Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 540 : ยับยั้ง

ราชันเร้นลับ 540 : ยับยั้ง

แม้จะพ้นจากห้องใต้ดินของคฤหาสน์ตระกูลโอดรามาแล้ว แต่เอ็มลินไวท์ยังไม่หายจากอาการมึนงง โดยยังทำใจเชื่อไม่ลงว่าตนเพิ่งได้รับเงินเจ็ดพันปอนด์มาอย่างง่ายดาย

กระดาษเช็คเงินสดในมือ อาจบางเบาจนแทบไม่มีน้ำหนัก แต่กลับเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยยืนยันให้เอ็มลินมั่นใจว่า ตนไม่ได้กำลังฝันไป

แผนของมิสเตอร์แฮงแมนได้ผล… ลอร์ดนีบาสมิได้เปิดโปงหรือลงโทษเรา แต่กลับตกรางวัลก้อนโตตอบแทน… แถมยังทำเป็นไม่ทราบว่าเราแอบติดต่อกับเดอะฟูล แสร้งตีหน้าซื่อคอยห่วงใย เพื่อที่ตัวเองจะได้แอบจับตามองจากในเงามืด… เบื้องบนของตระกูลผีดูดเลือดช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก…

เอ็มลินใคร่ครวญสักพักก่อนถอนหายใจ

เพียงไม่นาน มันหันกลับมาสนใจในประเด็นอื่นที่สำคัญกว่า นั่นคือเงินรางวัลจำนวนเจ็ดพันปอนด์!

“ด้วยเจ้านี่ เราสามารถซื้อมรดกของบารอนผีดูดเลือดจากแฮงแมน จากนั้นก็ปรุงเป็นโอสถดื่ม เรากำลังจะได้เป็นบารอน… ลอร์ดเอ็มลิน·ไวท์ บารอนผีดูดเลือด!”

ดวงตาเอ็มลินกำลังกระจ่างใส จังหวะย่ำเท้าเป็นไปอย่างผ่อนคลาย

ในโลกของผีดูดเลือด หากไม่ได้รับมรดกจากอาวุโสผ่านพิธีกรรมเฉพาะเจาะจง ลำดับพลังของผีดูดเลือดทุกตนจะเทียบเท่ากับขณะแรกเกิด แทบไม่มีทางเพิ่มลำดับได้ด้วยอายุขัย

สำหรับผีดูดเลือดในวัยเดียวกันกับเอ็มลิน หากไม่นับกรณีของผู้โชคดี มีคนในครอบครัวใกล้ถึงอายุขัยและได้รับการส่งต่อพลังผ่านพิธีกรรม เกือบทั้งหมดจะยังอยู่เพียงระดับ ‘โตเต็มวัย’ ไม่มีโอกาสกลายเป็น ‘ขุนนาง’ ในอีกหลายสิบปีข้างหน้า

พ่อและแม่ของเอ็มลินก็มีชีวิตอยู่มานาน แต่จวบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เป็นบารอน และมองไม่เห็นโอกาสเลยสักนิด!

ขณะย่างกรายออกจากประตูคฤหาสน์ ผีดูดเลือดหนุ่ม เอ็มลิน·ไวท์ แอบชำเลืองคาซีมี·โอดราด้านข้างด้วยหางตา

ผีดูดเลือดเก่าแก่ที่เคยดำรงชีวิตอยู่ในยุคสมัยโรซายล์ ปัจจุบันก็ยังเป็นเพียงบารอน… และเรากำลังจะก้าวไปอยู่ในจุดเดียวกัน!

วันดีคืนดี เราจะกลายเป็นมาร์ควิสผีดูดเลือดเหมือนกับลอร์ดนีบาส! ไม่สิ ต้องไปให้ถึงดยุคหรือไม่ก็เจ้าชาย! การจะเป็นผู้กอบกู้ของตระกูล มีแต่ต้องไขว่คว้าสิ่งนั้นให้ได้…

อา… มรดกบารอนมีราคาเกินกว่าสี่พันปอนด์เล็กน้อย ยังเหลือเงินอีกมากสำหรับซื้อตุ๊กตาเข้าบ้านเพิ่ม แถมยังเหลือพอจะซื้อชุดใหม่ให้พวกหล่อน…

เอ็มลินเหยียดตัวตรงโดยไม่ได้ตั้งใจ สองเท้าก้าวเดินด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์

เดอร์ริคจุดเทียนไข เตรียมตัวประกอบพิธีกรรมสังเวย

สายฟ้าด้านนอกผ่าสลับหยุดหลายหน จนกระทั่งเด็กหนุ่มสบโอกาสเหมาะ

มันมั่นใจมากว่า ในปัจจุบัน ‘ท่านประมุข’ ไม่สามารถจับตามองตนได้ เนื่องจากเพิ่งเดินทางออกไปพร้อมกับ ‘แจ็ค’ เด็กชายตัวเล็กที่ร่างกายพื้นฟูขึ้นจากตอนแรกพอสมควร และมีทีมสำรวจติดตามไปด้วยอีกจำนวนหนึ่ง เป้าหมายหลักคือการค้นหาสิ่งที่เรียกว่าชายฝั่งทะเล โดยจะเริ่มต้นจากซากปรักหักพังของเมืองก่อนหน้า

เดอร์ริคตั้งแท่นบูชาอย่างคล่องแคล่ว เอ่ยพระนามเต็มอันสูงส่งของมิสเตอร์ฟูลด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ ใบหน้าเปี่ยมศรัทธาและยำเกรง

เด็กหนุ่มลงมือช่ำชอง สังเวยวัตถุดิบวิเศษแก่ผู้ปกครองห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาอย่างเป็นระเบียบแบบแผน เริ่มจากถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณ ตามด้วยวัตถุดิบวิเศษในรายการของแฮงแมน

กำแพงสูงตระหง่านของเมืองเงินพิสุทธิ์เต็มไปด้วยรอยแตก แต่ก็ถูกถมจนแน่นด้วยดินแข็งสีดำ ตามผิวดินมีวัชพืชกระจุกตัว คอยโยกเอนไปตามลมคล้ายเส้นผมของมนุษย์

ทันใดนั้น พวกมันผงาดขึ้นในลักษณะคล้ายกับต้องการจับคว้าบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็หดกลับไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

เช้าตรู่ ณ มหาวิหารคลื่นสมุทร

อัลเจอร์·วิลสัน ผู้เดินทางรับเงินค่าหัวของเหล็กกล้ากับพุ่มหนามสีเลือด กำลังยืนฟังข่าวสำคัญจากปากโชโกรี บิชอปประจำมุขมณฑลบายัม

เลติเซีย·โดเรล่าจากนิกายมอสส์ได้ปลอมตัวเป็นนักโบราณคดี ลอบแทรกซึมเข้าไปในป่าลึกบนเกาะไซมีม ไม่มีใครทราบว่าเธอทำอะไรลงไป แต่ส่งผลให้ ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่า ใกล้อาละวาดอย่างเสียสติเต็มที โดยกำลังดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเพื่อรักษาเสถียรภาพร่างกายเอาไว้

กล่าวกันว่า วิญญาณมารผู้เรียกตัวเองว่า ‘เทพสมุทร’ ได้ปกครองเกาะแห่งนี้มานาน จนกระทั่งหมู่เกาะรอสต์ถูกค้นพบ คาเวทูว่าจึงถูกพระคาร์ดินัลสองคนของกองทัพโค่นล้มด้วยพลังสมบัติปิดผนึกบางชิ้น ส่งผลให้ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน อาจรอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิด แต่ต้องก็ซ่อนตัวมาตลอดนับจากนั้น

เรื่องราวข้างต้นขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน และไม่เคยเปลี่ยนแปลงอีกเลยจวบจนปัจจุบัน แล้วทำไมจู่ๆ เทพสมุทรถึงได้ขาดเสถียรภาพจนแทบครองสติไว้ไม่อยู่เช่นนี้?

อัลเจอร์ขมวดคิ้ว และพยายามมองหาปัจจัยที่แตกต่างจากเดิมในช่วงหลัง

“ฝีมือนิกายมอสส์? แล้วพวกมันมัวทำอะไรอยู่ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา? หรือจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการใหญ่ในอนาคตอันใกล้?”

ท่ามกลางความเคลือบแคลงและคาใจ อัลเจอร์พลันฉุกคิดได้อีกหนึ่งประเด็นสำคัญ

ความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่างปัจจุบันและกว่าร้อยปีก่อนก็คือ…

การมาเยือนเมืองบายัมของเดอะเวิร์ล!

ข้ารับใช้ของเดอะฟูลย่างกรายเข้ามาในเขตหมู่เกาะรอสต์!

ไม่ว่าจะไปยังที่ใด แต่ปลายทางจะต้องมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น หรือไม่ก็กำลังคุกรุ่นตลอดเลยหรือ? ไล่จากโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ ความเปลี่ยนแปลงของท่าเรือแบนชี และปัจจุบันคือการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของเทพสมุทร·คาเวทูว่า รวมถึงเป้าหมายอันคลุมเครือของนิกายมอสส์…

ไม่สิ ระบุให้ชัดก็คือ ที่ใดใกล้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ ที่นั่นจะมีข้ารับใช้ของเดอะฟูลอยู่ด้วย… พวกเขารับบัญชาจากมิสเตอร์ฟูล แกะรอยพฤติกรรมขององค์กรลับและเทวทูตมาร!

หลังจากไตร่ตรอง อัลเจอร์เริ่มเข้าใจความเป็นไปของเหตุการณ์ คล้ายกับตนมองเห็นความจริงเบื้องหลังอย่างทะลุปรุโปร่ง

ไม่ใช่ทุกที่ที่เดอะเวิร์ลไปเยือนจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่ แต่เป็นเพราะจะมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น เดอะเวิร์ลและข้ารับใช้คนอื่นจึงต้องไปเยือน!

เหตุการณ์คราวนี้เป็นประโยชน์ต่อมิสเตอร์ฟูลในด้านใดบ้าง… ท่านหวังทำลายขั้วอำนาจฝั่งตรงข้าม หรือหวังปลดพันธนาการบางส่วนของตนเองออก?

อัลเจอร์อดกลั้นความสงสัย และฉวยโอกาสสำคัญรายงานข้อมูลลับ

มันกำหมัดขวาทุบอกซ้าย สีหน้าเผยความลังเลชัดเจน :

“ท่านเจ้าคุณโชโกรี ระหว่างตามแกะรอยกลุ่มโจรสลัดที่เหลือของ ‘เหล็กกล้า’ ผมบังเอิญได้ยินข้อมูลสำคัญเข้า”

“ว่ามา” โชโกรีเตรียมสั่งให้กัปตันเรือยศบิชอปรายนี้ออกทะเลเพื่อตามหาร่องรอยของ ‘กลุ่มต่อต้าน’ แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายขัดจังหวะโดยอ้างเหตุรายงานข่าว สีหน้าของมันจึงฉุนเฉียวเล็กน้อย

อัลเจอร์ ‘นึกทบทวน’ ก่อนจะเล่า

“มีใครบางคนเอ่ยถึงท่าเรือแบนชีกลางวงสนทนา โดยระบุว่า แม้ที่นั่นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ตระกูลเมดีซีกลับยังคงซ่อนตัวอย่างลอยนวล ไม่มีใครหาพบ”

ท่าเรือแบนชี… การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่..

โชโกรีเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าวและซักถาม

“มันพูดอะไรอีก”

“เขาบอกว่า บิชอปบนเกาะแบนชีถูกกัดกร่อนจนเสื่อมทราม นอกจากนั้นก็หมดแล้วครับ… ท่านเจ้าคุณโชโกรี ตระกูลเมดีซีคือขุนนางจากยุคสมัยที่สี่ไม่ใช่หรือ?” อัลเจอร์แสร้งไร้เดียงสา

สีหน้าโชโกรีเริ่มอึมครึม

“สำหรับเรื่องนั้น คุณยังไม่ควรรับรู้ ผมจะรีบรายงานให้ท่านเจ้าคุณค็อตแมนทราบทันที”

บุคคลดังกล่าวคือพระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลหมู่เกาะรอสต์ ผู้ปกครองโลกผู้วิเศษประจำเขตน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์ทั้งหมด แยนน์·ค็อตแมน

โชโกรีครุ่นคิดสักพัก ก่อนซักถาม

“ใครเป็นคนเล่าเรื่องนี้ ลักษณะหน้าตาของมันเป็นอย่างไร”

อัลเจอร์เตรียมพร้อมแล้ว

“ผมไม่รู้จักอีกฝ่าย และชายคนนั้นก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย ผู้เล่าเบาะแสของท่าเรือแบนชีและตระกูลเมดีซีเป็นเด็กหนุ่มใบหน้าธรรมดา คางเรียวแหลม หน้าผากกว้าง ดวงตาสีดำ เส้นผมสีดำสนิท สวมแว่นตาคริสตัลขาเดียว เมื่อทราบว่าผมแอบฟัง นอกจากจะไม่โกรธ เขาเพียงหันกลับมายิ้มให้”

ที่อัลเจอร์กำลังอธิบายคือรูปลักษณะของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์!

มันต้องการให้พระคาร์ดินัลเข้าใจว่า การจงใจเปิดเผยความลับของตระกูลเมดีซีและท่าเรือแบนชี มีต้นเหตุมาจากความบาดหมางระหว่างราชาเทวทูต!

ไม่มีใครเหมาะจะเป็นแพะรับบาปมากกว่านี้แล้ว… ท่านคงไม่ออกมาอธิบายความจริงแน่ หรือต่อให้ทำก็คงไม่มีใครเชื่อ… การทำนายถึงอามุนด์ทุกชนิดคงไม่เกิดผล… ส่วนการทำนายถึงเรา ย่อมเกี่ยวพันกับมิสเตอร์ฟูล และผู้ทำนายคงไม่ได้ผลลัพธ์ใดเช่นกัน มีค่าเทียบเท่าการทำนายถึงอามุนด์โดยตรง…

อัลเจอร์ครุ่นคิดอย่างผ่อนคลาย

โชโกรีพยักหน้ารับ

“พยายามมองหาชายคนนั้นไว้ และอย่าลืมออกไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านให้ผม”

“ขอรับ เจ้าคุณท่านโชโกรี!” อัลเจอร์ขานรับด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธา กำปั้นขวาทุบหน้าอกซ้ายเสียงดัง

เมฆดำลอยสูง ท้องฟ้าด้านบนมืดสนิท สายฝนกระหน่ำโปรยปรายเปาะแปะ สาดกระเซ็นพร้อมกับเกิดหมอกสีขาว

ณ ท่าเรือบายัม ระดับน้ำลอยสูงขึ้นทีละนิดมั่นคง เรือสินค้าและเรือโดยสารทุกลำออกอาการโคลงเคลง คล้ายกับใบไม้ปลิวลอยไปกลางอากาศ

ผ่านไปพักใหญ่ สายฝนยังคงสาดเทประหนึ่งฟ้ารั่ว ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจนชิดขอบทำนบกั้น ภายในเมืองเกิดแอ่งน้ำขังจำนวนมาก สภาพอากาศเป็นไปอย่างหดหู่

กลุ่มชนพื้นเมืองผู้มีใบหน้าคลั่งไคล้เจือความล่องลอย สวมเสื้อยืดทาลาบา แจ็คเก็ตเก่าโทรม ต่างกระจุกตัวริมหน้าผาหรือริมทำนบกั้นน้ำ ก่อนจะกระโดดลงทะเลไปทีละคนสองคน

ผิวหนังของพวกมันขาดความชุ่มชื้นอย่างฉับพลัน และเมื่อจมลงทะเล ร่างกายได้เปลี่ยนเป็นมัมมี่แห้งกรังโดยสมบูรณ์

ชนพื้นเมืองบางส่วนแหกปากพลางโผเข้ากอดทหารเรือที่เดินออกจากค่าย จากนั้นก็ใช้ฟันกัดกินเลือดเนื้ออีกฝ่ายจนถึงแก่ความตาย เกิดเป็นความโกลาหลวุ่นวายไปทั่วทุกหัวระแหง

โครม!

ตู้ม!

ทำนบกั้นน้ำพังทลาย กระแสน้ำทะเลปริมาณมหาศาลซัดเข้าโถมใส่บายัม

ไคลน์ลืมตาตื่น ความฝันเมื่อครู่ยังคงคุกรุ่นอยู่ในความทรงจำอย่างแจ่มชัด

ในฐานะนักทำนาย นี่คือสัญลักษณ์ของเหตุการณ์บางอย่างในอนาคต!

ไคลน์ลุกจากเตียง เดินออกจากห้องนอน และพบ ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสกำลังยืนริมหน้าต่าง สายตาจ้องมองออกไปด้านนอก

ชายหนุ่มเห็นเมฆความกดอากาศต่ำกำลังสาดสายฝนลงมาด้านล่างอย่างไม่หยุดพักจนเมืองบายัมเปียกปอน

สัญญาณเริ่มขึ้นแล้ว…

ไคลน์เดินมายืนข้างเดนิส มองออกไปเห็นสภาพอากาศสุดปั่นป่วนภายนอกอาคาร โสตประสาทได้ยินเสียงคลื่นทะเลเจือจาง

ทันใดนั้น ท่ามกลางบรรยากาศค่อนข้างเงียบ เสียงฟ้าผ่าประหนึ่งระฆังสวรรค์ก้องกังวาน เมฆสีตะกั่วด้านบนเกิดระเบิดจนกระจายไปรอบทิศ สายฝนหยุดลงทันทีเมื่อขาดแหล่งกำเนิด เขตท่าเรือบายัมกลับคืนสู่ความปรกติภายในพริบตา

ในช่วงเช้าของวันใหม่ บายัมกำลังถูกฉาบด้วยแสงแดดอบอุ่นและสดใส

เดนิสส่ายหน้า พลางรำพันกับตัวเอง

“หืม… เมื่อเทพสมุทร·คาเวทูว่าไม่พบวิธียื้อชีวิตตัวเอง จึงละทิ้งความพยายามและกลายเป็นสัตว์ประหลาดเสียสติโดยสมบูรณ์… มันหวังเสกพายุฝนและสึนามิ เพื่อคร่าทุกชีวิตบนหมู่เกาะรอสต์ให้สิ้นซาก? ขณะเดียวกัน สาวกของมันมีพฤติกรรมประหลาด… โชคดีว่าเราแจ้งข่าวให้โบสถ์วายุสลาตันทราบล่วงหน้า ทางนั้นคงพอจะมีวิธีรับมือ… ไม่สิ ถึงเราจะไม่แจ้ง แต่เส้นทางเชี่ยวชาญน้ำทะเลและลมฝนอย่างวายุสลาตัน ย่อมสัมผัสถึงความผิดปรกติได้ก่อนใคร และรับมือในแบบฉบับตัวเอง… แยนน์·ค็อตแมนเปลี่ยนสภาพอากาศ”

แยนน์·ค็อตแมน… พระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน? ชายคนนั้นสามารถยับยั้งพลังของคาเวทูว่าได้ง่ายดายเพียงนี้เชียว?

ไคลน์มองออกไปพลางครุ่นคิด

เดนิสยังคงพล่าม

“ฉันเคยกังวล ฮะฮะ! กลัวว่าเทพสมุทรจะสร้างหายนะแก่บายัม… จนกระทั่งแยนน์·ค็อตแมนปรากฏตัว”

มันมิได้พูดกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เพียงพึมพำคนเดียวเรื่อยเปื่อย

“ถ้าเป็นใจกลางทะเล แม้แต่ ‘ราชาห้าห้วงสมุทร’ และ ‘ราชินีเงื่อนงำ’ ก็เอาชนะชายคนนั้นไม่ได้ กัปตันเคยเล่าว่า แยนน์·ค็อตแมนคือครึ่งเทพในลำดับ 3… ชื่อของโอสถก็คือ… เจ้าสมุทร”

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset