Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 539 : ปฏิบัติการยามค่ำคืน

ราชันเร้นลับ 539 : ปฏิบัติการยามค่ำคืน

“เมื่อผู้มาเยือนจากภายนอกหยิบดาบศักดิ์สิทธิ์ พระองค์จะปรากฏตัวบนโลกมนุษย์อีกครั้ง”

“…แล้วถ้าดาบศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายล่ะ?”

สองประโยคข้างต้นกำลังดังก้องในหัวเอ็ดมันตันและไครัท กระบวนการความคิดของพวกมันดำเนินมาถึงทางตัน

ผ่านไปหลายวินาที ทั้งสองเอาแต่จ้องมองดาบกระดูกแตกหักด้วยสีหน้าเหม่อลอยและไร้ทิศทาง

พวกมันยากจะทำใจเชื่อว่า ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งถูกผู้มาเยือนจากภายนอกสัมผัสในช่วงค่ำของวันนี้ จะแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยภายในเวลาไม่นาน!

หมายความว่าอย่างไร?

สื่อถึงอะไรได้บ้าง…

พวกมันไม่กล้าคิดไกล ความรู้สึกคล้ายกับย้อนไปยังจุดเริ่มต้นเมื่อหลายปีก่อน ณ เวลานั้น ทางกองทัพโลเอ็นได้สืบจนพบฐานลับของกลุ่มต่อต้าน และเข้ากวาดล้างอย่างฉับพลันโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า พ่อแม่ของทั้งคู่เสียชีวิตอย่างทารุณในเหตุการณ์ดังกล่าว ญาติพี่น้องเพศหญิงทุกคนถูกจับตัวไปขาย และได้รับข่าวร้ายในเวลาถัดมา

สำหรับตอนนี้ ไครัทและเอ็ดมันตันกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์สับสน กระสับกระส่าย ตึงเครียด และจนปัญญา ทั้งหมดผสมผสานจนเกิดเป็นความซึมเศร้าหดหู่

“พวกเราต้องกลับไปอยู่ในป่า… ตามหาท่านนักบวชและสืบหาเหตุผลเบื้องหลังของเหตุการณ์คราวนี้ให้ได้ บางที นี่อาจเป็นวิวรณ์ครั้งสุดท้ายของพระองค์…”

ไครัทหมุนวีลแชร์ กล่าวด้วยเสียงดำดิ่ง

เอ็นมันตันลุกขึ้นยืน หันไปออกคำสั่งกับกลุ่มต่อต้านคนที่เหลือ

“พวกนายทุกคนยังต้องตามล่าตัวผู้ลบหลู่เทพต่อไป แต่ให้รีบย้ายออกจากที่นี่ แล้วก็ กำชับสาวกด้านนอกอย่างเคร่งครัด หลังจากนี้ ห้ามมิให้ใครประกอบพิธีกรรมหรือวิงวอนถึงพระองค์เด็ดขาด!”

การเปลี่ยนแปลงในตัวองค์เทพอย่างกะทันหัน ได้ทำให้พวกมันหวาดระแวงมากเป็นพิเศษ

เมืองบายัม ณ มุมหนึ่งของถนนที่มีมหาวิหารคลื่นสมุทรตั้งอยู่

เดนิสกำลังถือกระดาษสีขาวปึกใหญ่ สีหน้าเผยความร้อนรนเล็กน้อย สับสนเล็กน้อย และกังวลเล็กน้อย ก่อนจะซักถาม :

“นายกำลังหมายความว่า ให้ฉันแปะพวกมันไว้ตามจุดต่างๆ ของถนน และสุดท้ายให้แปะไว้หน้าประตูวิหารคลื่นสมุทร?”

เดนิสกังวลว่า ขณะตนกำลังนำใบประกาศไปแปะ นักบวชและบิชอปจำนวนมากอาจเปิดประตูพรวดออกมา และรุมกระทืบโดยไม่ซักถามว่าแปะกระดาษไปเพื่ออะไร

ไคลน์รักษามาดขรึม

“ถูกต้อง”

แผนเดิมของชายหนุ่มก็คือ ส่งข่าวคราวของ ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่าให้แฮงแมน และฝากฝังให้อีกฝ่ายแอบนำไปแจ้งกับโบสถ์วายุสลาตันโดยตรง แต่หลังจากประเมินว่าแฮงแมนกุมความลับของท่าเรือแบนชีเอาไว้ และบางที ชายคนนั้นอาจรายงานให้เบื้องบนทราบแล้ว ถ้าได้รับเบาะแสสำคัญเพิ่มเติมภายในเวลาไม่นาน อาจทำให้เบื้องบนเกิดความสงสัย ไคลน์จึงตัดสินใจจัดการปัญหาเกี่ยวกับ ‘เทพสมุทร’ ด้วยตัวเอง

วิธีการก็ไม่ซับซ้อน เพียงแปะใบประกาศไว้หน้าประตูหลักของ ‘ทูตพิพากษา’ ให้พวกมันพบเห็นทันทีเมื่อเดินออกมา

อย่างไรก็ตาม แผนนี้ยังติดปัญหาอยู่เล็กน้อย เนื่องจากไคลน์ยังไม่ทราบว่า ห้างร้านหรือบริษัทใดรอบวิหารคลื่นสมุทร คือฉากหน้าของหน่วย ‘ทูตพิพากษา’ กันแน่ จึงต้องให้เดนิสทำงานหนักกว่าปรกติ คอยแปะใบประกาศจนทั่วสถานที่ต้องสงสัย รวมถึงจุดสำคัญอย่างประตูหลักของมหาวิหารคลื่นสมุทร

“…”

เรามัวทำอะไรอยู่ น่าจะเผ่นหนีไปตั้งนานแล้ว… ทำไมถึงได้ต้องคิดว่าหมอนี่มีบุญคุณเคยช่วยชีวิตเราไว้… เฮ่อ… บางที ถ้าเราแข็งแกร่งและมีค่าหัวแพงกว่าปัจจุบันอีกสักหน่อย คงถูกเปลี่ยนเป็นทองปอนด์ไปนานแล้วกระมัง… ไม่สิ เราไม่มีทางทราบล่วงหน้าว่า คนเสียสติอย่างมันจะขจัดคำสาปของเทพสมุทรได้ง่ายดาย… การวิ่งหนีอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม…

เดนิสถอนหายใจห่อเหี่ยว คลี่ปึกกระดาษสีขาวในมือ และชำเลืองอ่านข้อความ

“หลังจากเลติเซีย·โดเรล่าและคณะได้ลอบเข้าไปในโบราณสถานของ ‘เทพสมุทร’ บนเกาะไซมีม พวกเธอก็ถูกตามล่าโดยกลุ่มต่อต้านทันที ; ขณะเดียวกัน ไครัทและกลุ่มต่อต้านคนอื่นพยายามขายดาบกระดูกที่มีลักษณะโค้งงอเล็กน้อย ; คาเวทูว่า เทพสมุทร กำลังขาดเสถียรภาพ และใกล้อาละวาดอย่างเสียสติเต็มที”

แล้วเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทราบได้อย่างไรว่า เทพสมุทร·คาเวทูว่ากำลังขาดเสถียรภาพ? แถมยังบอกภาพจิตใจได้อย่างละเอียด… เป็นการค้นพบหลังจากขจัดคำสาปของเทพสมุทรสำเร็จ? ว่าแต่ หมอนั่นขจัดคำสาปทรงพลังด้วยตัวเองได้ยังไง! ดูเหมือนว่า องค์กรลับเบื้องหลังจะทรงพลังเหนือจินตนาการเราไปมาก… หรือจะเป็นเหมือนกับชุมนุมแสงเหนือ สาวกผู้ศรัทธาต่อเทพแท้จริง?

ยิ่งครุ่นคิด เดนิสก็ยิ่งหวาดกลัว ย้อนกลับไปหลายปีก่อน มันเคยได้ยินชื่อชุมนุมแสงเหนือครั้งแรกจากโจรสลัดกลุ่มหนึ่ง

ในตอนนั้น เราได้เห็นสีหน้าดำมืดของกัปตันเป็นครั้งแรก… โดยในเวลาถัดมา กัปตันตัดสินใจสอนพื้นฐานของโลกผู้วิเศษให้กับลูกเรือทุกคน…

ไคลน์ตอบสนองสายตาของเดนิสด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

บนใบปิดประกาศ ชายหนุ่มตัดการวิเคราะห์ส่วนตัวออกไปทั้งหมด เลือกอธิบายเพียงข้อเท็จจริง จะได้ไม่เป็นการรบกวนสมมติฐานทางฝั่งโบสถ์วายุสลาตัน

อีกทั้ง ไคลน์มิได้ระบุลงไปว่าเลติเซียและคณะทำการขโมยบางสิ่งออกมา และคำว่าวิหารร้างได้เปลี่ยนเป็นวลีคลุมเครืออย่าง ‘โบราณสถานเทพสมุทร’ แทน รวมถึงไม่ได้บอกว่า ไครัทและกลุ่มต่อต้านอาจละทิ้งฐานทัพในปัจจุบัน เมื่อตระหนักถึงความผิดปรกติเกี่ยวกับเทพสมุทร

เดนิสสลัดความคาใจทิ้งไป ไม่กล้าตั้งข้อสงสัยเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าว

กัปตันเคยกล่าวไว้ว่า ยิ่งทราบความลับของคนอื่นมากเท่าใด ตัวเราก็ยิ่งเป็นอันตรายมากเท่านั้น!

หลังจากครุ่นคิดสักพัก เดนิสถาม

“หากติดไว้หน้าวิหารคลื่นสมุทร ทางโบสถ์วายุสลาตันคงไม่นิ่งนอนใจแน่… และถ้าเป็นแบบนั้น พวกมันก็ต้องรู้ใช่ไหมว่าเป็นฝีมือของฉัน?”

ไคลน์ตอบห้วน

“ใช่”

เดนิสยิ้มแห้ง

“แล้วฉันจะไม่ฉิบหายเอาหรือ?”

ไคลน์ใช้พลังตัวตลกยืนกลั้นขำหน้านิ่ง พลางตอบกลับอย่างเย็นชา

“นายมีค่าหัวติดตัวอยู่แล้ว”

คิดว่าตัวเองสามารถเดินกร่างไปบนถนนสายหลักของบายัมได้รึไง? ไคลน์เสริม

นั่นสินะ ไม่ว่าจะทำหรือไม่ แต่โบสถ์วายุสลาตันก็คงตามล่าตัวเราอยู่ดี… เดี๋ยวสิ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!

เดนิสรีบโพล่ง

“แต่ค่าหัวของฉันจะเพิ่มขึ้น!”

ไคลน์ชำเลืองโดยไม่กล่าวคำใด เพียงฉีกยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย

เมื่อเห็นภาพดังกล่าว คล้ายกับเดนิสได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า :

แบบนั้นก็ยิ่งดีเลยไม่ใช่หรือ?

ดีกับผีสิวะ!

เพลิงพิโรธหัวเราะแห้งสองครั้ง ก่อนจะรีบหยิบแผ่นกระดาษออกมา ไล่แปะตามจุดสะดุดตารอบเส้นถนนจนครบถ้วน อาศัยลมแรงยามค่ำยืนช่วยในการเดิน

เหมือนกับกำลังโฆษณาอะไรสักอย่าง…

ไคลน์สอดมือหนึ่งเข้าไปในกระเป๋าหนึ่งข้าง พลางยืนจับตามองการทำงานของอีกฝ่าย

ก่อนจะครุ่นคิด

การมีผู้ช่วยก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องทำเองให้เสื่อมเสียภาพลักษณ์… หากสมัยยังอยู่ทิงเก็นและเบ็คลันด์มีเบ๊แบบนี้บ้าง คงเป็นภาพที่น่าดูไม่น้อย…

จนกระทั่ง เดนิสเดินมาหยุดยืนหน้าประตูวิหารคลื่นสมุทร ก่อนจะเหยียดแขนปิดใบประกาศหนึ่งแผ่นลงไป จากนั้น มันกำหมัดแน่นและชกใส่ประตูเต็มแรง

โครม!

เมื่อจัดการเสร็จ เพลิงพิโรธหันหลังกลับและออกวิ่งเต็มฝีเท้า ประหนึ่งว่ามีทูตพิพากษานับสิบคนวิ่งไล่ตามจากด้านหลัง

ทางด้านไคลน์ก็ไม่กล้าประมาท มันหยิบกระดาษรูปคนออกมาถือ สะบัดข้อมือ ปล่อยให้แผ่นกระดาษไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน และรีบหนีออกจากจุดเกิดเหตุทันที

หลังจากเคย ‘ทำงานร่วมกัน’ ในปฏิบัติการคราวก่อน ไคลน์ได้ทราบถึงทัศนคติและธรรมชาติของทูตพิพากษาอย่างถ่องแท้ จึงไม่กล้าทำตัวเอ้อระเหย

จนกระทั่ง ทั้งคู่ออกห่างจากวิหารคลื่นสมุทรมาไกลพอสมควร ‘คนร้าย’ ทั้งสองจึงลดฝีเท้าลง กลับไปเป็นการเดินตามปรกติ

เดนิสยังคงไม่เหน็ดเหนื่อย ใบหน้าไม่แดง และลมหายใจปรกติ

มันซักถามด้วยสีหน้าฉงน

“ทำไมนายถึงไม่เขียนจดหมายไปหาตำรวจหรือศาลากลางเมือง แบบนั้นไม่เร็วกว่าหรือ?”

ขณะรอคำอธิบายจากอีกฝ่าย เดนิสเกิดฉุกคิดคำตอบได้ด้วยตัวเอง

จริงสิ… ตำรวจปลายแถวและข้าราชการท้องถิ่นส่วนใหญ่เป็นชนพื้นเมือง บางคนอาจเห็นใจกลุ่มต่อต้าน และบางคนอาจเป็นสาวกเทพสมุทรด้วยซ้ำ

ขณะกำลังครุ่นคิด คนทั้งสองเลี้ยวเปลี่ยนเส้นถนน จนพบกับอาคารสีแดงขนาดมหึมา

ด้านในเปิดไฟสว่าง ดนตรีดังเล็ดลอดเป็นจังหวะไพเราะ ผู้คนมากมายผ่านเข้าออก รถม้าสลับกันขับมาจอดด้านหน้า บรรยากาศไม่เหมือนกับกลางดึกสงัดเลยสักนิดเดียว

“ฮะฮะ! หลงมาถึงนี่จนได้” หลังจากยืนตะลึงสักพัก เดนิสเผยรอยยิ้มที่มนุษย์เพศชายทุกคนเข้าใจตรงกัน

โรงละครแดง…?

ไคลน์ ผู้มีความรู้เชิงทฤษฎีแน่น ทราบชื่อของสถานที่อโคจรตรงหน้าทันที

เดนิสหัวเราะ

“นี่คือหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวอันโด่งดังของมหาสมุทรโซเนียทั้งแถบ ด้านในเต็มไปด้วยหญิงสาวชาวไบลัมผู้เปี่ยมด้วยความลึกลับน่าค้นหา สาวเฟเนพ็อตดุดันร้อนแรง สาวอินทิสใจง่ายและเปิดเผย สาวสูงฟุซัคสูงใหญ่สัดส่วนเยี่ยมยอด สาวโลเอ็นรักนวลสงวนตัว และสาวพื้นเมืองอ่อนโยนว่าง่าย”

รู้เยอะชะมัด… มาบ่อย?

ไคลน์ชำเลืองไปทางเพลิงพิโรธโดยไม่กล่าวสิ่งใด

เมื่อสัมผัสถึงความคิดอีกฝ่าย เดนิสรีบเผยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน

“ค…แค่ฟังมาจากคนอื่น! ฉันเคยแวะมาไม่กี่ครั้งเอง… เมื่อก่อนฉันมีเงินไม่มาก จึงเที่ยวได้แค่เกรดปานกลาง มักอยู่ฝั่งทะเลหมอกเป็นส่วนใหญ่ แต่หลังจากเข้าร่วมฝันทองคำ…”

ไม่เลวทีเดียว… จริงอยู่ ลูกเรือของพลเรือโทธารน้ำแข็งอาจมีรายได้มากกว่ากลุ่มโจรสลัดอื่น แต่สำหรับโจรสลัดชายที่มีชะตากรรมต้องหมดเงินไปกับสุรานารี การเก็บเงินซื้อบ้านย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย… แต่หมอนี่กลับครอบครองบ้านในเมืองบายัมหลายหลัง นับว่าเก็บเงินเก่งเอาเรื่องทีเดียว… ไคลน์ครุ่นคิด

เดนิสไม่ต้องการสานต่อบทสนทนาเดิม

“อย่างไรก็ตาม ภายในบายัม นอกจากโรงละครแดงแล้ว โสเภณีตามท้องถนนก็ไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะแถบนั้น”

มันชี้ไปยังจุดห่างไกล

“โจรสลัดหลายคนเคยทำการทดลอง เดินไปเคาะประตูบ้านทุกหลัง ยื่นเงินออกมาและเสนอขอหลับนอนกับภรรยาเจ้าของบ้าน ปรากฏว่า มีมากถึงสี่ในสิบครอบครัวตอบตกลง… จุ๊จุ๊… ถ้าเป็นชาวโลเอ็นหน้าตาหล่อเหลาแบบนาย คงไม่มีบ้านไหนตอบปฏิเสธแน่นอน อย่างมากก็แค่พยายามซ่อนลูกสาวเอาไว้ไม่ให้นายเห็น ฮะฮะ! ในแต่ละปีจะมีทหารเรือของโลเอ็นข่มขืนหญิงสาวชาวบายัมเสมอ พวกมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าโจรสลัดสักเท่าไร แต่บทลงโทษกลับน้อยนิดจนน่าเจ็บใจ เพียงส่งกลับบ้านเกิดและปรับเศษเงิน ไม่มีการลงโทษทางวินัย”

ไคลน์ยืนฟังอย่างเงียบงัน สมองครุ่นคิดถึงภาพของกลุ่มสาวกเทพสมุทรจำนวนมาก ที่รวมตัวกันกราบไหว้รอบสระน้ำกลางจัตุรัสเมื่อช่วงค่ำ โดยสีหน้าทุกคนล้วนเปี่ยมความศรัทธาอย่างน่าประหลาด

กรุงเบ็คลันด์ คฤหาสน์ตระกูลโอดรา

เอ็มลินไวท์ ผู้จงใจเปิดเผยความผิดปรกติของตนให้แวมไพร์คนอื่นเห็นมาสักระยะ กำลังเดินตามคาซีมีลงไปชั้นห้องใต้ดินของคฤหาสน์ และเข้าไปยังห้องโถงใหญ่สีเทาขนาดใหญ่ ที่มีโลงศพเหล็กสีดำตั้งอยู่ใจกลาง

“ท่านลอร์ดนีบาสผู้ยิ่งใหญ่ ต้องการพบหน้าข้าด้วยเหตุผลอันใดหรือ” เอ็มลินซ้อมบทพูดดังกล่าวมาแล้วหลายหน แต่กลับมิอาจระงับความตื่นเต้นเอาไว้ได้

อย่างไรก็ตาม หากอ้างอิงตามหลักของการแสดงละคร ตนก็ไม่ควรเก็บซ่อนความกังวลและหวาดกลัวเอาไว้มากเกินไป

ต้องแสดงอารมณ์อย่างพอเหมาะ… และเราก็ทำได้โดยไม่มีจุดบกพร่อง!

เอ็มลินเริ่มใจเย็นลง

สุ้มเสียงแก่ชราดังออกจากโลงเหล็กที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และลวดลายเวทมนตร์

“เพื่อชื่นชมเจ้า… เจ้ากล้าเสี่ยงชีวิตของตน สวดวิงวอนถึงเดอะฟูลเพื่อบรรพชนของเรา แม้จะไม่ได้รับการตอบสนองใดกลับมา แต่ก็ต้องใช้ความกล้าหาญเป็นอย่างมาก วีรกรรมของเจ้าควรค่าแก่การตกรางวัล นี่คือเงินเจ็ดพันปอนด์ เป็นรางวัลอันสมควรแก่คุณงามความดี หากไม่เพราะเหตุการณ์มหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์เข้ามาขัดขวาง พวกเราคงมอบให้เจ้าได้เร็วกว่านี้ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่สายเกินไป อย่างไรก็ตาม เจ้าต้องคอยระมัดระวังตัวเองให้มาก ห้ามประมาทแม้แต่วินาทีเดียว หากเกิดเรื่องผิดปรกติขึ้น ให้รีบรายงานกับคาซีมีโดยด่วน”

ได้เงินจริงด้วย…

เอ็มลินทึ่งจนอ้าปากค้าง

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset