Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 469 : ราชินีแวมไพร์

ราชันเร้นลับ 469 : ราชินีแวมไพร์

เหนือห้วงมิติสายหมอกเทา ท่ามกลางวังโบราณลักษณะคล้ายถิ่นพำนักของคนยักษ์

เดอะมูน เอ็มลิน เค้นสมองนึกอยู่เป็นเวลานาน ว่าตนควรนำประวัติศาสตร์ของผีดูดเลือดในช่วงใดมาเล่าให้เดอะฟูลฟัง

ท่านและท่านบรรพชนเป็นสหายเก่าแก่…หมายความว่า ท่านย่อมทราบเหตุการณ์ก่อนยุคสมัยมหาภัยพิบัติ เราไม่จำเป็นต้องเล่าซ้ำ…

ระหว่างยุคสมัยที่สี่และห้าถึงแม้ความยิ่งใหญ่ของผีดูดเลือดจะยังไม่เลือนหายไปไหน และมีหลายสิ่งให้พูดถึง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าเหตุการณ์นั้นแล้ว…

เอ็มลินตัดสินใจได้

จากมุมมองของมัน เดอะฟูลคงเป็นเทพบรรพกาลสักตน ผู้ดำรงชีวิตมาตั้งแต่ก่อนยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ ด้วยเหตุผลบางประการ ท่านสามารถรอดพ้นจากการร่วงหล่น และคอยหลบซ่อนในเงามืดมาตลอด

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมประวัติศาสตร์อันซับซ้อนและยาวนานของตระกูลผีดูดเลือดจึงไม่มีการบันทึกรายละเอียดของเดอะฟูลไว้เลย เพิ่งจะมาได้ยิน ‘นามเต็ม’ อันสูงส่งของท่านเอาเมื่อไม่นานมานี้

หลังจากเรียบเรียงคำพูด เอ็มลินนั่งตัวตรง

“เมื่อถึงคราวสิ้นสุดยุคสมัยมหาภัยพิบัติ เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดตัดสินใจหลบออกจากฉากหน้าของประวัติศาสตร์ทวีปเหนือ และแฝงตัวปะปนกับมนุษย์เพื่อกลายเป็นขุนนางใหญ่ในหลายตระกูล บางรายสามารถเป็นผู้ครองเมืองหรือปราสาทใหญ่ในสมรภูมิสำคัญ เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งราชินีจันทราเลือด ออร์นิญ่า ผู้เคยนำพาพวกเราทุกคนหลุดพ้นจากยุคสมัยอันดำมืด ได้กลายเป็นภรรยาของจักรพรรดิรัตติกาลแห่งจักรวรรดิทรันซอสต์ เธอรวมผีดูดเลือดให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง พวกเรากลายเป็นกำลังรบสำคัญให้กับราชวงศ์ทรันซอสต์ โดย ณ เวลานั้น ออกัสตัสแห่งโลเอ็น และไอน์ฮอร์นแห่งฟุซัค ก็ยังเรียกขานราชินีของพวกเราว่า ‘ฝ่าบาท’ ในช่วงเวลาดังกล่าว ราชินีออร์นิญ่าคือสัญลักษณ์ของความเลอโฉม หากตอนนั้นมีกระจกวิเศษและถามว่า ‘ผู้ใดงามเลิศในปฐพี’ คำตอบจะต้องออกมาเป็นท่านอย่างไม่มีข้อกังขา…”

ยิ่งเอ็มลินเล่า สีหน้าแววตายิ่งเผยความตื่นเต้นยินดี อากัปกิริยาเปลี่ยนจากกังวลและเคร่งขรึม กลายเป็นผ่อนคลายและพูดคล่อง

กระจกวิเศษซึ่งสามารถตอบได้ทุกคำถาม?

หมายถึงอาโรเดส? จริงสิ ชักน่าสนใจว่า ถ้าจิตแห่งจักรกลเกิดตั้งคำถาม : ‘กระจกวิเศษเอ๋ย ช่วยบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี’ อาโรเดสจะมอบคำตอบเช่นไร…

ไคลน์นั่งในท่าเดิม สวมรอยยิ้ม และปล่อยให้ความคิดล่องลอย

หลังจากเล่ามานาน สีหน้าเอ็มลินเริ่มขึงขัง

“แต่ทั้งหมดก็พังครืนลงเมื่อสิ้นสุดสงครามสี่จักรพรรดิ จักรพรรดิรัตติกาลร่วงหล่นไปพร้อมกับราชินีออร์นิญ่า ตระกูลผีดูดเลือดได้รับความเสียหายใหญ่หลวง แต่ในทางกลับกัน ผู้กอบโกยผลประโยชน์สูงสุดในสงคราม ประกอบด้วยออกัสตัส ไอน์ฮอร์น เซารอน และกาสตีญ่า ได้แยกตัวออกจากจักรวรรดิทรันซอสต์พร้อมกับทำลายราชวงศ์ทรันซอสต์ซึ่งอ่อนแอลงมากหลังจากสูญเสียเหล่าเทวทูตไปมหาศาล เหล่าผีดูดเลือดจึงไม่มีทางเลือกนอกจากถอยเข้าไปหลบซ่อนตัวในภูเขาลึก เพื่อให้ตระกูลดำรงต่อไปได้”

ไม่ผิดคาด… ดูเหมือนเหล่าเทพจารีตกลายเป็นเทพมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่แล้ว หรืออย่างน้อยก็ในสงครามสี่จักรพรรดิ…

ไคลน์หวนนึกถึงหกเทวรูปภายในซากปรักหักพังของราชวงศ์ทูดอร์

“โชคยังดี ความสัมพันธ์ระหว่างเทพจารีตไม่ราบรื่นนัก สี่อาณาจักรใหญ่บนทวีปเหนือจึงรบราฆ่าฟันกันบ่อยครั้ง ส่งผลให้ตระกูลผีดูดเลือดของพวกเราเอาตัวรอดมาได้”

ในวินาทีนี้ เอ็มลินกำลังแสงสีหน้าตื่นเต้นอันหาได้ยาก

มันจ้องไคลน์และกล่าว

“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ทราบว่าท่านต้องการรับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับคุณงามความดีของราชินีจันทราโลหิต หรือยุคสมัยอันรุ่งโรงของตระกูลผีดูดเลือดหรือไม่ขอรับ ข้าเคยอ่านพบในบันทึกประวัติศาสตร์เล่มหนา และสามารถจดจำมันทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ”

หมอนี่คงนั่งเล่าได้ทั้งวัน… เราเคยคิดว่าเขาเป็นแวมไพร์บ้าฟิกเกอร์และไม่สนใจความเป็นไปของตระกูลเสียอีก ใครจะไปคิดว่า ความจริงแล้วกลับเพียบพร้อมไปด้วยข้อมูลเชิงลึกมากมาย… ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงทระนงตนมาตลอด ว่าผีดูดเลือดคือเผ่าพันธุ์อันสูงส่ง…

คงเป็นคนประเภทหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน และดำดิ่งไปกับความสนใจของตนโดยไม่แยแสโลกภายนอก ไม่เพียงเท่านั้น แวมไพร์ยังมีอายุยืนยาวกว่ามนุษย์ปรกติ…

ไคลน์ออกท่าทางลังเล ภายในใจกำลังนึกคำปฏิเสธอย่างสุภาพ

แม้ว่ามันจะชื่นชอบประวัติศาสตร์ แต่ก็มิได้ต้องการรับฟังข้อมูลทั้งหมดในคราวเดียวทีละมากๆ

“พอแล้ว” ไคลน์ยิ้ม “เราชอบการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม ดังนั้นในอนาคต เจ้าไม่ควรเล่าสิ่งใดส่งเดชโดยไม่มีผลตอบแทน

“ถ้าต้องการให้เราช่วยเหลือในสิ่งใด สามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวมาแลกเปลี่ยนได้”

“…ขอรับ” เอ็มลินทำหน้าเสียดาย

สำหรับมัน นี่คือโอกาสแสนหายาก กับการได้เล่าประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีเกียรติของผีดูดเลือดให้ใครสักคนฟัง!

ตามปรกติแล้ว เพื่อปกปิดตัวตน เอ็มลินไม่มีทางนำเรื่องนี้ไปอวดโอ่กับมนุษย์ และผีดูดเลือดด้วยกันก็คงไม่อยากฟัง เพราะทุกตนล้วนทราบประวัติศาสตร์พื้นฐานของตระกูลเป็นอย่างดี โอกาสเดียวคือการเล่าให้ผีดูดเลือดรุ่นใหม่ แต่เอ็มลินก็มิได้ถูกมอบหมายให้ดูแลเด็กใหม่อยู่ดี

ไคลน์ไม่สานต่อประเด็นเดิม เพียงกล่าวกลับไปเสียงขรึม

“วันนี้เจ้ากลับไปก่อน”

เมื่อสิ้นเสียง แสงสีแดงเข้มพลันสว่างวาบพร้อมกับโอบกอดร่างจิตของเอ็มลิน

หลังจากผ่านช่วงเวลามึนงง แวมไพร์หนุ่มพบว่าจิตของตนถูกส่งกลับมายังรถม้าอีกครั้ง

แต่ในความทรงจำกลับ ‘มองเห็น’ แผ่นกระดาษหนังมายา เขียนถึงขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมพันธสัญญาลับถึงเดอะฟูล

ไว้มีเวลาว่างในช่วงบ่าย เราค่อยประกอบพิธีกรรมถึงมิสเตอร์ฟูล เพื่อให้ท่านช่วยขจัดการชี้นำทางใจ…

เอ็มลินออกอาการตื่นเต้น

ต้องรอให้รถม้าเคลื่อนตัวไปถึงวิหารฤดูเก็บเกี่ยว จิตใจแวมไพร์หนุ่มจึงเริ่มจะกลับมาเป็นปรกติ

หลังจากย่างกรายเข้าไปในวิหาร มันรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นหลวงพ่อยูทรอฟสกี้กำลังนั่งสวดมนต์พร้อมกับสาวกอีกสามคน

ปัจจุบัน เอ็มลินมิได้เกิดอาการหวั่นวิตกเหมือนกับทุกทีอีกแล้ว เพียงกำลังครุ่นคิดบางสิ่งภายในใจ

เหตุใดหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ถึงไม่เคยขัดขวางเมื่อเราพยายามขจัดการชี้นำทางใจ…

เขากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่…

เขตตะวันออก ร้านกาแฟเรียบง่าย

ไคลน์ ผู้มาถึงตรงตามเวลานัดหมาย กำลังลิ้มรสขนมปังข้าวโอ๊ตพร้อมกับสตูแกะใส่ถั่วพลางรับฟังรายงานจากเฒ่าโคห์เลอร์

ค่อนข้างน่าเสียดาย สัปดาห์นี้ไม่มีข้อมูลใหม่น่าสนใจ

เมื่อโคห์เลอร์เล่าจบ ชายหนุ่มทำหน้านึกสักพัก ก่อนจะหยิบธนบัตรมูลค่ารวมสองปอนด์ออกมาวางบนโต๊ะ และเลื่อนไปหาเฒ่าโคห์เลอร์อีกฝ่าย

“ด…เดี๋ยวก่อน! คุณเพิ่งให้เงินผมมาเองไม่ใช่หรือ!” โคห์เลอร์ทำหน้าประหลาดใจพลางโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

ไคลน์ยิ้ม

“สัปดาห์นี้ผมจะลงใต้เพื่อลาพักร้อน คงถึงเวลาผ่อนคลายตัวเองหลังจากตรากตรำทำงานหนักมาตลอดทั้งปี ผมคงไปสักสองสามสัปดาห์กว่าจะกลับ เงินก้อนนี้คือค่าจ้างล่วงหน้า หึหึ… อย่าลืมทำงานให้ผมด้วยล่ะ”

“ต…ตกลงครับ!” เฒ่าโคห์เลอร์รับธนบัตรมาด้วยความรู้สึกยินดีเจือซาบซึ้ง

มันเริ่มวางแผนฉลองปีใหม่ทันที

โคห์เลอร์คิดจะซื้อแฮมหมักคุณภาพสูงมากินกับขนมปัง มันปรารถนาจะลิ้มรสอาหารประเภทนี้มานานแต่ยังไม่มีความกล้ามากพอ

อดใจไม่ไหวแล้ว…!

ขอบคุณมาก! นักสืบเชอร์ล็อก!

โคห์เลอร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่โดยไม่รู้ตัว

ไคลน์หยิบหมวกขึ้นมาสวม สีหน้าเผยความลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวกับอีกฝ่าย

“คุณคงสังเกตเห็นแล้วว่า เขตตะวันออกเต็มไปด้วยความวุ่นวายในช่วงหลัง อย่านำพาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพียงเพราะอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเด็ดขาด หากตระหนักถึงความผิดปรกติ ให้รีบซ่อนตัวและหลีกเลี่ยงการเข้าไปพัวพัน”

ไคลน์ค่อนข้างกังวลว่าหายนะจากองค์ชายเอ็ดซัคจะลามมาถึงเขตตะวันออก จึงออกปากตักเตือนด้วยความเป็นห่วง

“เข้าใจแล้ว” โคห์เลอร์ลูบท้อง “ผมเป็นคนขี้กลัวมาก ไม่มีทางนำตัวเองเข้าไปเสี่ยงแน่นอน”

“ดีแล้ว” ไคลน์ชม

ทันใดนั้น ชายหนุ่มพลันนึกถึงสาวซักผ้า ไลฟ์ และบุตรสาวอีกสองคน เฟร์ย่าผู้เสียสละ และเดซีผู้รักการอ่าน พลางหันไปกล่าวกับโคห์เลอร์

“คอยจับตามองครอบครัวไลฟ์ไว้ด้วย อย่าปล่อยให้พวกเขาถูกรังแก หากเกิดความโกลาหลขึ้นในเขตตะวันออก ให้รีบพาพวกเขาไปหลบยังจุดปลอดภัยทันที”

“โกลาหล… คุณหมายถึงการประท้วงของกลุ่มคนงาน?” โคห์เลอร์ถามด้วยสีหน้างุนงง

“ทำนองนั้น” ไคลน์ตอบคลุมเครือ

มันเปิดเผยได้แค่นี้ เพราะมิฉะนั้น ตนอาจถูกจับตามอง หรือไม่ก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับสมบัติปิดผนึกอันตรายสักชิ้น

ภายในห้องซึ่งเต็มไปด้วยฟิกเกอร์เล็กใหญ่มากมาย เอ็มลิน·ไวท์ ผู้รีบกลับถึงบ้านตอนเที่ยงตรง กำลังนั่งบนเก้าอี้พลางดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอึมครึมอันเกิดจากผ้าม่านหนาทึบ

มันสำรวจรอบตัวหนึ่งครั้งและกำหมัดแน่น

“เพื่ออนาคตอันสดใสของเรา!”

เมื่อสิ้นเสียง แวมไพร์หนุ่มดำเนินขั้นตอนประกอบพิธีกรรมด้วยน้ำมันสกัดและผงสมุนไพร เขียนนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเดอะฟูล สัญลักษณ์ซับซ้อน และอักขระเวทมนตร์ลงบนกระดาษ

หลังจากเสร็จขั้นตอนอันวุ่นวาย พลังวิญญาณเอ็มลินเริ่มกระจัดกระจาย คล้ายกำลังทะยานไปขึ้นไปยังเบื้องบน

เพียงครู่เดียว เอ็มลิน·ไวท์เริ่มมองเห็นภาพเลือนรางมากมาย มีทั้งเงาดำไม่คมชัด ริ้วแสงเจ็ดสีซึ่งเปี่ยมด้วยองค์ความรู้มหาศาล และทุ่งสายหมอกสีเทากว้างไกลอยู่ด้านบนสุด

เหนือสายหมอกสีเทามีวังโบราณ ยากจะมองเห็นรายละเอียดได้คมชัด ภายในวังมีบุคคลกำลังนั่งบนเก้าอี้สูง รอบตัวรายล้อมด้วยม่านหมอกหนาทึบ

ทันใดนั้น เอ็มลินมองเห็นร่างสีทองเปี่ยมกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์เข้มข้น ด้านหลังมีปีกสีดำสยายกว้างนับสิบคู่

ยังไม่ทันจะได้นับจำนวนปีก ร่างสีทองได้ลอยลงมาโอบกอดจิตของแวมไพร์หนุ่มไว้อย่างอ่อนโยน

“อ๊ากกก!”

เอ็มลินแหกปากอย่าน่าสมเพช สองมือกุมศีรษะพลางลงไปนอนเกลือกกลิ้งบนพื้น ตามลำตัวมีควันสีเขียวเข้มลอยฟุ้งอย่างเชื่องช้า

ต้องใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าแวมไพร์หนุ่มจะใจเย็นลง ตามด้วยเสียงของเดอะฟูลซึ่งดังแว่วในเวลาไล่เลีย

“การชี้นำทางใจถูกขจัดแล้ว”

นี่คือความรู้สึกขณะถูกรักษา? ทำไมถึงได้เจ็บปวดรวดร้าวเพียงนี้…

เอ็มลินพยุงตัวนั่งบนพื้นด้วยลมหายใจกระเส่า เส้นผมหวีเรียบของมันเริ่มไม่เป็นทรง

ขณะเดียวกัน เหนือห้วงสายหมอกสีเทา ไคลน์กำลังพยักหน้ากับตัวเองพลางพึมพำ

“กะแล้วเชียว การใช้เข็มกลัดสุริยันกับแวมไพร์จะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดทรมาน”

ก่อนหน้านี้ ไคลน์เคยคำนวณอย่างมั่นใจแล้วว่า แสงบริสุทธิ์ของเข็มกลัดสุริยัน สามารถขจัดการชี้นำทางใจอ่อนๆ ในวิญญาณเอ็มลินได้อย่างหมดจด มันจึงไม่ต้องการเสียเวลาประกอบพิธีกรรมซับซ้อนตามหนังสือแห่งความลับ และเลือกใช้วิธีค่อนข้างรุนแรงแทน

ผลลัพธ์นับว่าตรงตามความคาดหมาย

เมื่อจัดการธุระเอ็มลินเสร็จ ไคลน์ปลดจี้บุษราคัมออกจากข้อมือซ้ายและเริ่มทำนาย

“เราจะปลอดภัยถ้าไปเยือนคฤหาสน์กุหลาบแดงในช่วงบ่ายของวันนี้”

เมื่อพึมพำครบเจ็ดครั้ง มันลืมตาขึ้นและพบว่าลูกตุ้มวิญญาณอยู่ในภาวะนิ่งสนิท

การจะทำนายถึงบางสิ่งเกี่ยวกับสมบัติปิดผนึกระดับ 0 หรือครึ่งเทพแต่ละครั้งช่างยากเย็นแสนเข็ญ… แทบไม่เคยได้รับการตอบสนองใดกลับมา…

ไคลน์ถอนหายใจยาว สีหน้าเริ่มกังวลเมื่อตระหนักถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์

ถัดมา ชายหนุ่มลองทำนายว่า ตนจะปลอดภัยหรือไม่ถ้าแวะเข้าไปเยี่ยมคฤหาสน์กุหลาบแดงในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้แทน แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงล้มเหลวเช่นเดิม

เคยมีใครบางคนกล่าวว่า พลังทำนายมิได้ไร้เทียมทาน ปัจจุบันคือเครื่องพิสูจน์…

ต้องตัดสินใจเอาเองสินะ… คงมีแต่ต้องยอมเสี่ยง ไม่อย่างนั้นก็ไม่หลุดพ้นจาก ‘เวที’ และกลายเป็นคนนอกสักที… ยิ่งลงมือเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี จะมัวชักช้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้น สถานการณ์อาจแย่ลงจนถอนตัวไม่ทัน…

ไคลน์คิดไวทำไว

มันส่งตัวเองกลับโลกจริง สวมเสื้อโค้ทกระดุมสองแถวและหมวกทรงกึ่งสูง ตามด้วยการเดินออกจากอาคารหมายเลข 15 ถนนมินส์ โดยมีปลายทางเป็นคฤหาสน์กุหลาบแดงขององค์ชายเอ็ดซัค·ออกัสตัส

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset