Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 591 : ใช้ประโยชน์จากสิ่งของ

ราชันเร้นลับ 591 : ใช้ประโยชน์จากสิ่งของ

เกี่ยวกับนกกระเรียนกระดาษ ไคลน์ยังคงจดจำรายละเอียดได้แม่นยำ เนื่องจากครั้งหนึ่งในอดีต อสรพิษปรอทเคยอาศัยสิ่งนี้ระบุตำแหน่งวิญญาณดาราของศัลยแพทย์อลัน และเมื่ออลันล่องลอยไปในโลกวิญญาณขณะนอนหลับฝัน อสรพิษปรอททำการฉีด ‘ฝันเทียม’ เข้าไปจนอีกฝ่ายฝันร้ายในเรื่องที่ตนต้องการ

จากนั้น ไคลน์สับเปลี่ยนนกกระเรียนกระดาษของวิล·อัสตินด้วยของปลอมที่ตัวเองพับ และเอานกกระดาษต้นตำรับมาทำนายหาเบาะแสบนห้วงมิติเหนือสายหมอก แต่ก็ไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากนัก

จนกระทั่งภรรยาของนายแพทย์อลันตั้งครรภ์ ไคลน์จึงเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับวัฏจักรของลำดับ 1 และลำดับ 0 ของเส้นทางสัตว์ประหลาด โดยวัฏจักรจะเริ่มต้นใหม่เมื่ออสรพิษกินหางตัวเอง

ชายหนุ่มยังคาดเดาอีกว่า อสรพิษปรอททั้งสามกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงตำแหน่งลำดับ 0 โดยฝันร้ายเทียมที่วิล·อัสตินสร้างแก่นายแพทย์อลันเป็นแค่ประเด็นรอง จุดประสงค์หลักคือการระบุพิกัดและเข้าไปเกิดใหม่ในครรภ์ของภรรยาอลัน

ระหว่างเหตุการณ์ดังกล่าว เรื่องน่าขันก็คือ นกกระดาษที่ไคลน์พับขึ้นเอง ถูกเหยี่ยวราตรีกรุงเบ็คลันด์เข้าใจผิดว่าเป็นของจริง และสับเปลี่ยนด้วยนกกระดาษที่พับได้ห่วยยิ่งกว่าของไคลน์

ส่วนนกกระดาษของวิล… เราเก็บไว้ในมิติหมอกจนเกือบลืมไปแล้ว… การใช้มันเป็นสื่อกลางเพื่อทำนายคงไม่เกิดประโยชน์มากนัก ระดับตัวตนของอีกฝ่ายสูงเกินไป ผลลัพธ์การทำนายคงออกมาคลุมเครือจนคล้ายกับล้มเหลว ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ทารกในครรภ์ภรรยาศัลยแพทย์อลันคือวิล·อัสตินตัวจริงหรือไม่…

แต่ในทางกลับกัน วิล·อัสตินสามารถใช้นกกระดาษระบุพิกัดปัจจุบันของเราได้… เหมือนที่เคยทำกับอลันในอดีต และเหมือนกับที่อาโรเดสใช้ออร่าสายหมอกระบุตำแหน่งเรา จากนั้นก็ติดต่อกับเครื่องรับโทรเลขผ่านโลกวิญญาณ…

จริงสิ… ยังมีวิธีนั้นอยู่!

ไคลน์เหยียดหลังตั้งตรง สมองผุดแนวคิดใหม่ที่น่าสนใจ

มันวางแผนจะใช้นกกระดาษตัวนี้ เป็นสื่อกลางในการพูดคุยกับวิล·อัสตินผ่านความฝัน!

จริงอยู่ การติดต่อกับอสรพิษปรอท อาจยังไม่เกิดประโยชน์อันใดกับตัวเราในปัจจุบัน อีกทั้งยังถือเป็นการเสี่ยงอันตราย… แต่ถ้าวิล·อัสตินเป็นอสรพิษแห่งชะตาจากโรงเรียนชีวิตจริง เรามั่นใจมาก ว่าการแจ้งเบาะแสที่เป็นประโยชน์ในวันนี้ จะทำให้อีกฝ่ายตระหนักถึงบุญคุณ และตอบแทนกลับคืนมาหลายเท่าในอนาคต…

ในเมื่อวิล·อัสตินคือตัวตนระดับเดียวกับราชาเทวทูต การลงทุนหว่านเมล็ดพันธุ์ล่วงหน้าเพื่อรอเก็บเกี่ยวคือสิ่งจำเป็น ไว้อสรพิษปรอทคลอดจากครรภ์มารดาเมื่อไร เราคงได้รับการช่วยเหลือไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง… เหนือสิ่งอื่นใด การเสี่ยงติดต่อในคราวนี้ก็ไม่ทำให้เราถึงตาย… หรือถ้าเกิดถึงตาย ก็น่าจะยังคืนชีพกลับมาได้…

ไคลน์ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ถึงขั้นกลับขึ้นห้วงมิติเหนือหมอกเทาเพื่อทำนายยืนยันว่า การเสี่ยงติดต่อกับวิล·อัสตินมีอันตรายหรือไม่ จึงค่อยวางแผนตามผลลัพธ์ดังกล่าว

หลังจากจัดการตัวเองเสร็จ ชายหนุ่มยืนยันว่าระดับอันตรายอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ จึงรีบประกอบพิธีกรรมเพื่อนำนกกระดาษออกจากห้วงมิติเหนือสายหมอก

บางที อาจเพราะว่ามันคือนกกระดาษที่พับโดยลำดับ 1 อสรพิษปรอท จึงไม่ถูกออร่าของมิติปนเปื้อนเหมือนกับวัตถุชนิดอื่น ยังคงเป็นเพียงนกกระดาษแสนธรรมดา

หวังว่าออร่าของมิติหมอก จะไม่สลายความพิเศษของมันไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้นวิล·อัสตินคงระบุตำแหน่งเราไม่ได้… หืม… ถ้าจำไม่ผิด ลำดับก่อนหน้าอสรพิษปรอทมีชื่อว่า ‘นักพยากรณ์’ หรือวิล·อัสตินมองเห็นอนาคตในวันนี้ล่วงหน้า?

หรือที่เขาเลือกอลันเป็นบิดา เพราะอลันเป็นเพื่อนกับเรา จะได้ติดต่อเราสะดวก?

เราคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปไหม…

ไม่เลย… ประเด็นนี้มีน้ำหนักพอให้วิเคราะห์! เมื่อพิจารณาจากการกระทำของวิล·อัสติน มีบางจุดไม่สมเหตุสมผล เช่น ในเมื่อระบุตำแหน่งของศัลยแพทย์อลันได้แล้ว ก็น่าจะเข้าไปเกิดในครรภ์มารดาได้เลยไม่ใช่หรือ ไม่มีความจำเป็นต้องสร้างฝันร้ายเลยสักนิด และเนื้อหาของฝันร้ายก็ยังค่อนข้างซับซ้อน เป็นการบอกใบ้ว่าอสรพิษปรอทสองตนกำลังต่อสู้กัน ไม่มีทางที่คนธรรมดาอย่างอลันจะเข้าใจความนัยแฝง และไม่มีทางมอบความช่วยเหลือใดได้ ไม่ต่างอะไรกับการโยนแว่นขยายให้คนตาบอด…

หมายความว่า ฝันร้ายของวิล·อัสติน มีเจตนาเพื่อแจ้งข่าวกับเราตั้งแต่แรก?

ไคลน์ขมวดคิ้วชนกัน ในหัวกำลังผุดสมมติฐานมากมาย

จนกระทั่ง ชายหนุ่มสลัดความคาใจ หยิบปากกาหมึกซึมขึ้นมาใส่หมึก ครุ่นคิดหาข้อความที่จะเขียนลงบนนกกระเรียนกระดาษ เพื่อดึงดูดความสนใจของอสรพิษปรอท

เขียนว่าอะไรดี…

ไคลน์พิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันจากข้อมูลที่อาโรเดสมอบให้ จนกระทั่งนึกออกหนึ่งประโยคที่สั้นกระชับ และสามารถสรุปทุกสิ่งอย่างรวบรัดชัดถ้อยชัดคำ ความหมายตรงประเด็น อัดแน่นด้วยความรู้สึก และเนื้อหาครอบคลุม

ประโยคดังกล่าวก็คือ :

“บ้านเอ็งบึ้มแล้ว!”

แต่ความหมายออกจะห่ามและขาดความยำเกรงไปสักหน่อย อีกฝ่ายเป็นถึงลำดับ 1… และถ้าวิล·อัสตินเกิดไม่ใช่คนของโรงเรียนชีวิต เราก็จะหน้าแตกทันที…

ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเขียนตัวอักษรลงบนนกกระดาษจำนวนหนึ่ง ประกอบกันเป็นประโยคสั้นใจความว่า

“รอย·คิงถูกจับ”

เมื่อจัดการเสร็จ ไคลน์เก็บปากกา พับนกกระดาษใส่กระเป๋าสตางค์ แบบเดียวกับที่นายแพทย์อลันเคยทำ

ณ เขตรอบนอกหมู่เกาะรอสต์ บนเกาะขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีหมอกหนาปกคลุม อยู่ห่างจากเส้นทางเดินเรือหลักค่อนข้างมาก

ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน เหยี่ยวสีฟ้ากำลังร่วงหล่นจากผืนนภาอย่างรวดเร็วจนเห็นเพียงเส้นเงาดำ ร่างตกกระแทกพื้นหนักหน่วง ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย โลหิตสาดกระเซ็น

อัลเจอร์·วิลสันไม่ประมาท ยืนรักษาระยะห่างพลางยกมือซ้าย เผยให้เห็นแหวนเหล็กสีดำบนนิ้วหัวแม่มือ โดยใช้มันเล็งเป้าไปยังสิ่งชีวิตอันน่าสะพรึง—เหยี่ยวเงาฟ้า

บนแหวนมีหนามแหลมงอกยาว เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือดแห้ง แผ่กลิ่นอายโบราณแฝงความชั่วร้าย

นี่คือสมบัติวิเศษที่อัลเจอร์ใช้เงินค่าหัวของเหล็กกล้า·แม็ควิตี้ซื้อจากช่างฝีมือ มันบอกกับทุกคนว่าสิ่งนี้มีราคาห้าพันสองร้อยปอนด์ ทั้งที่ราคาจริงเพียงสามพันหนึ่งร้อยปอนด์เท่านั้น

ชื่อของแหวนคือ ‘แส้จิต’ มีสรรพคุณในการสร้างความเสียหายทางจิตแก่เป้าหมาย นอกจากนั้นยังช่วยให้ผู้สวมชำนาญอาวุธทุกชนิด และเหนือสิ่งอื่นใด ราคาของมันไม่แพง

ย้อนกลับไปในตอนนั้น ช่างฝีมือยังมีอีกหนึ่งตัวเลือกนอกจาก ‘แส้จิต’ (แหวน) ให้อัลเจอร์ สิ่งนั้นคือ ‘แหวนมนตร์คาถา’ โดยอย่างหลังมีความสามารถหลากหลายกว่า แถมยังเป็นพลังที่มีประโยชน์ และมีราคาต่างกันไม่มาก ไม่ว่าจะมองมุมใดก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อัลเจอร์กลับเลือกแส้จิต โดยเชื่อว่าหากไม่มีเจ้าสิ่งนี้ การล่าวัตถุดิบโอสถอย่าง ‘เหยี่ยวเงาฟ้า’ จะยากขึ้นจากเดิมหลายเท่า เพราะการโจมตีสัตว์วิเศษประเภทบิน ต้องอาศัยท่าเกี่ยวกับจิตใจเป็นหลัก และผลลัพธ์ก็พิสูจน์แล้วว่าอัลเจอร์คิดถูก

ลงเอยด้วย อัลเจอร์ต้องยอมทนกับผลข้างเคียงที่เป็นอาการปวดหัวรุนแรง ชนิดอยากจะโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด

ยืนรอสักพัก จนกระทั่งเห็นจุดแสงลอยขึ้นจากเหยี่ยวเงาฟ้า เป็นผลึกขนนกจำนวนหกเส้นที่ควบแน่นตรงตำแหน่งปีก อัลเจอร์เริ่มหายใจทั่วท้อง ย่างกรายเข้าไปหยิบ

ตั้งแต่ก่อนเริ่มออกล่า มันใช้ผ้าลินินผืนหนึ่งผูกอัญมณีเม็ดสีแดงสดไว้กึ่งกลางหน้าผาก ส่องแสงคล้ายกับคืนจันทร์สีแดงนวล

สิ่งนี้คือตะกอนพลังแวมไพร์บารอนที่เป็นสินค้าของเอ็มลิน·ไวท์ แต่อัลเจอร์ยังไม่รีบส่งมอบสินค้าทันทีที่ได้รับ เนื่องจากต้องการยืมใช้พลังบางส่วนจากผลึกตะกอนโดยตรง เพื่อเป็นหลักประกันว่า การล่าเหยี่ยวเงาฟ้าจะผ่านไปอย่างราบรื่น

เป็นคนกลางมีแต่กำไร… อัลเจอร์เก็บผลึกปีกนกเข้ากระเป๋าเสื้อ พึมพำภายในใจ

มันเหยียดตัวยืนตรง จ้องไปทางยอดเขาสูงตระหง่าน ณ ใจกลางเกาะลึกลับที่อยู่ไกลออกไป รอบภูเขาเต็มไปด้วยผืนป่าเขียวขจี หนาทึบจนยากจะมองเข้าไป ไม่ต้องบอกก็ทราบว่า ภายในนั้นเต็มไปด้วยอันตรายมากเพียงใด

เรายังไม่แข็งแกร่งพอจะสำรวจที่นั่น…

อัลเจอร์เบือนหน้ากลับ เดินไปยังขอบเกาะพลางระมัดระวังตัวจาก ‘นักล่า’ โดยรอบ

ถัดมา มันกระโดดลงทะเล อาศัยพลังของ ‘กะลาสี’ ว่ายน้ำเป็นระยะทางไกล จนกระทั่งถึงเรือผีสิงที่จอดแอบไว้ ลูกเรือทุกคนด้านในกำลังหลับสนิทเนื่องจากถูกวางยาสลบของผีดูดเลือด

การจะมาถึงเกาะลึกลับแห่งนี้ได้ ต้องเดินเรือออกจากร่องน้ำหลักเป็นระยะทางไกลโข ผ่านฝูงมอนสเตอร์ดุร้ายและพายุสายฟ้าเกรี้ยวกราดนานกว่าหกชั่วโมง ตลอดทางเต็มไปด้วยอันตรายที่มากพอจะจมเรือ มีเพียงนักเดินเรือมือฉมังเท่านั้นจึงจะมาจอดในจุดเดียวกับอัลเจอร์สำเร็จ

กลางดึกสงัด หลังจากหมดไปหนึ่งวันโดยแทบไม่ได้ทำอะไร ไคลน์วางหนังสือพิมพ์ลง มุดผ้าห่มบนเตียงเพื่อเตรียมนอน

ขณะใกล้หลับสนิท คำถามหนึ่งผุดขึ้นในหัว

ในเมื่อเดนิสกลับฝันทองคำไปแล้ว การเช่าห้องหรูหราขนาดนี้อยู่คนเดียว ไม่เป็นการสิ้นเปลืองไปหน่อยหรือ…

ไคลน์พยักหน้าตอบตัวเอง เตรียมเช็กเอาต์พรุ่งนี้เช้าและเปลี่ยนโรงแรม

เมื่อตัดสินใจได้ ชายหนุ่มหลับสนิทภายในเวลาไม่นาน จนกระทั่งผ่านไปอีกสักพัก มันเริ่มได้สติท่ามกลางความฝันของตัวเอง

มีใครบางคนบุกรุกความฝัน!

แม้อีกฝ่ายจะเป็นถึง ‘อสรพิษแห่งชะตา’ แต่เรากลับยังมีสติคมชัดเหมือนทุกที ทางนี้เองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน… ไม่สิ ที่ต้องชมคืออำนาจของห้วงมิติเหนือสายหมอกต่างหาก…

ไคลน์มองไปรอบตัว พบว่าตนกำลังยืนท่ามกลางทุ่งโล่งกว้างบรรยากาศมืดสลัว ถัดไปไม่ไกลมีหอคอยสีดำสูงเด่นสง่า

เป็นฉากเดียวกับที่ไคลน์เคยเห็นในความฝันของศัลยแพทย์อลัน เพียงแต่คราวนี้ไม่มีอสรพิษสีเงินเลื้อยพันรอบหอคอย

ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด เร่งฝีเท้าเดินเข้าไป และพบว่าสภาพภายในหอคอยยังคงผุพังและทรุดโทรมเช่นเดิม การตกแต่งไม่เป็นระเบียบ ขั้นบันไดวกวนและสับสน เดี๋ยวม้วนขึ้นบน เดี๋ยวม้วนคดลงด้านล่าง บางห้องปรกติ บางห้องกลับหัวกลับหาง บางห้องซ้อนทับอยู่ในอีกห้อง

เดินผ่านประตูบ้านแล้วบานเล่า กำแพงผืนแล้วผืนเล่า จนกระทั่งไคลน์มาถึงส่วนลึกสุดของหอคอยสีดำ

ภายในห้องเต็มไปด้วยไพ่ทาโรต์วางกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ส่วนใหญ่ถูกกองสุมรอบพื้นยกระดับใจกลางห้อง

จุดดังกล่าวมีข้อความสีเงินเขียนไว้หนึ่งบรรทัด พร้อมกับภาพเหมือนอีกหนึ่งใบ

เป็นภาพของนักปรุงยาร่างท้วม

ตัวอักษรสีเงินมีใจความว่า :

“นำไปบอกดัควีลล์”

นักปรุงยาร่างท้วมชื่อดัควีลล์… วิล·อัสตินคืออสรพิษแห่งชะตาจากโรงเรียนชีวิตจริง! และเราสามารถใช้นกกระดาษติดต่อสื่อสารกับเขาได้..

ไคลน์หยุดรออีกสักพัก จนกระทั่งพบว่าไม่ได้รับข้อมูลใดเพิ่มเติม ชายหนุ่มรีบออกจากความฝันและเข้าสู่ภาวะหลับสนิทอีกครั้ง

หลังจากรุ่งเช้า ไคลน์ลงไปยืนยันกับทางโรงแรมแล้วว่า การเช็กเอาต์ช่วงเที่ยงจะไม่ทำให้เสียเงินเพิ่มจากปรกติ มันจึงสวมหมวกและเดินไปขึ้นรถม้า จุดมุ่งหมายคือโรงละครแดง

ซ่องชื่อก้องของทะเลโซเนียกำลังอยู่ในช่วงซบเซาที่สุดของวัน เรียกได้ว่า เงียบงันราวกับบ้านผีสิง

ไคลน์ชำเลืองเล็กน้อย ก่อนจะเดินตรงไปยังตรอกที่อยู่เยื้องออกไป และเตรียมเข้าไปในร้านขายสมุนไพรของดัควีลล์

ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มพลันตื่นตัว จึงแหงนมองไปบนหลังคา และพบนกฮูกตัวอ้วนกำลังยืนจ้องลงมา

ถ้าจำไม่ผิด ในคณะละครสัตว์ นักปรุงยาร่างท้วมพยายามใช้พลังพิเศษทำให้สัตว์เชื่อง คงเป็นเส้นทางที่เกี่ยวกับการฝึกสัตว์วิเศษ…

ไคลน์เบือนหน้ากลับ ลงมือเคาะประตู

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก… ก๊อก! ก๊อก!

มันยืนรอสักพัก จนกระทั่งเห็นนักปรุงยาร่างท้วม ดัควีลล์ เปิดประตูด้วยสีหน้าง่วงเหงาหาวนอน

“นาย… ไม่ได้ป่วย…” ดัควีลล์เพ่งมองพลางวินิจฉัยอาการ

ไคลน์สวมสีหน้าเย็นชาของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“อรุณสวัสดิ์ มิสเตอร์นักปรุงยา ฉันพบอาจารย์ของนายแล้ว”

“จ…จริงหรือ…?” นักปรุงยาร่างท้วมย้อนถามด้วยสีหน้าเคลือบแคลงสุดขีด “แต่นายเพิ่งได้รับภารกิจไปเมื่อวานซืน…”

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset