค์กรทางศาสนาแห่งหนึ่ง”

“องค์กรทางศาสนา? จากที่ได้ยิน คงไม่ใช่สาวกของหนึ่งในเจ็ดโบสถ์หลักสินะ” ไคลน์พบความผิดปรกติของการเลือกใช้ถ้อยคำ

หากอีกฝ่ายเป็นนักบวชของหนึ่งในเจ็ดเทพจารีต คงไม่เขินอายที่จะเปิดเผยตัวตนอย่างตรงไปตรงมา เพราะถึงแม้จะเป็นโบสถ์ที่มีข้อพิพาทรุนแรงต่อกันอย่างสุริยันและวายุสลาตัน ก็คงไม่คิดซัดหน้ากันทันทีท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้

เลโอมาสต์หัวเราะแห้ง

“ถูกต้อง ข้านับถือพระผู้สร้างต้นกำเนิด พระองค์คือมหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง พระองค์คือต้นกำเนิดของความยิ่งใหญ่ทั้งมวล พระองค์คือจุดเริ่มต้น ขณะเดียวกันก็เป็นจุดจบ พระองค์คือมหาเทพแห่งเหล่าทวยเทพทั้งปวง”

อย่าบอกนะว่า… หลังจากได้ยินอีกฝ่ายเผยตัวว่าเป็นสาวกของพระผู้สร้างต้นกำเนิด ชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวไคลน์ก็คือ ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’

ไม่แน่เสมอไป… บนทวีปเหนือและใต้ยังมีนิกายเล็กอีกหลายแห่งที่นับถือพระผู้สร้างต้นกำเนิด จำนวนสาวกรวมกันนับว่ามีไม่น้อย… ไคลน์ใคร่ครวญสักพักก่อนถาม

“องค์กรชื่ออะไร… แล้วนายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

เลโอมาสต์ลังเลสักพัก

“พระองค์ท่านที่ข้านับถือ กำลังหลับใหล ณ สุดเขตตะวันออกของทะเลโซเนีย ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งบนดินแดนดังกล่าว ข้าเดินทางมาที่นี่พร้อมกับคณะจาริกแสวงบุญ โดยหวังจะได้สัมผัสปาฏิหาริย์และไถ่บาปให้ตัวเอง… บางที นี่อาจเป็นบททดสอบที่มิอาจหลีกเลี่ยง พวกเราถูกเจ้าปีศาจนั่นพบตัวและตายไปทีละคนสองคน… ในภายหลัง ข้าฉวยโอกาสหนีออกจากห้องขังและซ่อนตัวอยู่ที่นี่ รอจนกว่าปีศาจจะจากไป”

ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก

“ปีศาจตนนั้นมีชื่อว่าอะไร ลักษณะเด่นของมันเป็นยังไง”

“เจ้านั่นน่ะหรือ…” เลโอมาสต์ส่ายหัวและกล่าวด้วยสีหน้าเจือความสับสน “ข้าไม่รู้จักชื่อ แต่กลุ่มคณะแสวงบุญหลายคนเรียกมันว่า ‘นักบุญมืด’ ”

นักบุญมืด? ครึ่งเทพ? ที่นี่คือความฝันของเลโอมาสต์หรือครึ่งเทพกันแน่? เมื่อประเมินจากผลการทำนาย โอกาสเป็นอย่างหลังมีสูงกว่า ไม่อย่างนั้น จี้บุษราคัมคงไม่เตือนว่าอีกฝ่ายคือบุคคลอันตรายอย่างยิ่งยวด… ขณะไคลน์เตรียมถามเลโอมาสต์ว่าเขาสังกัดองค์กรใด รวมถึงถามเกี่ยวกับพลังพิเศษของ ‘นักบุญมืด’ มันบังเอิญเหลือบไปเห็นกระจกเงาเต็มบานฝั่งตรงข้ามนักบวช

ในเชิงศาสตร์เร้นลับ กระจกเงาคืออีกหนึ่งอุโมงค์เชื่อมต่อกับโลกเหนือธรรมชาติ มีหลายครั้งที่นำมาซึ่งอันตรายร้ายแรง ไคลน์ผู้ตระหนักว่าตนอยู่ในความฝันอันน่ากลัว รีบเดินไปยังทิศทางดังกล่าวอย่างระมัดระวังและเตรียมใช้พลัง ‘นักบวชแสง’ เพื่อทำลายวัตถุชิ้นนี้

“ย…หยุดนะ!” คล้ายกับเลโอมาสต์อ่านความคิดไคลน์ออก มันรีบคำรามต่ำด้วยสีหน้าแววตาหวาดกลัว “ถ้าไม่มีมัน ข้าจะ… ข้าจะตายทันที!”

หือ? ไคลน์หันไปจ้องกระจกเงาอีกครั้งด้วยสีหน้าฉงน

แม้บรรยากาศจะมืดมาก แต่ก็พอจะเห็นสองบุคคลที่ถูกสะท้อนบนผิวกระจก หนึ่งคือเลโอมาสต์ผู้มีผมสีดำขลับและเต็มไปด้วยริ้วรอย ส่วนอีกหนึ่งคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เจ้าของใบหน้าผอมเพรียว ผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล และสวมหมวกแก๊ป

ทันใดนั้น ขณะไคลน์มิได้ขยับเขยื้อนร่างกาย เกอร์มัน·สแปร์โรว์ในกระจกกลับค่อย ๆ หันศีรษะมาหาพร้อมกับเผยรอยยิ้มดำมืด!

ในวินาทีนี้ ผิวกระจกเกิดการกระเพื่อม มือข้างหนึ่งสอดยื่นออกมา

เพียงไคลน์กะพริบตา เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ดูเหมือนตนราวกับแกะ เริ่มคืบคลานออกจากกระจกเงา ใบหน้าซึ่งกำลังฉาบด้วยอารมณ์มืดมน สามารถมองเห็นได้อย่างแจ่มชัดแม้นบรรยากาศโดยรอบจะมืดสนิท

น่ากลัวฉิบ… แต่โชคดีที่เราตัวจริงไม่เหมือนกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์สักเท่าไร ของแค่นี้จึงไม่มากพอจะทำให้กลัว… หากเป็นโจวหมิงรุ่ยโผล่ออกมา เกรงว่าคงได้สะดุ้งจนตื่น… ไคลน์จ้องอีกฝ่ายด้วยมาดองอาจสุขุม มือซ้ายยกขึ้นพร้อมกับส่องแสง

เกอร์มัน·สแปร์โรว์ฝั่งตรงข้ามเองก็ยิ้มและยกมือซ้ายเช่นเดียวกัน แต่แสงที่แผ่ออกมานั้นเจือกลิ่นอายชั่วร้ายท่ามกลางความมืด

นี่คือลักษณะเด่นของพลัง ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’

หืม… ร่างโคลน? ไคลน์ขบคิดครู่หนึ่ง ตามด้วยการยกแขนขวาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

ทันใดนั้น มือของมันพลันถือคทาสั้นสีขาวน้ำนมที่ไม่มีใครทราบว่าโผล่จากไหน หัวคทาเลี่ยมด้วย ‘อัญมณี’ สีน้ำเงินแวววาว

คทาเทพสมุทร!

แม้นว่าพฤติกรรมในความฝันจะต้องสอดคล้องกับหลักเหตุและผลจึงจะประสบความสำเร็จ แต่ไคลน์เชื่อว่าโลกความฝันมายาแห่งนี้มิอาจกีดขวางพลังของห้วงมิติเหนือหมอกเทาได้ จึงลองลัดขั้นตอนด้วยการหลอกตัวเองว่า คทาเทพสมุทรถูกเก็บไว้สักแห่งภายในโลกวิญญาณ และตนสามารถนำออกมาใช้งานได้ทุกเมื่อ

ไคลน์โล่งใจเมื่อได้เห็นการทดลองสำเร็จลุล่วง เป็นไปตามที่มันคิดทุกประการ โลกความฝันแห่งนี้มิอาจจำแนกข้อแตกต่างระหว่างมิติโลกวิญญาณและมิติเหนือสายหมอกเทา มันจึงอาศัยความเป็นเจ้าของคทาเทพสมุทรเพื่อ ‘หยิบ’ สมบัติวิเศษระดับครึ่งเทพออกมาใช้งาน!

ได้ผล… ถ้าไม่แล้ว นี่คงเป็นการต่อสู้ที่ตึงมือเอาเรื่อง… ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย

มันยังเชื่อด้วยว่า กระจกเงาบานนี้ไม่มีทางคัดลอกพลังของมิติเหนือหมอกเทาได้

เกอร์มัน·สแปร์โรว์ร่างมืดจ้องมายังฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นตามสัญชาตญาณ แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า

ทันใดนั้น เกอร์มัน·สแปร์โรว์ตัวปลอมมองเห็นเส้นอสนีบาตสีเงินจำนวนมากถูกยิงออก จึงรีบฉาบร่างกายด้วยพลัง ‘กระดาษคนตัวแทน’ ชั้นแล้วชั้นเล่า แต่ก็มิอาจนำพาตัวเองออกจากจุดดังกล่าวได้

เปรี้ยง! บอลสายฟ้าขนาดมหึมาสว่างวาบภายในห้องที่คับแคบจนมิอาจหลบพ้น ก่อนจะอันตรธานหายไปพร้อมกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ออกมาจากกระจก

ด้วยเหตุผลบางประการ ไคลน์รู้สึกสุขสงบเหนือคำบรรยาย ราวกับสติของตนกำลังเข้าสู่ช่วงเวลานักปราชญ์

ชายหนุ่มหันไปทางเลโอมาสต์อีกครั้ง กล่าวถาม

“ตกลงแล้ว… นายสังกัดองค์กรไหน?”

เลโอมาสต์ตอบสั้นกระชับ

“ชุมนุมแสงเหนือ…”

ชุมนุมแสงเหนือ? ไคลน์พลันตะลึง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

ทันใดนั้น เสียงโลหะกระทบดังเล็ดลอดจากด้านนอก คล้ายกับบานประตูเหล็กถูกเปิดออก

ตึง! ตึง! ตึง!

เสียงฝีเท้าอันหนักแน่นที่ดังระรัวราวกลองศึก กำลังมุ่งหน้าตรงมายังมุมห้องโถง คล้ายกับทราบว่าไคลน์และเลโอมาสต์กำลังซ่อนตัวอยู่

ชายหนุ่มประเมินว่า พายุสายฟ้าเมื่อครู่คงทำให้ ‘นักบุญมืด’ ตระหนักถึงที่นี่!

ไม่มีกำบังให้หลบซ่อน… ไคลน์กำคทาเทพสมุทรในมือแน่น ตามด้วยการถีบประตูไม้สีดำของห้องเก็บของเพื่อเผชิญหน้ากับนักบุญมืดโดยตรง!

ในวินาทีที่บานประตูล้มลง มันมองเห็นรูปลักษณ์ของเป้าหมายอย่างแจ่มชัด

อัศวินในชุดเกราะสีดำเต็มอัตราศึก กะบังหน้าถูกเปิดขึ้นจนเผยให้เห็นใบหน้าเปี่ยมริ้วรอย เส้นผมสีดำขลับเงางามปราศจากหงอกขาว รอยแผลเป็นที่เก่าและฉกรรจ์ตรงแก้ม

ใบหน้าของมันเหมือนเลโอมาสต์ราวกับแกะ แม้แต่รอยตำหนิเล็กน้อยก็ยังตรงกันทุกจุด!

ข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ดวงตาของอัศวินกำลังส่องแสงสีแดงเข้ม

……………………………………………..

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset