Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 509 : คำขอร้อง

ราชันเร้นลับ 509 : คำขอร้อง

“แล้วครอบครัวดิเมอดอร์อยู่ไหน?”

“ในภัตตาคาร”

เออร์ดี้·แบรนช์ตอบโดยไม่คิดมาก

จากนั้น มันชี้นิ้วไปทางจุดซึ่งเคยมีศีรษะเน่าเปื่อยขึ้นราเกลือกกลิ้ง พลางซักถาม

“เมื่อครู่มันอะไร”

ไคลน์ ผู้ต้องการรักษามาดเงียบขรึมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ตัดสินใจไม่ตอบ เพียงชำเลืองเดนิสเล็กน้อยและเดินผ่านครอบครัวดอนน่าไปยังประตูภัตตาคาร

เดนิส·เพลิงพิโรธถือตะเกียงเดินตามหลังมาไม่ห่าง เมื่อตระหนักว่าถึงจุดหมายเสียที มันเผยสีหน้าโล่งใจเล็กๆ พร้อมกับยืดอด

“พวกคุณยังไม่ต้องสงสัยว่ามันคืออะไร ให้เข้าใจว่าเป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายและพยายามทำร้ายมนุษย์ก็พอ”

หากไม่ใช่เพราะเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยืนห่างออกไปไม่กี่เมตร มันคงจะโพล่งออกไปอย่างภาคภูมิใจว่า :

ท่านเดนิส·เพลิงพิโรธผู้ยิ่งใหญ่มาช่วยพวกแกทุกคนแล้ว!

คลีฟส์ชำเลืองเซซิลและทีก ก่อนจะเดินไปข้างหน้าเพื่ออธิบายกับนายจ้าง

“ไว้ค่อยถามหลังจากถึงโมราขาว”

บอดี้การ์ดทั้งสามล้วนเคยเป็นนักผจญภัยมาก่อน บางคนมีประสบการณ์มาก บางคนยังมือใหม่ แต่ก็มีหนึ่งสิ่งร่วมกันคือ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดยังอยู่ในระดับข่าวลือและคำบอกเล่าจากขี้เมาในผับ ฉากเหตุการณ์เมื่อครู่จึงคล้ายกับกำลังฝันไป

แต่เนื่องจากเคยเห็นตัวเมอร์ล็อกมาแล้ว จึงพอจะทำใจยอมรับการมีตัวตนของสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์และน่ากลัวอื่นๆ ได้

เมื่อใจเย็นลง สติของแต่ละคนเริ่มกลับมา สองมือบีบกำด้ามปืนแน่นกระชับ

อย่างไรก็ตาม แสงสีขาวโพลนจากฟากฟ้ายังอยู่นอกเหนือจินตนาการและความเข้าใจไปไกลมาก พวกมันกำลังรู้สึกว่า โลกทัศน์และมุมมองต่อชีวิตของตนช่างไร้เดียงสา

ประสบการณ์ชีวิตในอดีตเริ่มถูกสั่นคลอน

แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก จำต้องยอมรับความอ่อนหัดของตัวเอง และสะกดอารมณ์หดหู่เอาไว้ในใจก่อน

ไคลน์หยุดยืนหน้าทางเข้าภัตตาคารมะนาว

ตามด้วยการยกมือขวาเคาะ

ก็อก! ก็อก! ก็อก!

มันเคาะสามครั้งเป็นจังหวะ แต่ไม่มีสิ่งใดตอบสนองกลับมานอกจากความเงียบงัน

ถ้าไม่ใช่เพราะแสงเทียนสีเหลืองส่องลอดช่องว่างหน้าต่างและประตู ไคลน์คงคิดว่าภัตตาคารแห่งนี้เป็นตึกร้าง

ตึง! ตึง! ตึง!

ชายหนุ่มเคาะอีกสามครั้ง

ภายในร้านอาหาร ความเงียบงันยังคงครอบงำไม่แปรเปลี่ยน คล้ายกับทุกคนทำตามธรรมเนียมไม่ตอบสนองเสียงเคาะในยามสภาพอากาศเลวร้ายอย่างเคร่งครัด

ไคลน์ชักมือขวากลับและนำไปทาบไว้กับชายเสื้อโค้ทกระดุมสองแถว

จากนั้น มันโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ตามด้วยการใช้เข่าขวากระทุ้งใส่ประตู

เมื่อสิ้นเสียง ‘โครม!’ ประตูภัตตาคารเปิดออกทันทีในสภาพหมุดยึดหลุดกระเด็น

ฟ็อกซ์ในชุดทักซิโด้ ผู้เป็นเจ้าของใบหน้าอ้วนท้วน ยังคงยืนในจุดเดิม สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีซึ่งเลือกจะพักค้างคืน ได้เปิดประตูออกมาจ้องอย่างเงียบงัน

“ต้องการอะไร” สีหน้าฟ็อกซ์ปราศจากความฉุนเฉียวเหมือนช่วงก่อน เพียงแต่ในมือกำลังถือลูกโม่ดัดแปลงแน่น

ไคลน์มองไปรอบตัวด้วยเนตรวิญญาณ แต่ก็ไม่พบออร่าความชั่วร้ายจากมนุษย์ภายในอาคารแม้แต่คนเดียว

มันจ้องฟ็อกซ์อย่างใจเย็น ก่อนจะหันไปมองใบหน้าของลูกค้ารายอื่นจนครบถ้วน

“ครอบครัวดิเมอดอร์อยู่ไหน”

ฟ็อกซ์พยายามระงับอารมณ์ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของมันคล้ายกับกำลังมีลมพายุเกรี้ยวกราดอาละวาดอยู่ภายใน มันยืนเงียบเช่นนั้นราวสองวินาที ก่อนจะเอียงคอในลักษณะผิดธรรมชาติและกล่าวเสียงเรียบ

“บนชั้นสอง… ยังเหลือโต๊ะใหญ่ของแขกต่างถิ่นอีกหนึ่งครอบครัว”

“เรียกพวกเขาลงมา” ไคลน์สั่งเย็นชา

ฟ็อกซ์เงียบงันสักพัก จนกระทั่งเห็นไคลน์ชักลูกโม่ดัดแปลงออกมาเล็งศีรษะตน

เจ้าของภัตตาคารสูดลมหายใจยาว ก่อนจะยอมส่งบริกรขึ้นไปพาครอบครัวดิเมอดอร์ลงมายังชั้นล่าง

“เกิดอะไรขึ้น” ดิเมอดอร์ชายอายุราวสามสิบ ผู้กำลังอยู่ในช่วงวันหยุดพักร้อนพร้อมกับภรรยาข้าวใหม่ปลามัน

ไคลน์ลดปากกระบอกปืนลงและพูดหน้านิ่ง

“ท่าเรือแบนชีมีเหตุการณ์ไม่ปรกติเกิดขึ้น คุณจะกลับไปกับพร้อมพวกผม หรือจะอยู่ร้านนี้ต่อ”

“เหตุการณ์ไม่ปรกติ?” ดิเมอดอร์ทวนคำพลางเหลือบมองเออร์ดี้·แบรนช์

มันพอจะทราบว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อค้าส่งออกผู้มั่งคั่ง และจ้างบอดี้การ์ดร่วมทางมาด้วยจำนวนสามคน ฉะนั้น หากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริง การอยู่ร่วมกับคนกลุ่มนี้ย่อมปลอดภัยมากกว่าตามลำพัง

สำหรับธรรมเนียมพิสดารของท่าเรือแบนชี มันมองว่าเป็นแค่นิทานหลอกเด็กเท่านั้น!

ดิเมอดอร์จับมือภรรยาใหม่และเดินไปทางประตูด้วยรอยยิ้มสุภาพ

“ทรัพย์สินของเราอยู่บนเรือทั้งหมด ดังนั้นเราจะไปกับพวกคุณ… ขอบคุณมากสำหรับการแวะมารับ”

มันกับภรรยาเดินผ่านไคลน์และกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ก่อนจะไปรวมตัวกับครอบครัวแบรนช์ด้านหลัง

ไคลน์ลดปืนลงและก้มหัวให้ฟ็อกซ์เล็กน้อย

“ขออภัย”

เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มหันหลังกลับ และเห็นคลีฟส์กับคนอื่นกำลังถูกฉาบด้วยแสงสีเหลืองนวลจากด้านในภัตตาคาร

โครม! ประตูภัตตาคารมะนาวปิดสนิทอีกครั้งพร้อมกับสายลมหมุนวนแผ่วเบา

ไคลน์ตระหนักถึงบรรยากาศผิดแผก แต่เนื่องจากเนตรวิญญาณไม่พบสิ่งน่าสงสัย จึงปล่อยผ่านโดยไม่คิดสืบสวนลึกมากกว่านี้ เพราะเกรงว่าจะทำให้ ‘อันตรายซ่อนเร้น’ ของท่าเรือแบนชีปะทุออกมา

เมื่อกลับมายืนข้างเดนิส ไคลน์นับจำนวนคณะเดินทางในปัจจุบันด้วยความช่วยเหลือจากแสงตะเกียง

ครอบครัวดอนน่ามีสี่ บอดี้การ์ดอีกสาม รวมถึงคู่รักดิเมอดอร์และคนรับใช้…

ไคลน์ย้ายลูกโม่ดัดแปลงในมือขวาไปถือรวมกับไม้ค้ำในมืออีกข้าง ก่อนจะใช้มือขวาล้วงกระเป๋าเสื้อเพื่อสัมผัส ‘เข็มกลัดสุริยัน’ อย่างอ่อนโยน

ทันใดนั้น แสงสีทองเข้มได้ส่องประกายออกจากตัวไคลน์ แผ่ไปยังทุกคนรอบตัวในลักษณะคล้ายคลื่นน้ำ

ดอนน่าและคนอื่นๆ เริ่มรู้สึกคล้ายกับ กำลังอาบแดดใต้แสงอาทิตย์อบอุ่น ความหนาวเย็นในร่างลดทอนลงหลายระดับ

ความวิตกกังวลถูกขจัด คล้ายกับได้รับความกล้าหาญเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ไม่เพียงเท่านั้น เศษเสี้ยวออร่าของโลกวิญญาณซึ่งเกิดจากการกินเนื้อหมักเกลือเมืองท่าดาเมียร์ ได้ถูกขจัดไปพร้อมกัน

พลัง ‘ออร่าสุริยัน’ สามารถเสริมความกล้าหาญของพวกพวกพ้องภายในรัศมียี่สิบเมตรพร้อมกับขจัดความชั่วร้ายในร่างกาย

ภายใต้การควบคุมด้วยพลังวิญญาณและความนึกคิด ไคลน์สามารถเลือกได้ว่าจะช่วยเป้าหมายคนใดบ้าง และมองข้ามเป้าหมายคนใดบ้าง

“แวะสำนักงานโทรเลขก่อน” ไคลน์เน้นย้ำ พลางย้ายปืนกลับมาถือในมือขวา ก่อนจะเดินนำทุกคนไปยังด้านหน้าสุด

เดนิสรู้งาน มันเดินขยับเฉียงมาด้านข้างโดยปล่อยให้คลีฟส์ เซซิล และทีก ประกบอีกสามมุมของขบวนแถว

คณะเดินทางรวมสิบห้าชีวิต… หากถูกโจมตีกะทันหันคงเลี่ยงความเสียหายได้ยาก เพราะนอกจากเดนิสก็ไม่มีใครช่วยแบ่งเบาภาระ…

เราควรทำยังไงดี…

ทันใดนั้น ไคลน์ฉุกคิดบางสิ่ง มือขวาเลื่อนปืนพกกลับไปเก็บในซองใต้รักแร้ และย้ายไม้ค้ำมาถือด้วยมือขวาแทน

ชายหนุ่มเลื่อนมือซ้ายล้วงหากล่องบุหรี่โลหะซึ่งกางกำแพงวิญญาณผนึกไว้ ก่อนจะเปิดฝ่าและนำนกหวีดทองแดงของอะซิกออกมาถือและควงเล่นเป็นครั้งคราว

ไคลน์เชื่อว่า ‘สัตว์ประหลาดหัวคน’ จะไม่เล็งเป้าหมายอื่นนอกจากนกหวีดทองแดงทรงโบราณอันนี้

ด้วยเจ้านี่ เราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะช่วยสมาชิกคนอื่นไม่ทัน เฮ่อ…บทบาทของตัวแทงค์ช่างวุ่นวายซะจริง…

ไคลน์ถอนหายใจยาวและเริ่มเดิน

ทันใดนั้น ศีรษะน่ารังเกียจสามเศียรได้พุ่งออกจากสายหมอกเจือจางด้านหน้า ทั้งหมดตรงดิ่งมายังไคลน์ราวกับหัวลูกศร ไม่แยแสเป้าหมายอันโอชะโดยรอบเลยสักนิด

สามหัว…!

รูม่านตาเดนิสพลันหดตัว มันกังวลว่าสัตว์ประหลาดเกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจลนลานจนจัดการไม่ทัน แต่ขณะเดียวกันก็อยากเห็นฝีมือแท้จริงของอีกฝ่าย

สามเลยหรือ…

ไคลน์ตวัดมือซ้ายคล่องแคล่ว โยนนกหวีดทองแดงของอะซิกลอยขึ้นไปในอากาศ

และไม่ผิดคาด ศีรษะน่ารังเกียจทั้งสามได้พุ่งเป็นวิถีโค้งขึ้นไปหาเป้าหมายหลักของมัน

ไคลน์ถอยกลับมาครึ่งก้าว พลางใช้มืออีกข้างล้วงจับเข็มกลัดสุริยันโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

ทันใดนั้น ในจุดของนกหวีดทองแดง กลุ่มก้อนเปลวเพลิงสีทองผุดขึ้นจากอากาศว่างเปล่าอย่างหนาแน่น บรรยากาศโดยรอบพลันท่วมท้นด้วยกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์

“เพลิงแสงศักดิ์สิทธิ์!”

ศีรษะเน่าเปื่อยและเหี่ยวแห้งทั้งสามส่งเสียงกรีดร้องพร้อมเพรียง ก่อนจะกลายเป็นละอองเถ้าถ่านท่ามกลางเปลวเพลิงสีทอง

ไคลน์ขยับไปข้างหน้าสองก้าวเพื่อคว้านกหวีดทองแดงซึ่งกำลังร่วงหล่น

…ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ? ยังมีสมบัติวิเศษซ่อนอยู่อีกรึไง?

เดนิสยืนตัวแข็งไปสักพัก มันยังไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะจัดการได้ง่ายดายเช่นนี้

ดิเมอดอร์และภรรยาย่อมเห็นฉากเมื่อครู่เต็มสองตา คนหนึ่งยืนสั่นด้วยสีหน้าซีดเซียว ส่วนอีกคนซักถามด้วยริมฝีปากระริก

“ม…เมื่อครู่มันอะไรกัน”

ดอนน่ารีบหันไปมองและพยักหน้าขึงขัง

“ไว้ค่อยถามหลังจากถึงโมราขาวค่ะ”

เมื่อพูดจบ เด็กสาวยกนิ้วชี้ขึ้นมาทาบริมฝีปากในแนวตั้ง เป็นการเลียนแบบภาษากาย ‘เงียบก่อน’ ของลุงสแปร์โรว์

ดิเมอดอร์หวนนึกถึงบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์รอบตัวชายหนุ่มด้านหน้าสุด จึงทำเพียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่และกุมมือภรรยาไว้แน่น ส่วนคนรับใช้อื่นๆ ต่างก็ไม่กล้าแสดงความเห็น

คณะเดินทางยังคงเดินต่อไปบนถนนสลัวฉาบแสงจันทร์ สองฝั่งทางเดินมีเพียงบ้านเรือนมืดมิด ราวกับไม่เคยมีใครอาศัยอยู่

ดอนน่าสัมผัสได้ว่า สายตาหลายคู่กำลังมองตามการเคลื่อนไหวของทุกคน แต่ด้วยเหตุผลบางประการ พวกมันยังไม่กล้าปรากฏตัวออกมา

พวกมันหวาดกลัวลุงสแปร์โรว์!

เด็กสาวรีบบีบมือน้องชายแน่นและเดินจูงเข้าไปในวงล้อมอ้อมอกพ่อแม่

ทันใดนั้น ร่างหนึ่งปรากฏตัวบนถนนตรงหน้า สวมเสื้อคลุมสีดำ ลำตัวโน้มมาด้านหน้าเล็กน้อยคล้ายเต็มกระโจนใส่ แสงจันทร์ช่วยเผยให้เห็นลำคอโชกเลือดอันปราศจากศีรษะ

แฮ่ก!

ร่างไร้หัวส่งเสียงหายใจคล้ายสัตว์ร้ายกำลังหายใจดัง พร้อมกับปรี่เข้าหาไคลน์ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง

แต่จากตำแหน่งดังกล่าว มันต้องวิ่งผ่านเดนิสก่อนมาถึงไคลน์

แม่เย็*! เดนิสสบถพลางโบกแขนโยนก้อนเพลิงสีส้มอมเหลือง เป็นเวทมนตร์ไฟซึ่งเกิดการบีบอัดเพลิงเข้าไปหลายชั้น

บึ้ม!

ก้อนไฟปะทะร่างศพไร้หัว มันชะงักพร้อมกับเซถอยหลังไปสามก้าว

เสื้อผ้าไหม้เกรียม ผิวหนังถูกแผดเผา ตามชายเสื้อคลุมยังคงมีประกายไฟหลงเหลือ

แต่สำหรับสัตว์ประหลาดซึ่งตายไปแล้ว อาการบาดเจ็บเท่านี้ไม่มากพอจะทำให้สั่นคลอน

ทันใดนั้น เศษเปลวเพลิงตกค้างบนเสื้อคลุมสีดำ เกิดลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งอย่างไร้เหตุผล ปลายไฟลอยสูงขึ้นไปในอากาศ

ไคลน์ในเสื้อโค้ทกระดุมสองแถวโผล่ออกจากยอดเพลิงด้านบน อาศัยแรงโน้มถ่วงและพละกำลังส่วนตัว เสียบไม้ค้ำใส่ต้นคอชุ่มเลือดอย่างสุดแรง

ฉึก!

ปลายไม้ค้ำสีดำ ทะลวงเป็นเส้นตรงจากลำคอลงมาโผล่ใต้เป้ากางเกง

โครม!

ไคลน์เกร็งกล้ามเนื้อหลังและจับร่างของชายไร้หัวทุ่มลงกับพื้น

ฉวยโอกาสได้เปรียบ ชายหนุ่มเกร็งแขนข้างถือไม้ค้ำเพื่อตรึงมิให้ ‘ร่างเสียบไม้’ มีโอกาสขยับเขยื้อน ตามด้วยการถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในเข็มกลัดสุริยัน

เมื่อประเมินข้อมูลจากเนตรวิญญาณ มันทราบว่าพลัง ‘อัญเชิญแสงศักดิ์สิทธิ์’ ‘ฟาดฟันชำระล้าง’ และ ‘เพลิงแสงศักดิ์สิทธิ์’ ไม่รุนแรงพอจะจัดการกับสัตว์ประหลาดออร่าเขียวเข้มตนนี้ได้ จำเป็นต้องใช้วิธีอื่นแทน

ห้าวินาที. สี่วินาที. สามวินาที.

ชายหัวขาดพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่สภาพก็ไม่ต่างจากงูถูกตอกหมุดตรึงไว้กับพื้น

สองวินาที. หนึ่งวินาที!

ไคลน์อ้าปากพ่นถ้อยคำเฮอร์มิสโบราณ

“สุริยัน!”

เหนือร่างไร้หัว ประกายแสงระยิบระยับผุดจากความว่างเปล่า ก่อนจะควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำสีขาวโพลนจำนวนมาก และโปรยปรายลงบนตัวชายหัวขาด

ฉ่า—! ฉ่า!

ควันสีเขียวเข้มปะทุท่วมท้น ไคลน์รีบปล่อยมือจากไม้ค้ำและขยับหลบไปด้านข้างสองก้าว

ในระหว่างนั้น ‘ฝน’ โปรยปรายได้ทำให้ร่างกายของสัตว์ประหลาดชักกระตุกรุนแรง

ผ่านไปสักพัก เหตุการณ์สงบลงพร้อมกับการละลายหายไปของศพไร้หัว เหลือเพียงบ่อเลือดแดงฉานข้นคลั่ก

ไม่มีตะกอนพลัง… หมายความว่าเจ้านี่ไม่ใช่ศัตรูตัวจริง…

อ้างอิงตามทฤษฎีคงเป็นสัตว์รับใช้…

ไคลน์ดึงไม้ค้ำกลับและหันไปหาทุกคน

“เท่มาก!” แดนตันอุทาน

ดวงตาของดอนน่าเองก็กำลังเปล่งปลั่ง

ยังคงใช้สมบัติวิเศษเป็นหลัก… แต่การหายตัวไปโผล่ด้วยประกายเพลิงคือพลังพิเศษของเส้นทาง ถือเป็นพวกรับมือได้ยาก…

เดนิส·เพลิงพิโรธพลันโล่งใจและภูมิใจว่าตนฉลาดมากเพียงใด กับการไม่เลือกเป็นศัตรูกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ส่งเดช

ราวเจ็ดถึงแปดนาทีถัดมา คณะเดินทางซึ่งเก็บกวาดการโจมตีเพิ่มอีกสองระลอก ได้มาถึงสำนักงานโทรเลขประจำท่าเรือแบนชี

คลีฟส์อาสาเดินไปเคาะประตู

“ใคร?” เสียงผู้หญิงอ่อนโยนดังเอื่อย

“พวกเรากำลังตามหามิสเตอร์ไอร์แลนด์ กัปตันของโมราขาว” คลีฟส์ตอบ

ท่ามกลางค่ำคืนเงียบงัน หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เร่งรีบ

“เขาและต้นเรือเข้าไปหลบพายุในวิหารด้านข้าง”

เสียงของเธอค่อนข้างแปลก… หรือพูดในลักษณะนี้เป็นปรกติอยู่แล้ว?

ไคลน์โยนเหรียญทองเพื่อทำนายยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก

เมื่อคณะเดินทางกำลังจะจากไป ผู้หญิงด้านในสำนักงานกล่าวด้วยเสียงลังเล

“พวกคุณ… ช่วยฝากข้อความไปถึงคนคนหนึ่งแทนฉันได้ไหม เขาเป็นเพื่อนร่วมงาน แต่ออกไปข้างนอกก่อนพายุจะเข้า จากนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย ชื่อของเขาคือ… ฟราโว·คอร์ท”

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset