Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 559 : เผชิญหน้าระหว่างทาง

ราชันเร้นลับ 559 : เผชิญหน้าระหว่างทาง

ไคลน์ตัดสินใจเตรียมสำรวจโลกวิญญาณในวันนี้เลย เพื่อหยั่งเชิงก่อนลงมือจริงนอกเขตหมู่เกาะรอสต์

หมายความว่า หากสำรวจโลกวิญญาณขณะยังอยู่ในเมืองบายัม ก็คงมิอาจนำคทาเทพสมุทรติดตัวไปด้วยได้ เพราะนั่นจะทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมามากมาย

แค่ไพ่จักรพรรดิมืดก็พอแล้ว…

ถ้าเราหลงหรือตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เพียงรีบสิ้นสุดพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง ก็จะได้กลับสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกอย่างปลอดภัย แทบไม่มีความเสี่ยงในปฏิบัติการ…

ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเดินไปล็อกประตูห้องนอน เตรียมประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง

เมื่อเสร็จขั้นตอนพื้นฐาน จิตชายหนุ่มถูกส่งมายังมิติสายหมอกโดยสวัสดิภาพ แต่มันมิได้รีบร้อน ทำเพียงนั่งลงและเสกให้คทาเทพสมุทรลอยออกจากกองขยะ ร่อนลงบนฝ่ามืออย่างนุ่มนวล

ก่อนอื่น ไคลน์ลงมือสำรวจว่ามีสาวกคนใดสวดวิงวอนมาถึงเทพสมุทรบ้าง

ไม่คิดคาด มันได้พบสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสวดวิงวอนของสาวกบางคน ตามธรรมชาติแล้ว มนุษย์สามารถโกหกเพื่อนฝูง ครอบครัว หรือญาติพี่น้องได้ไม่ยาก แต่หากต้องสารภาพบาปต่อเทพที่ศรัทธา การเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงนั้นทำได้ค่อนข้างยาก อย่างมากก็แค่แต่งเติมเรื่องราวเล็กน้อย ให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลง

ตำรวจเลือดผสมคนหนึ่งที่ไต่เต้าจนมียศปานกลางในสถานีตำรวจบายัม ถูกโน้มน้าวให้เปลี่ยนมานับถือเทพวายุสลาตันอย่างไม่เต็มใจ และเมื่อทำการสารภาพบาปต่อเทพสมุทร มันพยายามอธิบายว่า ตนต้องแบกรับความเจ็บปวดมากเพียงใดที่ต้องแสร้งทำเป็นศรัทธาเทพตนอื่น แต่มันยอมทน เพื่อแลกกับอนาคตและความเจริญรุ่งเรืองของชนพื้นเมือง โดยในตอนสุดท้าย ตำรวจคนดังกล่าววิงวอนให้เทพสมุทรคอยคุ้มครองตน และอวยพรให้ไต่เต้าหน้าที่การงานได้อย่างราบรื่น

อาจฟังดูสมเหตุสมผล แต่ความสั่นคลอนของจิตใจขณะสารภาพบาป รวมไปถึงห้วงอารมณ์ที่ไม่สงบนิ่ง ล้วนถูกฉายอย่างแจ่มชัดบนนิมิตภาพฉาย มิอาจปกปิดต่อหน้าเทพได้

หลอกตัวเองไม่ว่า แต่หลอกแม้กระทั่งเทพ… หากเปลี่ยนเป็นคาเวทูว่า เจ้างูทะเลนั่นคงหลงเชื่อโดยไม่เคลือบแคลง… หืม… เราควรเสกฟ้าผ่าใส่กบาลสักเส้น หรือเสกลมเฉือนสักสิบเส้นเพื่อลงทัณฑ์ให้สาสมกับโทษดี… แต่ว่า การเก็บชนพื้นเมืองที่เป็นตำรวจยศสูงเอาไว้ก่อนก็ไม่เลวเหมือนกัน พวกตีสองหน้ามักมีประโยชน์ให้ใช้งานได้เสมอ…

ไคลน์ยกคทาเทพสมุทรขึ้น เสกให้อัญมณีสีฟ้าเม็ดหนึ่งสองแสง

แสงสว่างถูกฉายเข้าไปในนิมิต ก่อนจะลอยไปฉาบร่างของสารวัตรนามบราญ่าโดยไม่มีใครสังเกตเห็น

สิ่งนี้ไม่ใช่คำสาป แล้วก็ไม่ใช่พร แต่เป็นออร่าแห่งเทพ ยากจะสัมผัสถึงด้วยวิธีการปรกติ

อธิบายให้เข้าใจง่ายก็คือ เป็นการ ‘หมายหัว’ ว่าจะจับตามองสาวกคนนี้เป็นพิเศษ… ไคลน์เสริมในใจ

ชายหนุ่มยังคงไล่ดูไปเรื่อยๆ จนได้เห็นสาวกวัยหนุ่มคนหนึ่ง ผิวสีแทน ผมหยักศกเล็กน้อย กำลังสวดวิงวอนให้เทพสมุทรลงทัณฑ์ชายที่ชื่อจังโม่ด้วยพายุหรือไม่ก็จมน้ำตาย โดยให้เหตุผลว่า จังโม่ทำการทรยศและไม่ศรัทธาต่อเทพสมุทร แต่ในความเป็นจริง ชาวประมงมากประสบการณ์นามว่าจังโม่ จงรักภักดียิ่งกว่าเด็กคนนี้เสียอีก

การได้มาเห็นทั้งหมด ช่วยให้เราตระหนักว่าจิตใจมนุษย์ล้ำลึกยากหยั่งถึงเพียงใด…

ไคลน์ขมวดคิ้วในตอนต้น ก่อนจะนั่งครุ่นคิดสักพักจนได้บทสรุปให้ตัวเอง

หากผู้ไร้หน้าต้องการ ‘สวมรอย’ ให้สมจริง องค์ประกอบทั้งหมดต้องครบถ้วน ตัวอย่างเช่น รูปลักษณ์ของเหยื่อต้องแม่นยำ บุคลิกและนิสัยประจำตัวต้องไม่ตกหล่น ห้ามหลุดบทบาทแม้แต่วินาทีเดียว โดยแต่ละเป้าหมายการสวมรอยก็จะมีอุปนิสัยแตกต่างกันไป

“การได้นั่งสำรวจคำวิงวอนของสาวกช่วยให้เราได้พบอุปนิสัยอันหลากหลาย แต่ละคนมีกระบวนการคิดแตกต่างกันไป รวมถึงสภาพจิตใจในขณะนั้น พันคนก็พันรูปแบบ มนุษย์มิได้แตกต่างกันแค่ใบหน้า นี่คือประสบการณ์แสนล้ำค่าสำหรับผู้ไร้หน้าอย่างเรา จะได้ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกหรือสั่งสมประสบการณ์จริงด้วยตัวเอง”

ไคลน์เริ่มตระหนักว่า การสวมรอยเป็นเทพสมุทรให้อะไรมากกว่าที่คิด

ขณะปลอมตัวเป็นครึ่งเทพ ถึงจะไม่ได้รับความคืบหน้าของโอสถ แต่ผลประโยชน์ด้านอื่นก็ไม่น้อยเช่นกัน… เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในตัวตนธรรมดา…

ไคลน์เริ่มมีไฟกับการทำงาน มันไล่ดูคำสวดวิงวอนของทุกคนอย่างตั้งใจ

ผ่านไปฉากแล้วฉากเล่า สายตาชายหนุ่มสะดุดอยู่กับนักธุรกิจชื่อราล์ฟ

ชายคนนี้เลื่อมใสในปาฏิหาริย์ที่เทพสมุทรกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง จึงตัดสินใจบริจาคเงินจำนวนสองหมื่นปอนด์ หรือหนึ่งในสามของทรัพย์สิน ให้กับกลุ่มต่อต้าน ครึ่งหนึ่งเพื่อการทหาร และอีกครึ่งหนึ่งเพื่อสร้างเทวรูปขึ้นใหม่

ไม่เห็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น แค่สังเวยเงินสดให้เทพสมุทรโดยตรงก็สิ้นเรื่อง… ไคลน์พึมพำติดตลก

หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มเสกคลื่นยักษ์และพายุให้ลอยอยู่ด้านหลัง พร้อมกับสร้างฝนตกโปรยปรายสลับกับฟ้าผ่า ก่อนจะตอบคำวิงวอนของพ่อค้าราล์ฟด้วยเสียงแผ่วเบา

“จงช่วยเหลือเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์และพวกพ้อง เพื่อสรรเสริญนามของเราให้กึกก้อง เหล่าแกะน้อยทั้งหลายล้วนต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือการศึกษา”

ไคลน์ต้องการให้ราล์ฟก่อตั้งกองทุนการกุศลมูลค่าสองหมื่นปอนด์ขึ้น จากนั้นก็พยายามระดมเงินบริจาคจากสังคม เพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนหน้า สิ่งนี้จะทำให้ชนพื้นเมืองกลับมากลมเกลียวกันอีกครั้ง แถมยังได้บริจาคอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และทุนการศึกษาแก่เด็กท้องถิ่นไปในตัว

ในส่วนของเงินบำรุงกำลังพลและสรรพาวุธของกลุ่มต่อต้าน ไคลน์ไตร่ตรองไว้แล้วเช่นกัน บนโลกผู้วิเศษที่รบกันด้วยพลังเป็นหลัก ลำพังคนของชนพื้นเมืองคงมิอาจต่อต้านรัฐบาลโลเอ็นมาได้นานขนาดนี้แน่ หมายความว่า กลุ่มต่อต้านคงได้รับความช่วยเหลือจากอาณาจักรอื่นมาโดยตลอด อาจเป็นได้ทั้งอินทิสหรือฟุซัค

แน่นอน หนึ่งในความช่วยเหลือก็คือเงิน

ดังนั้น แม้เงินของราล์ฟไปไม่ถึงงบการทหาร แต่กลุ่มต่อต้านก็คงไม่กระทบมากนัก

น่าเสียดาย เราไม่สามารถเพิ่มข้อกำหนดลงในบัญญัติสิบประการได้ว่า : จงใช้เงินอย่างสุจริตและชอบธรรม… ประเด็นนี้ขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริงเกินไป… กลุ่มต่อต้านคงไม่ต้องการลดกำลังพลลง เพราะพวกมันมักส่งคนไปทำลายสาธารณูปโภคด้านการคมนาคมของเมืองบายัมอยู่เสมอ จนเจ้าหน้าที่ทำงานได้ยากลำบากขึ้น เป็นการสร้างข้อเรียกร้องด้วยการใช้กำลังจุดชนวน…

ในฐานะอดีตนักรบคีย์บอร์ด ไคลน์ย่อมมีความรู้พื้นฐานในด้านนี้พอสมควร

จากนั้น ชายหนุ่มเปลี่ยนประเด็นครุ่นคิด เริ่มหันมาทำนายว่า การสำรวจโลกวิญญาณในวันนี้จะมีอันตรายรออยู่หรือไม่

ผลลัพธ์ระบุว่าไม่อันตรายมากนัก

เมื่อทราบคำตอบ ชายหนุ่มทำการสอดไพ่จักรพรรดิมืดไว้ในร่างวิญญาณ เปลี่ยนแปลงรูปโฉมด้วยเกราะเหล็กสีดำและมงกุฎ ก่อนจะเดินออกจากประตูอัญเชิญที่ตัวมันสร้างรอไว้

กลับถึงโลกจริง ชายหนุ่มยัดบรรดาสมบัติวิเศษเกือบทั้งหมดใส่ไว้ในร่างวิญญาณ เผื่ออาจได้ใช้ในโอกาสสำคัญ

จากนั้น เฉกเช่นคราวก่อน ด้วยการเพ่งจิตขณะอยู่ในร่างวิญญาณ ไคลน์สามารถเข้าสู่โลกวิญญาณได้ทันที

ชายหนุ่มเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่างกายผ่านม่านล่องหน จนกระทั่งเริ่มลอยขึ้น

รอบตัวเต็มไปด้วยเส้นสีแดง เหลือง ฟ้า เขียว และแสงอื่นๆ สีสันฉูดฉาด คล้ายกับกำลังอยู่ในโลกของภาพสีน้ำมัน ขณะเดียวกัน สามัญสำนึกของมนุษย์ในเชิงทิศทางเช่นซ้าย ขวา หน้า หลัง บน และล่าง ล้วนไม่ตรงตามตำแหน่งจริงบนโลกปรกติ หากอาศัยหลังดังกล่าวในการเดินทาง จุดจบคงไม่พ้นการหลงทิศ

ไคลน์สำรวจไปเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง บางครั้งก็พบสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์สีเหลืองคล้ายฝีมือเด็กวาด บางครั้งก็พบลำธารมายาที่ไหลเวียนตลอดเวลาแต่จับต้องไม่ได้

นอกจากนั้นยังมีสัญลักษณ์ของผู้หญิงสองมิติร่างกายแบนลีบ ท่อนบนไม่สวมเสื้อ อีกทั้งยังมีสัญลักษณ์ดวงจันทร์ยิ้ม เรือพายตั้งตรง พุ่มเชือกแขวนลูกบอลจำนวนมาก และขั้นบันไดที่ขดเป็นวงกลม ม้วนขึ้นไปหาริ้วแสงเจ็ดสีด้านบน

ท่ามกลางโลกอันวุ่นวาย นอกจากสิ่งมีชีวิตวิญญาณแล้ว ข้อมูลทั้งหมดจะปรากฏในรูปแบบสัญลักษณ์ เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใด การทำนายจึงได้รับคำตอบในเชิงสัญลักษณ์ ต้องไปตีความกันเอาเอง

โดยสัญลักษณ์เหล่านี้ หากพวกมันดำรงอยู่ต่อไปอีกสักนิด ก็อาจกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตวิญญาณขึ้นมาได้เช่นกัน

ในนี้คือโลกวิญญาณ สถานที่ซึ่งมิอาจใช้สามัญสำนึกของมนุษย์ทำความเข้าใจได้ด้วยประการทั้งปวง…

แต่สิ่งที่ทำให้ไคลน์ประหลาดใจมากที่สุดกลับเป็นเรื่องอื่น ในคราวก่อนที่มันมาเยือนโลกวิญญาณ การพบสิ่งมีชีวิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก พบได้ง่ายจนไคลน์หวนนึกถึงคำเตือนของบรรพบุรุษตระกูลอับราฮัม : ห้ามจ้องตาสิ่งมีชีวิตวิญญาณเกินสามวินาที

ตอนนั้นมีทั้งสายตาลึกลับที่มองไม่เห็นรอบตัว หญิงสาวไร้หัวที่ยืนบนปราสาท มือทั้งสองข้างหิ้วศีรษะอีกสี่เศียร ดวงตากลมโตที่มีเพียงสีขาวและดำโดยปราศจากอวัยวะอื่น รวมถึงแมงกะพรุนยักษ์ที่มีปลายหนวดเป็นกะโหลก

แต่สำหรับคราวนี้ แม้จะสำรวจโลกวิญญาณได้สักพัก ไคลน์กลับยังไม่พบสิ่งมีชีวิตวิญญาณแม้แต่ตนเดียว กระทั่งดวงตาที่จ้องมองมาจากมุมมืดก็ไม่มี ราวกับทั้งหมดพร้อมใจกันซ่อนตัว

อย่าบอกนะว่า เป็นเพราะเรากำลังมองหาผู้ส่งสาร พวกมันจึงหลบหน้า… เป็นไปได้… เราใช้ร่างวิญญาณของตัวเองเชื่อมต่อโดยตรง เจตนาของเราจึงอาจถูกฝังลงในร่างวิญญาณ และเปลี่ยนรูปเป็นสัญลักษณ์เมื่อย่างกรายเข้าสู่โลกวิญญาณแห่งนี้ ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตอื่นมองเห็นเจตนาของเราอย่างแจ่มชัด…

ไคลน์ใคร่ครวญอย่างไม่เข้าใจ และยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้

ขณะความคิดมากมายกำลังแล่นในหัว ร่างกายชายหนุ่มเกิดร่วงหล่นกะทันหัน เป็นการพุ่งตกอย่างอิสระราวกับที่นี่มีแรงโน้มถ่วง

จนกระทั่ง หลังจากไคลน์ท่องไปตามโลกวิญญาณได้สักพัก มันเห็นจุดแสงสีสันฉูดฉาดจากระยะไกลในรูปแบบของสัญลักษณ์ บางจุดเริ่มเปลี่ยนจากสัญลักษณ์กลายเป็นนามธรรม

เกิดอะไรขึ้นกันแน่…

ชายหนุ่มพิจารณาอย่างจริงจัง ว่าตนควรเขียนจดหมายถึงมิสเตอร์อะซิกเพื่อถามให้แน่ใจ หรือไม่ก็นำเครื่องรับโทรเลขไปแช่ไว้บนมิติเหนือสายหมอก ให้สัมผัสออร่าสักพัก จึงค่อยนำออกมาถามอาโรเดส

ขณะกำลังลอยตัวไปเรื่อย ๆ สัญชาตญาณของไคลน์ถูกกระตุ้นฉับพลัน ร่างวิญญาณจึงขยับตัวหลบไปไกลตามจิตใต้สำนึก

ทันใดนั้น แสงสีเหลืองสว่างวาบเข้ามาในมุมสายตา ตามด้วยท่อนขาขนาดมหึมา ใหญ่พอจะกระทืบไคลน์ให้แบนราบ เหยียบลงบนสีแดงและฟ้าฉูดฉาดในจุดที่ชายหนุ่มเคยยืน

ฝ่าเท้าค่อนข้างยาว ผิวหนังเต็มไปด้วยของเหลวสีเขียวและเหลืองปกคลุม ความสูงของเท้าไม่ต่ำกว่าสามเมตร เหนือขึ้นไปเป็นร่างกายอันใหญ่โตที่มีผ้าพันศพรัดไว้คล้ายกับมัมมี่

อีกฝ่ายชะงักงันสักพัก ก่อนที่ขาซึ่งเต็มไปด้วยหนองสีเหลือเขียว จะลอยขึ้นจากจุดเดิมอย่างเชื่องช้า และพุ่งหายเข้าไปในส่วนลึกของโลกวิญญาณ

ไคลน์กำลังที่ซ่อนตัวในจุดห่างไกล ไม่กล้าส่งเสียงใดออกมาเป็นเวลานาน

จนกระทั่งยืนยันได้ว่าปลอดภัย จึงยืนครุ่นคิดเช่นนั้นสักพัก ก่อนจะยิ้มแห้ง

โลกวิญญาณน่ากลัวชะมัด… บังเอิญหลงมาพบกับตัวตนทรงพลังเข้าจนได้… สัตว์ประหลาดนั่นเป็นสิ่งมีชีวิตวิญญาณแน่หรือ…

ไคลน์ส่ายหน้า ก่อนจะเริ่มสำรวจต่อ

ณ ตอนนี้ มันไม่รู้อีกแล้วว่าตนกำลังอยู่บริเวณใดบนโลกวิญญาณ

ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มเริ่มพบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตวิญญาณมากขึ้น

แต่ขณะไคลน์เตรียมหมุนตัวพุ่งไปทางซ้าย ร่างวิญญาณของมันกลับถูกดูดไปข้างหน้าอย่างมิอาจขัดขืน และด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ

เมื่อมองตรงไป กลุ่มแสงสีฉูดฉาดและสายหมอกสีเทาขาวพลันแหวกออกอย่างกะทันหัน เพียงพริบตา เรือใบลำใหญ่พุ่งพรวดออกจากจุดฟุ้งกระจายดังกล่าว รอบลำเรือถูกฉาบด้วยสีดำสนิททุกซอกมุม

เรือสีดำมีความยาวกว่าหนึ่งร้อยเมตร ใบเรือดำสนิททั้งสามผืนอยู่ในลักษณะกางออกและชักขึ้น มองผิวเผินจะดูคล้ายกับผืนธง

กราบเรือทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยปืนใหญ่หลายกระบอก บนดาดฟ้ามีลูกเรือประจำการพร้อมทำศึกจำนวนนับไม่ถ้วน

สำหรับไคลน์ ภาพทั้งหมดคมชัดเป็นอย่างยิ่ง สามารถเห็นลึกไปถึงรายละเอียดปลีกย่อยทุกจุด แตกต่างจากลักษณะทั่วไปของสิ่งมีชีวิตวิญญาณโดยสิ้นเชิง

แต่เนื่องจากเรือลำดังกล่าวกำลังอยู่ในโลกวิญญาณ สีดำของมันจึงฉูดฉาดและเข้มกว่าปรกติมาก จนคล้ายภาพสีน้ำมัน

ใจกลางดาดฟ้าเรือมีบัลลังก์หินสูงราวสองสามเมตร ตั้งหันหลังให้ห้องเครื่อง บนบัลลังก์มีคนผู้หนึ่งกำลังนั่งด้วยท่วงท่าสง่างาม ส่วนสูงทัดเทียมกับคนยักษ์ในตำนาน

บุคคลดังกล่าวมีเคราสีดำยาวเลยคอ เหนือศีรษะสวมมงกุฎยอดสูง สวมชุดคลุมหรูหราซึ่งมีพื้นหลังสีดำ และตามขอบเป็นสีเงินแวววาว

ริ้วรอยบนใบหน้าทั้งชัดและลึก เปี่ยมด้วยความน่าเกรงขามเหนือพรรณนา ใครก็ตามที่ได้เห็นเป็นต้องอยากก้มศีรษะคำนับ

ภายใต้หน้าผากที่กว้างและมีริ้วรอยร่องลึก กระจกตาสีแดงเข้มกำลังสะท้อนภาพไคลน์ในชุดเกราะและมงกุฎสีดำ

ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มยังมิอาจขัดขืนการลอยเข้าหาชายคนนั้นอย่างเชื่องช้า

ทั้งคู่ประสานสายตาท่ามกลางสีสันฉูดฉาดอันเป็นเอกลักษณ์ของโลกวิญญาณ จนกระทั่งไคลน์หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและเป็นปริศนา

บุรุษร่างยักษ์บนบัลลังก์หินโบราณ ยังคงจ้องมองไปยังจุดเดิมเป็นเวลานานโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย บรรยากาศรอบตัวมีเพียงความเงียบงันเป็นเวลานาน

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset