Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 568 : เทพรับใช้

ราชันเร้นลับ 568 : เทพรับใช้

จากเอกสารของเดอะซัน ชื่อของเทพรับใช้ถูกไล่เรียงอย่างเป็นระเบียบ แต่ส่วนมากมักไม่มีนามจริง ปรากฏเพียงสมญานาม ยกตัวอย่างเช่น เทพแห่งความงาม และเทพแห่งชีวิต เป็นเทพรับใช้ของแวมไพร์ต้นตระกูล ลิลิธ ; เทพธิดาอัปมงคล และเทพแห่งความตาย เป็นเทพรับใช้ของหมาป่าอสูรทำลายล้าง เฟรเกีย ; เทพแห่งโชค และราชินีแห่งภัยธรรมชาติ เป็นเทพรับใช้ของราชาแห่งเอลฟ์ ซอนญาธริม นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายชื่อ

ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ…

ไคลน์พลันหวนนึกถึงหนังสือแห่งภัยธรรมชาติ รวมถึงแก้วไวน์ทองคำที่น่าจะเป็นของเอลฟ์ลำดับสูง ผิวแก้วสลักข้อความไว้สองคำ :

โคฮีเน็ม และ ภัยธรรมชาติ

ชายหนุ่มคิดเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก โคฮีเน็มคือราชินีแห่งภัยธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นเทพรับใช้ของราชาเอลฟ์!

น่าเสียดาย เราคงถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเดอะซันน้อยไม่ได้ คงต้องรอให้เขาคัดลอกเอกสารชุดใหม่ออกมา…

ไคลน์ถอนหายใจ

ข้อมูลในเอกสารทำให้มันเชื่อว่า สมญานามของเทพรับใช้ อาจไม่มีความเกี่ยวข้องกับนามจริงของเทพรับใช้สักเท่าไร

เพราะเดิมที เมืองเงินพิสุทธิ์เคยอยู่ในอาณาจักรเงินพิสุทธิ์ที่ปกครองโดยระบอบวังราชาคนยักษ์ เพื่อให้ทราบถึงข้อมูลเบื้องต้นของฝ่ายศัตรูและมิตร จึงบันทึกข้อมูลเหล่าเทพบรรพกาลไว้พร้อมเทพรับใช้อย่างผิวเผิน โดยอาจเป็นการตั้งสมญานามง่าย ๆ ขึ้นมาเอง เพื่อให้สะดวกต่อการจดจำและเผยแพร่

เมื่อพลิกอ่านหน้าต่อไป สมมติฐานข้างต้นของไคลน์ถูกยืนยัน แต่ขณะเดียวกันก็มาพร้อมคำถามใหม่

ตระกูลมังกรยังมีอีกหนึ่งเทพรับใช้คือ มังกรแห่งปัญญา เฮราเบอร์เก้น ส่วนทางฝั่งราชาคนยักษ์ เทพรับใช้คือบุตรชายคนโต บาร์ดไฮเออร์ และราชินีคนยักษ์ เทพธิดาแห่งฤดูเก็บเกี่ยว

แปลกมาก… ทำไมเทพธิดาแห่งฤดูเก็บเกี่ยวถึงมิได้ระบุนามจริงเอาไว้? ในเมื่อเป็นพระชายาของราชาคนยักษ์ ก็ควรมีในบันทึกไม่ใช่หรือ…

จากการคาดคะเนของเรา เทพรับใช้เหล่านี้น่าจะมีศักดิ์เทียบเท่าเทวทูต หรือราชาเทวทูตในยุคสมัยถัดมา… อา… คงเป็นลำดับ 2 ในเส้นทางเดียวกัน หรือไม่ก็ลำดับ 1 ในเส้นทางใกล้เคียงกระมัง…

ยิ่งเมื่อนำข้อมูลจากไพ่เย้ยเทพมาประกอบการพิจารณา ไคลน์ก็ยิ่งสับสน เพราะเนื้อหาของไพ่เขียนไว้ชัดเจนว่า บนเส้นทางเดียวกัน ถ้ามีลำดับ 0 ก็จะไม่มีลำดับ 1 หรือถ้าไม่มีลำดับ 0 ก็จะมีลำดับ 1 ได้สูงสุดสามตน

แต่ไคลน์ยังไม่กล้าฟันธง เพราะนี่เป็นเพียงข้อมูลส่วนเดียว มันยังไม่รู้จักลำดับ 0 กับ 1 ดีพอ และไม่ทราบว่าตัวตนระดับนั้นจะถูกผูกมัดอยู่ภายใต้ ‘กฎการอนุรักษ์พลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียงและความถาวรของพลังพิเศษ’ มากเพียงใด

แต่สำหรับปัจจุบัน เราคงต้องอนุมานให้เป็นแบบนั้นไปก่อน…

ไคลน์เอนหลังพลางยิ้ม และเสกให้เอกสารทั้งหมดในมือหายไป

“เริ่มได้”

ขณะเดียวกัน อัลเจอร์กำลังพิจารณาสถานการณ์ของตัวเองอย่างรอบคอบ

เพื่อความปลอดภัยของการสนทนา มันตัดสินใจเปลี่ยนมุมมอง สมมติว่าอีกฝ่ายคือพลเรือเอกดวงดาว และคาดเดาว่าเธอจะมองเห็นรายละเอียดใดบนร่างกายตนบ้าง

มิสเตอร์ฟูลมีการปกป้องรูปลักษณ์ของสมาชิกอยู่แล้ว… บริเวณใบหน้าและร่างกายจึงไม่คมชัด แต่การบิดเบือนดังกล่าวแทบไม่ส่งผลกับสีสัน… จริงอยู่ ระหว่างสีน้ำตาลกับสีน้ำตาลเข้มอาจแยกได้ยาก แต่ถ้าเป็นสีโทนสว่าง แม้แต่เราก็แยกแยะได้สบาย อย่างน้อยเราก็ทราบว่า มิสจัสติสมีผมสีทองและดวงตาสีเขียว…

จุดเด่นที่สุดในตัวเราคงหนีไม่พ้นเส้นผมสีน้ำเงินเข้ม แต่นั่นก็ไม่บ่งบอกอะไรนัก จริงอยู่ ผมสีน้ำเงินเข้มอาจเป็นเอกลักษณ์เด่นของเส้นทางลูกเรือ แต่คนผมสีน้ำเงินเข้มทุกคนไม่จำเป็นต้องอยู่บนเส้นทางลูกเรือ ผมสีดังกล่าวอาจมาจากกรรมพันธุ์ ตัวอย่างเช่น อ่าวเดซีย์ที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลโซเนียและทะเลคลั่ง บริเวณดังกล่าวเคยเป็นถิ่นฐานของเอลฟ์ในสมัยอดีต มนุษย์เชื้อสายเอลฟ์ส่วนใหญ่ก็จะมีผมสีน้ำเงินเข้มเช่นกัน… แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า จำนวนประชากรผมสีน้ำเงินเข้มส่วนใหญ่ในปัจจุบันคือเส้นทางลูกเรือ…

แต่ลำพังสีผม เธอคงมิอาจนำไปต่อยอดเป็นข้อมูลใดเพิ่มเติมได้แน่…

ขณะอัลเจอร์กำลังวางใจ หางตาบังเอิญชำเลืองเห็นชุดคลุมวายุสลาตันของตน

หลังจากกลับขึ้นเรือ นอกจากตำแหน่งกัปตัน มันยังต้องรับหน้าที่เป็นบิชอปให้เหล่าลูกเรือด้วย โดยการประกอบพิธีมิสซาทุกครั้งต้องสวมเครื่องแต่งกายให้เหมาะสม

หากอัลเจอร์ไม่แสดงความศรัทธาต่อเทพวายุสลาตันเสียบ้าง อาจมีสักวันที่ลูกน้องแอบรายงานให้โบสถ์ทราบ

โดยทั่วไปแล้ว โบสถ์วายุสลาตันมักไม่ไว้วางใจ ‘โจรสลัดราชการ’ ของตัวเองสักเท่าไร ด้วยเกรงว่า การออกทะเลเป็นเวลานาน อาจเปลี่ยนให้พวกมันกลายเป็นโจรสลัดตัวจริง และยังเป็นเหตุผลว่าทำไม เทพวายุสลาตันจึงไม่ถ่ายทอดวิวรณ์ถึงเหล่าโจรสลัดของตัวเอง

ด้วยการบิดเบือนจนพร่ามัว เธอคงมองเห็นเครื่องแต่งกายของเราไม่ชัดเจนนัก… แต่ก็ไม่ควรประมาท ครั้งถัดไปคงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นแบบเรียบง่ายก่อนเข้าร่วมชุมนุม… ถึงเราจะยังไม่มั่นใจ แต่อีกฝ่ายมีสิทธิ์เป็นถึงพลเรือโจรสลัด ห้ามวางใจเด็ดขาด…

แฮงแมนนั่งใคร่ครวญอย่างหวาดระแวง

ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงของเดอะมูนที่พยายามระงับความตื่นเต้น

“มิสเตอร์แฮงแมน ทางนี้พร้อมแล้ว เจ้าพร้อมส่งมอบมรดกของบารอนผีดูดเลือดเมื่อไร? ถ้าจำไม่ผิด คราวก่อนเจ้าเคยพูดไว้ว่า มรดกดังกล่าวอยู่ในมือของโจรสลัดแข็งแกร่งสักคนสินะ”

ไม่ต้องมีประโยคสุดท้ายก็ได้…

อัลเจอร์นั่งตัวแข็ง

โจรสลัดแข็งแกร่ง…? เดอะเฮอร์มิท แคทลียา พลันชำเลืองสายตาไปทางแฮงแมน

อัลเจอร์ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า เพียงหันไปตอบเดอะมูนด้านข้างอย่างผ่อนคลาย

“เตรียมเงินสดครบแล้วหรือ”

“แน่นอน!” เอ็มลินกล่าวพลางเชิดคาง

อันที่จริง แผนเดิมของมันคือ รอให้ครบกำหนดสามเดือน จึงค่อยนำเช็คเงินสดไปขึ้นเงินกับธนาคาร แต่หลังจากตัดสินใจได้ว่าจะซื้อมรดกของบารอนผีดูดเลือด มันเปลี่ยนแผนทันที

โดยปราศจากความเคลือบแคลงและลังเล เมื่อเอ็มลินเกิดความรู้สึกอยากได้ ความคาดหวังและความปรารถนาได้ถาโถมจิตใจ ส่งผลให้ผีดูดเลือดหนุ่มต้องการครอบครองตะกอนพลังทันที เป็นอาการเดียวกับเมื่อครั้งควักเงินก้อนโตซื้อตุ๊กตาตัวโปรด

หลังจากอดทนได้หนึ่งสัปดาห์ เอ็มลินตัดสินใจขายเช็คเงินสดของตนให้คนอื่น แม้ว่าราคาจะถูกลงกว่าปรกติ แต่อย่างน้อยก็ได้ใช้เงินทันที

เช็คขึ้นเงินแบบกำหนดเวลามักถูกซื้อขายกันเป็นปรกติ ด้วยราคาต่ำกว่ามูลค่าจริงเล็กน้อย

“ผมสามารถเตรียมให้คุณได้ในสัปดาห์นี้ แต่ก่อนอื่น ขอยืนยันอีกครั้ง คุณจะซื้อมรดกของบารอนในราคาสี่พ้นห้าร้อยปอนด์ ถูกต้องไหม”

เมื่อเห็นการค้าขายของตนใกล้บรรลุ อัลเจอร์ลืมเรื่องที่เดอะมูนหลุดปากพูดถึงโจรสลัดไปก่อน

เอ็มลินชะงักเล็กน้อย กวาดสายตามองรอบตัวหนึ่งครั้ง ก่อนจะกระแอมในลำคอและกล่าวกับแฮงแมนด้วยเสียงแผ่ว

“ถูกกว่านี้อีกสักนิดได้ไหม”

“ผมไม่ใช่คนตัดสิน แต่สามารถช่วยเจรจาให้ราคาต่ำลงได้… หึหึ อย่าลืมค่านายหน้าของผมก็แล้วกัน สักสามร้อยปอนด์เป็นไง”

อัลเจอร์กล่าวด้วยสีหน้าสุขุม

“ไม่มีปัญหา” เอ็มลินกระซิบ

เป็นแวมไพร์ที่ไม่แข็งแกร่งมาก น่าจะยังเด็ก หรือไม่ก็อยู่ในช่วงต้นของวัยหนุ่ม…

ทางด้านเดอะเฮอร์มิท แคทลียา กำลังนั่งสำรวจสถานการณ์พลางวิเคราะห์

เมื่อเห็นการค้าขายระหว่างแฮงแมนและเดอะมูนลุล่วงภายในไม่กี่คำ จัสติส ออเดรย์ เกิดความรู้สึกว่าเธอต้องเสียเงินซื้ออะไรสักอย่างบ้างแล้ว

ในอีกหนึ่งถึงสองสัปดาห์ เราจะติดต่อกับสมาชิกของสมาคมแปรจิตประจำแคว้นเชสเตอร์ตะวันออก และบอกว่าเรากลายเป็นนักจิตบำบัดเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น การซื้อสูตรผลิตโอสถลำดับถัดไปด้วยคะแนนผลงานจึงไม่ใช่เรื่องยาก ไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนซื้อกับชุมนุมทาโรต์… ไว้ทราบชื่อวัตถุดิบหลักและรองเสียก่อน ค่อยมาถามหาจากคนอื่น…

ในกรณีสมบัติวิเศษ เราคงซื้อบ่อย ๆ ไม่ได้ เพราะของเก่าเพิ่งเบิกเงินมาจากท่านพ่อ… หากเราซื้ออุปกรณ์เวทมนตร์หายากหลายชิ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ท่านพ่ออาจเกิดความสงสัย…

ออเดรย์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะพบคำตอบ

เธอบิดหมุนครึ่งตัว และหันไปมองบุคคลบรรยากาศอึมครึมตรงมุมโต๊ะอีกฝั่ง

“มิสเตอร์เวิร์ล คุณเคยบอกว่ามีเบาะแสของตะกอนพลังนักจิตบำบัด เรื่องนั้นใช้เวลาดำเนินการนานไหม”

ฉันจะซื้อให้ซูซี่… หญิงสาวเสริม

อันที่จริง ขณะฉุกคิดถึงเรื่องนี้ ออเดรย์ยังนึกไอเดียซุกซนได้อีกหนึ่งเรื่อง นั่นคือการหาข้ออ้างให้มิสเตอร์ฟูลแสดงหน้าไพ่จักรพรรดิมืดออกมา

ตามความคิดของเธอ ในเมื่อเดอะเฮอร์มิทตระหนักถึงความสำคัญของไดอารีโรซายล์ จนถึงขั้นเสียอาการชัดเจน หมายความว่า สตรีลึกลับผู้นี้อาจรู้จักไพ่เย้ยเทพด้วยเช่นกัน ออเดรย์จึงต้องการเห็นอีกฝ่ายแสดงอาการตกตะลึงสุดขีดในวินาทีที่ได้เห็นไพ่

แต่สุดท้าย หญิงสาวก็พับเก็บความคิดดังกล่าวไปก่อน มิใช่เพราะเห็นใจหรือไม่อยากทดสอบเดอะเฮอร์มิท แต่เพราะคิดว่าเป็นการไม่เหมาะสม ที่จะทำตัวข้ามหน้าข้ามตามิสเตอร์ฟูล

หากท่านต้องการให้เดอะเฮอร์มิทเห็นไพ่ ประเดี๋ยวท่านก็คงเปิดให้เห็นเอง แต่ถ้าท่านไม่ต้องการ พฤติกรรมของเราจะถือว่าขัดความประสงค์ และนั่นเป็นการเสียมารยาท…

ออเดรย์ผงกหัวเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิด แต่ไม่มีใครสังเกตเห็น

ขณะเดียวกัน เดอะเวิร์ลตอบเสียงแหบ

“ถ้าคุณแน่ใจแล้วว่าต้องการ ผมจะรีบหามาให้โดยเร็ว ราคาหนึ่งพันแปดร้อยปอนด์”

ตามปรกติแล้ว ราคาของตะกอนพลังนักจิตบำบัดจะอยู่ราวหนึ่งพันสองร้อยถึงหนึ่งพันห้าร้อยปอนด์ แต่ไคลน์เพิ่มตัวเลขขึ้นเพราะต้องการหยั่งเชิงว่า อีกฝ่ายจะต่อรองเหลือเท่าไร

“ตกลงค่ะ” ออเดรย์ตอบรับข้อเสนอทันที

ในปัจจุบัน หนี้สินของเธอที่ติดค้างกับไวเคาต์กายลินถูกชำระหมดแล้ว และหลังจากกลับมายังถิ่นของตระกูล หญิงสาวได้รับของขวัญมากมายจากบรรดาเครือญาติ สภาพคล่องทางการเงินจึงกำลังไหลลื่น อีกทั้ง เงินที่ติดค้างกับข้ารับใช้ของเดอะฟูล ก็มีกำหนดจ่ายในเดือนหน้า

ปัจจุบัน ออเดรย์มีรายรับเดือนละสามพันปอนด์ และแทบไม่ต้องใช้เงินในการดำรงชีวิตประจำวันเลย เนื่องจากมีพ่อแม่คอยอำนวยความสะดวกแทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะหลังจากตระกูลฮอลล์ได้รับความดีความชอบใหญ่หลวง

ขณะบทสนทนาดำเนินไป แฮงแมนก็ยิ่งพบความประหลาดใจ เพราะเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน เดอะเวิร์ลเพิ่งขายตะกอนพลังผู้ไร้หน้า หลังจากนั้นไม่นานก็ออกล่าเหล็กกล้า·แม็ควิตี้และได้ครอบครองตะกอนพลังของมัน มาวันนี้ยังมีตะกอนพลังของนักจิตบำบัดมาขายอีก โดยเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเดือนเดียว!

แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก แฮงแมนพบคำตอบให้ตัวเอง

ตัวตนของเดอะเวิร์ลคงหมายถึง ‘บรรดา’ ข้ารับใช้มิสเตอร์ฟูล …เป็นการช่วยกันขายของ!

ในทางกลับกัน เดอะเวิร์ล ไคลน์ กำลังอยู่ในอาการตกตะลึงเมื่อพบว่ามิสจัสติสมิได้ต่อราคาแม้แต่เพนนีเดียว

มันคาดไว้ว่า มิสจัสติสคงต้องรัดเข็มขัดหลังจากเพิ่งเสียเงินจำนวนห้าพันห้าร้อยปอนด์ไปกับสมบัติวิเศษเมื่อสัปดาห์ก่อน เพราะเหตุการณ์ทำนองนี้เคยเกิดขึ้นในปีที่แล้ว ไคลน์จึงเตรียมต่อรองราคาอย่างเต็มที่ แต่ใครจะไปคิดว่า อีกฝ่ายกลับตกปากรับคำทันที

หล่อนมีเหมืองทองรึไง… ไคลน์รำพัน

เมื่อเดอะซัน เดอร์ริค เห็นว่าการเจรจาของจัสติสจบลง เด็กหนุ่มรีบยกมือ

“ผมต้องการซื้อผลของต้นพันธะวิญญาณส่องแสง”

สำหรับวัตถุดิบอื่นของโอสถข้ารับใช้สุริยัน เด็กหนุ่มหาได้เกือบครบแล้ว

ขณะแคทลียากำลังคิดว่า มิสจัสตินคือผู้วิเศษเส้นทางผู้ชมที่กำลังจะกลายเป็นนักจิตบำบัด เธอพลันได้ยินข้อเสนอของเด็กหนุ่ม จึงเงียบงันสักพักก่อนจะยกมือกล่าวกับอีกฝ่าย

“ดิฉันมี ต้องการแลกเปลี่ยนกับสิ่งใด”

หลังจากทำตัวเป็นผู้เฝ้ามองมาตลอด เธอตัดสินใจร่วมวงค้าขายจิปาถะ เพื่อให้เข้าใจกลไกของชุมนุมทาโรต์มากขึ้น

“เอ่อ… ผมสามารถแลกเปลี่ยนได้ด้วยประวัติศาสตร์ของเมืองเงินพิสุทธิ์ ข้อมูลของสิ่งมีชีวิตจำพวกคนยักษ์ มังกร เอลฟ์ หรือพวกสัตว์ประหลาดในความมืด” เดอะซันน้อยกล่าวอย่างซื่อตรง “มาดามเฮอร์มิท นี่คือรายชื่อของสัตว์ประหลาดรอบเมืองเงินพิสุทธิ์ คุณสามารถเลือกวัตถุดิบจากพวกมันได้ถ้าต้องการ”

ให้ตายสิ… ใสซื่อชะมัด…

ไคลน์หักห้ามใจมิให้แหงนหน้าขึ้นไปมองโดมสูงบนเพดาน

เขากำลังพูดเรื่องอะไร…

แคทลียาทำได้เพียงขมวดคิ้ว มิอาจทำความเข้าใจประโยคของเดอะซันได้แม้แต่คำเดียว

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset