Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1014 : พัฒนาการของแต่ละคน

“ตกลง” เอ็มลินขานรับอย่างใจเย็น

มาริคไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงหายตัวไปทั้งอย่างนั้น

มันเองก็ทราบว่าแผนการใหญ่เช่นนี้ไม่สามารถพูดคุยให้จบในคราวเดียว เอ็มลินจึงตัดสินใจกลับไปขอคำแนะนำจากเบื้องบนก่อน

นี่อาจเป็นโอกาสที่เราจะได้เป็นเอิร์ลและครอบครองเศษเสี้ยวความเป็นเทพ… เอ็มลินยิ้ม เฝ้ามอง ‘วิญญาณอาฆาต’ มาริคจากไปอย่างเงียบงัน

แน่นอน มันยังย่อยสูตรโอสถของปราชญ์สีชาดไม่เสร็จ แต่โอกาสที่ว่านั้นหมายถึง คำมั่นสัญญาที่จะช่วยประกอบพิธีกรรมหรือสูตรโอสถที่เกี่ยวข้อง

รถม้าแล่นไปจนกระทั่งหยุดลงที่วิหารฤดูเก็บเกี่ยว เอ็มลินชำเลืองหมอกสีเทาบนท้องฟ้าด้วยสายตาพึงพอใจ ลงจากรถอย่างไม่รีบร้อน เข้าไปทางประตูหน้าของวิหาร

เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักบวชสีน้ำตาลเสร็จ มันหยิบผ้าขี้ริ้วและถังน้ำสะอาด เช็ดผิวเชิงเทียนอย่างระมัดระวังทั้งสองฝั่ง

เมื่อเห็นหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ที่ดูเหมือนจะสูงขึ้นจากเดิม เสร็จการเทศนาธรรมช่วงเช้า เอ็มลินหยุดมือพร้อมกับหันไปถาม

“ทำไมเออร์เนสถึงได้รับอนุญาตให้กลับ?”

“เขาขอเป็นอาสาสมัครแค่หนึ่งเดือน” หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ตอบคำถามเอ็มลินห้วนๆ ไม่แสดงท่าทีเบื่อหน่ายคำถามซ้ำๆ ของอีกฝ่าย

เมื่อนึกทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เอ็มลินรู้สึกไม่ยุติธรรม อดไม่ได้ที่จะบ่น

“เจ้านั่นถูกบังคับให้เป็นอาสาสมัคร มิได้มาด้วยความสมัครใจ ไม่ควรกำหนดเวลาเองได้ อย่างน้อยก็ต้องทำงานสักครึ่งปี!”

หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ตอบด้วยรอยยิ้ม

“เขาทำงานได้ดี เป็นการทำงานอย่างหนักตลอดทั้งเดือน คัดลอกพระคัมภีร์และคอยชี้ทางสว่างแก่สาวก ผมสัมผัสได้ว่า เขาตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตและการเก็บเกี่ยวเป็นอย่างดีแล้ว”

กล้ามเนื้อใบหน้าเอ็มลินกระตุกเล็กน้อย

“เจ้านั่นเอง… เอ่อ… กำลังจะกลายเป็นสาวกของพระแม่ธรณีเหมือนกันใช่ไหม?”

“ไม่ ผมไม่ได้บังคับให้เขาเปลี่ยนความเชื่อ” หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ตอบเสียงอ่อนโยน “ผมแค่สอนให้เขารู้จักหลักคำสอนของพระแม่ สัมผัสถึงคุณค่าแห่งชีวิต และหากในอนาคตเกิดหลงทาง ผมหวังว่าเขาจะหวนนึกถึงบ้านเกิดของดวงวิญญาณ – อ้อมกอดของพระแม่”

ริมฝีปากเอ็มลินกระตุกสองสามหน แต่สุดท้ายก็มิได้กล่าวคำใด เพียงก้มหน้าลงและเช็ดต่อไป

เขตเชอร์วู้ด ภายในบ้านหลังหนึ่ง

ฟอร์สนั่งบนเก้าอี้พนักสูง มองขวดแก้วเปล่าบนโต๊ะตรงหน้า

ในที่สุดเธอก็ประสบความสำเร็จในการย่อยโอสถโหราจารย์ และสำหรับวันนี้ ภายใต้การคุมครองของซิล ฟอร์สนำสมองของอัสมานและวัตถุต้องสาปของวิญญาณอาฆาตโบราณ ปรุงเป็นโอสถ ‘นักบันทึก’ และรวบรวมความกล้าหาญดื่มลงไป

ทันใดนั้น หญิงสาวพบว่าสมองของตนขยายออกอย่างรวดเร็ว รอยหยักสีเทาและของเหลวสีขาวข้นเพิ่มจำนวนขึ้นมหาศาล ร่างกายซีดจางลงและแบ่งออกมาเป็นเซลล์ย่อยเล็กๆ

เซลล์เหล่านั้นเรียงตัวกันเป็นประตูแสงทรงกลดรอบๆ สมอง

ฟอร์สได้ยินเสียงเพียงอันคลุมเครือที่คุ้นเคยอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่เด่นชัดมากนัก มิอาจจำแนกความหมายของประโยค สำหรับเธอที่มีประสบการณ์นับไม่ถ้วน ของแค่นี้ไม่สามารถทำอะไรได้

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ในที่สุดฟอร์สก็สามารถควบคุมสมองและเซลล์ ตระหนักถึงการมีอยู่ของร่างกายตัวเอง

แทบจะในเวลาเดียวกัน องค์ความรู้มากมายพรั่งพรูเข้ามาในสมอง ช่วยให้เธอเข้าใจวิธีการใช้พลังชนิดต่างๆ ของนักบันทึก

‘สมอง’ พิเศษชนิดนี้สามารถเลียนแบบพลังที่เป้าหมายเพิ่งใช้งานออกมา จากนั้นก็บังคับเซลล์ให้เรียงตัวเป็นสัญลักษณ์ อักขระ ลวดลายที่เกี่ยวข้อง และจัดเก็บไว้เอาไว้ในร่างกาย

นี่คือ ‘ข้าบรรลุ ข้าประจักษ์ ข้าบันทึก’ ที่ใช้ดวงวิญญาณเป็นปากกา และร่างวิญญาณเป็นกระดาษ!

ในปัจจุบัน เราสามารถบันทึกพลังที่มีเศษเสี้ยวความเป็นเทพได้หนึ่งชนิด ยิ่งเป้าหมายมีลำดับสูง โอกาสล้มเหลวก็ยิ่งสูงตาม แม้ว่าจะเป็นแค่ลำดับ 4 แต่สิบครั้งก็อาจไม่สำเร็จเลยสักครั้ง… พลังของลำดับ 6 และ 5 สามารถบันทึกได้แปดครั้ง ประสิทธิภาพเทียบเท่าครึ่งหนึ่งของต้นฉบับ ส่วนลำดับ 7 ถึง 9 สามารถบันทึกได้ยี่สิบครั้ง ประสิทธิภาพใกล้เคียงของจริงมาก… ไว้โอสถถูกย่อยมากกว่านี้ ทุกด้านจะถูกยกระดับ… ฟอร์สซึมซับความรู้เข้ามาในร่างกาย พึมพำบางสิ่งอย่างเงียบงัน

แม้จะค่อนข้างซ้ำซ้อนกับ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ แต่ฟอร์สรู้สึกว่าการมีพลังพิเศษมากเกินไปนั้นไม่ใช่ปัญหา และทั้งสองแบบก็ยังส่งเสริมกันและกัน นอกจากนั้น เธอสามารถให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์เช่า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ได้ แต่พลังพิเศษของตัวเองนั้นไม่สามารถให้ใครยืม

เมื่อก้าวถึงลำดับ 6 เส้นทางผู้ฝึกหัดเริ่มมีพลังในการต่อสู้บ้างแล้ว! ฟอร์สรวบรวมสติ หันไปหาซิลด้านข้างและถอนหายใจ

เธอหยิบปากกาและกระดาษที่วางอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ เริ่มเขียนจดหมาย

“ถึงอาจารย์”

“ฉันมีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่า ตอนนี้ฉันกลายเป็นนักบันทึกเรียบร้อยแล้ว ห่างจากลำดับในฝันอย่างนักท่องเที่ยวเพียงแค่ก้าวเดียว”

หลังจากเขียนไปได้ไม่กี่ประโยค ฟอร์สมองเห็นจากหางตาว่าซิลกำลังเดินตรงไปที่ประตู เธอจึงตะโกนเรียกไล่หลัง

“นี่… วันนี้จะไม่ไปหาร้านอร่อยๆ ฉลองกันหรือ?”

ซิลตอบเสียงขรึม

“พลังวิญญาณของเธอยังไม่เสถียร ต้องใช้เวลาหลายวันในการปรับสภาพและเข้าฌาน… ห้ามสูบบุหรี่และดื่มเหล้าเด็ดขาด อย่าตามใจตัวเองมากเกินไป”

เมื่อเตือนเสร็จ เธอเสริมหนึ่งประโยค

“ฉันยังมีงานที่ต้องทำ ตอนนี้ใกล้จะแลกสูตรโอสถผู้พิพากษาได้แล้ว”

“…ก็ได้” ฟอร์สโบกมือ

เดินออกจากตัวบ้าน ซิลปลดล็อกโซ่และขึ้นขี่จักรยานที่ออกแบบมาสำหรับเยาวชน ปั่นไปยังเขตฮิลสตัน

จากข้อมูลที่เธอได้รับล่วงหน้า ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดได้จองโต๊ะไว้ในภัตตาคารสุดหรูละแวกดังกล่าว

หลังจากมาถึงภัตตาคาร ซิลล็อกจักรยานไว้กับโคมไฟแก๊สริมถนน หามุมซ่อนตัว เฝ้าสังเกตผู้คนที่เดินผ่านไปมา

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ท่ามกลางบรรยากาศหมอกบางๆ รถม้าคันหนึ่งโผล่ออกมาบนถนน ตราสัญลักษณ์ด้านข้างเป็นลวดลายดอกไม้และแหวนสองวง

ซิลเพ่งสมาธิทันที จนกระทั่งเห็นรถม้าหยุดลงที่หน้าทางเข้าภัตตาคาร และเห็นไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดในวัยกว่าสี่สิบเดินลงมาเป็นคนแรก ตามด้วยการหันไปยื่นมือให้ผู้โดยสารด้านหลังด้วยมาดของสุภาพบุรุษ

เป็นสตรีที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเข้ม

ซิลมองไม่เห็นหน้าของสตรี พบเพียงคางมนๆ และผิวพรรณขาวกระจ่าง

ทะเลโซเนีย น่านน้ำทิศเหนือ บนโทสะสีคราม

ปลายเท้าของอัลเจอร์·วิลสันกำลังลอยสูงจากพื้น ร่างของมันอยู่ชิดริมหน้าต่างห้องกัปตัน สายตาจ้องมองไปยังดาดฟ้าด้านนอกและคลื่นทะเลไกลออกไป

ปัจจุบัน มันย่อยโอสถผู้ขับขานสมุทรไปได้บางส่วนแล้ว แต่เมื่อสองสัปดาห์ก่อน อัลเจอร์ตัดสินใจสะสมคะแนนผลงานจนครบและแจ้งไปยังเบื้องบนของโบสถ์วายุสลาตันว่า ตนพร้อมแล้วที่จะเลื่อนลำดับเป็นลำดับ 6 ‘ข้ารับใช้วายุ’ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง มันเพิ่งถูกลงทะเบียนให้เป็นลำดับ 6 ‘อย่างเป็นทางการ’ และแน่นอน ต้องเสียเวลาย่อยโอสถข้ารับใช้วายุใหม่อีกครั้ง แต่ก็นั่นไม่ใช่ปัญหา

เฮ้อ… ปัญหาก็คือ ทุกครั้งที่ผู้ขับขานสมุทรย่อยโอสถคืบหน้า สัญญาณบ่งชี้จะปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดเกินไป… เราน่าจะซื้อไม้เท้าวาจาสมุทรนั่นมากลบเกลื่อน โยนความผิดทั้งหมดเกี่ยวกับเสียงเพลงไปให้มันแทน… อัลเจอร์ถอนหายใจเงียบ มันมิได้เสียใจกับเรื่องนี้มากนัก เพราะในตอนนั้น ถึงอยากจะซื้อก็มีเงินไม่พอ

นอกจากนั้น มันยังพบกุญแจสำคัญที่จะช่วยย่อยโอสถผู้ขับขานสมุทรแล้ว

เราต้องรีบสืบหาว่า นายทหารเรือฟุซัคที่มิสเตอร์ฟูลต้องการทราบข้อมูลเป็นใครกันแน่… อัลเจอร์ถอนสายตากลับ ลอยไปยังโต๊ะทำงานที่มีอุปกรณ์เดินเรือทองเหลืองทำเครื่องหมายไว้

ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงลูกเรือสองคนคุยกันบนดาดฟ้าในสภาพเมามาย

“แถวนี้ต้องมีสัตว์ทะเลอยู่แน่ๆ ฉันมักได้ยินพวกมันร้องเพลงในตอนกลางคืน” ลูกเรือคนหนึ่งตั้งข้อสงสัย

เพื่อนของมันหัวเราะทันที

“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง? เสียงร้องของพวกไซเรนไม่มีทางห่วยขนาดนั้นแน่ คงเป็นเสียงโหยหวนของสัตว์ทะเลที่พยายามทำอะไรสักอย่างมากกว่า!”

เมืองเงินพิสุทธิ์ ณ ลานฝึกที่ไม่คึกคักเท่าตอน ‘กลางวัน’

กองน้ำแข็งสีฟ้าถูกวางซ้อนกันเป็นภูเขา

เดอร์ริคที่ไม่ได้พกอาวุธคู่กายมาด้วย ยืนสวดมนต์มือเปล่าหน้ากองน้ำแข็ง

“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”

หลังจากท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์และแจ้งความประสงค์ มันชำเลืองไปทางโคลิน·อีเลียด ผู้นำแห่งหกสภาอาวุธที่กำลังเดินเข้าหากองน้ำแข็งจากไกลๆ

ในสภาพสะพายดาบคู่ไว้ด้านหลัง โคลินเดินถือขวดบรรจุของเหลวสีทองที่เปล่งแสงและความร้อน ขยับเข้ามาใกล้และเฝ้ามองเดอร์ริคใช้พละกำลังขุดกองน้ำแข็งเพื่อฝังตัวเองอย่างมิดชิดโดยปราศจากช่องว่าง

ความมืดสนิทแผ่ปกคลุมทันที แม้บนท้องฟ้าจะมีฟ้าผ่าเป็นระยะ แต่ก็มิอาจมอบแสงสว่างแก่เบื้องล่าง

เพียงพริบตา บรรยากาศแปลกประหลาดพลันท่วมท้นทั่วบริเวณ คล้ายกับมีดวงตาคู่หนึ่งมองออกจากส่วนลึกของความมืด

โคลิน·อีเลียดตระหนักว่าเดอร์ริคกำลังหลับสนิท ในสภาพถูกแช่แข็งท่ามกลางก้อนน้ำแข็งที่ไม่ละลายตามปรกติ ใบหน้าเด็กหนุ่มเผยความซีดเซียว ร่างกายสั่นเทาเล็กๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ตื่น

มันขจัดความลังเล โยนขวดโอสถไปด้านหน้า โดยมีร่างหนึ่งที่คล้ายวิญญาณอาฆาตลอยมาห่อหุ้มไว้

ร่างดังกล่าวทะลุผ่านกองน้ำแข็งสีฟ้าอ่อน ตรงเข้าไปในพื้นที่เล็กๆ ที่เดอร์ริคกำลังหลับ นำโอสถออกมากรอกปากเด็กหนุ่ม

เมื่อจัดการเสร็จ ร่างดังกล่าวถอนตัวออกจากกองน้ำแข็งทันที

ฉึบ!

โคลิน·อีเลียดชักดาบยาวออกมาฟันไปทางด้านหลังฝั่งขวา ร่างของสัตว์ประหลาดที่เต็มไปด้วยดวงตาพลันขาดกระจายพร้อมกับหนองสีเหลืองสาดกระเซ็น

ไม่มีใครรู้ว่ามันโผล่มาจากไหน!

ทันใดนั้น ภายในกองน้ำแข็งสีฟ้าอ่อน โคลิน·อีเลียดของเห็นแสงสว่างค่อยๆ ทวีความเจิดจ้า เป็นแสงที่บริสุทธิ์แตกต่างจากแสงของฟ้าผ่า ทั้งอบอุ่นและสว่างไสว เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ฉากตรงหน้าทำให้โคลินหวนนึกถึงภาพถ่ายสมัยก่อนที่จะเกิดยุคมืด

เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์เฝ้ามองโดยไม่ละสายตาเป็นเวลานาน จนกระทั่งมีสัตว์ประหลาดตัวใหม่โผล่ออกจากความมืด

เหนือสายหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ

เดอะซันน้อยเองก็ลำดับ 5 แล้ว… ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ถอนสายตากลับจากดาวแดงตัวแทนเดอะซันน้อย ตามด้วยการหันไปมองดาวแดงอีกดวง

เป็นดาวแดงตัวแทนมิสจัสติส ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หญิงสาวทำงานหลายชิ้นให้สมาคมแปรจิตจนสามารถนำคะแนนผลงานไปแลกเป็นสูตรโอสถ ‘นักท่องฝัน’

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอจะต้องเผชิญหน้ากับเฮอร์วิน·แรมบิสอีกครั้ง

……………………..

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset