Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 462 : ปาฏิหาริย์คืออะไร

ราชันเร้นลับ 462 : ปาฏิหาริย์คืออะไร

เมื่อเห็นเดอะฟูลหัวเราะในลำคอ ออเดรย์และทุกคนเบือนหน้ากลับมาโดยไม่มีใครซักถามเพิ่มเติม

ภายใต้สถานการณ์ซึ่งมีเพียงคำบอกใบ้โดยปราศจากการอธิบาย พวกมันมิได้มองว่าเป็นความผิดปรกติ ตัวตนระดับทัดเทียมเทพมักมีพฤติกรรมเช่นนี้แล้ว โดยในบางครั้ง ถ้อยคำจากปากก็มิใช่คำบอกใบ้ทางอ้อม แต่เป็นการมอบคำตอบทางตรง!

สำหรับตัวตนอย่างเดอะฟูล แค่ท่านช่วยบอกใบ้หนึ่งวลีก็นับว่ามากเกินพอ…

เป็นพวกเราเองต่างหาก ต้องนำมาตีความให้กระจ่าง และถ้ายังไม่พบคำตอบ นั่นแปลว่าแต่ละคนยังไม่แตกฉานมากพอ! ต้องรีบปรับปรุงตัวโดยด่วน!

ออเดรย์กำลังกดดันให้ตัวเองกลายเป็นนักจิตบำบัดโดยเร็ว

“…ถ้าจำไม่ผิด คุณเคยเล่าให้ฟังว่า มีข้อความ ‘กุหลาบไถ่บาป’ ปรากฏภายในวิหารดังกล่าว เมื่อครั้งทีมสำรวจชุดก่อนเข้าไปตรวจสอบใช่ไหม?”

อัลเจอร์เอียงคอถามเดอะซัน

โดยไม่ลังเล เดอร์ริคพยักหน้ารับหนักแน่น

“ถูกต้อง ถูกเขียนไว้ด้วยภาษาซึ่งพัฒนามาจากคนยักษ์อีกทอด ทางสภาอาวุโสใช้เวลามากพอสมควรในการถอดรหัส”

พัฒนามาจากภาษาคนยักษ์…

ขณะได้ยินเมื่อคราวก่อน อัลเจอร์มิได้เก็บไปใส่ใจมากนัก แต่เมื่อมีข้อมูลมากขึ้น มันจึงเริ่มเอะใจในบางประเด็น

เด็กชายแจ็คคนนั้นมาจากทะเลโซเนีย…

ภาษาต่อยอดจากคนยักษ์…

อัลเจอร์ก้มหน้าครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะขออนุญาตมิสเตอร์ฟูลฉายภาพข้อความหนึ่งวลี

อักษรดังกล่าวเป็นภาษาฟุซัคโบราณ สิ่งนี้คือรากฐานของภาษาทวีปเหนือทั้งหมด

ใจความว่า :

“กุหลาบไถ่บาป”

เมื่อได้เห็นเต็มสองตา เดอร์ริคพลันออกท่าทางตกตะลึงโดยไม่ปิดบัง

“ใกล้เคียงกันมาก… แต่อักษรสุดท้ายแตกต่างกันเล็กน้อย มิสเตอร์แฮงแมน นี่คือภาษาของดินแดนพวกคุณหรือ”

ขณะเอ่ยปากถาม เดอร์ริคฉายภาพอักษรตรงมุมจิตรกรรมฝาผนังซึ่งมีความหมายว่า ‘กุหลาบไถ่บาป’

“ถูกต้อง” อัลเจอร์พยักหน้า “แต่อักษรของผมถูกพัฒนาขึ้นจากเดิมเล็กน้อย อักษรบนผนังในวิหารคงเป็นภาษาเก่ากว่านี้”

ผิดแล้วสหาย ในโลกแห่งภาษาศาสตร์ อักษรซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับภาษาฟุซัคโบราณ จะถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในจักรวรรดิโซโลมอนแห่งยุคสมัยที่สี่…

นักศึกษาภาควิชาประวัติศาสตร์ ไคลน์ มอบคำตอบถูกต้องในใจ

อัลเจอร์เว้นวรรค

“ถ้าอย่างนั้น ภาพจิตรกรรมฝาผนังดังกล่าวมีรายละเอียดเป็นแบบไหน”

“ผมไม่ได้เข้าไปสำรวจภาพนั้น จึงไม่ได้เพ่งมองอย่างละเอียดก่อนออกมา…” ขณะกล่าว เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าละอายใจ

อัลเจอร์พยักหน้ารับพลางมอบคำแนะนำต่อไปด้วยสีหน้าปรกติ

“หาโอกาสตรวจสอบภาพให้ได้ ผมเชื่อว่าคงมีเบาะแสสำคัญซ่อนอยู่ในภาพดังกล่าว”

“ตกลง!” เดอร์ริคมั่นใจว่านี่คือกุญแจสำคัญในการหลุดพ้นจากวังวนกระแสเวลา

เมื่อเห็นบทสนทนาเริ่มบรรเทาความตึงเครียด ออเดรย์ยกมือถามอย่างสับสนกึ่งอยากรู้อยากเห็น

“มิสเตอร์แฮงแมน ถ้าเด็กชายแจ็คเป็นบุตรของผู้สดับตามคำอธิบายของคุณจริง ทำไมเขาถึงสื่อสารกับทีมสำรวจของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์รู้เรื่อง?”

หลังจากถกเถียงกันในหัวข้อภาษาศาสตร์ด้วยประเด็นของ ‘กุหลาบไถ่บาป’ ออเดรย์เริ่มมั่นใจว่าเมืองเงินพิสุทธิ์ใช้ภาษาและตัวอักษรไม่เหมือนกับทวีปเหนือใต้ หรือแม้กระทั่งอาณาจักรโลเอ็น

หากเป็นบนห้วงมิติเหนือสายหมอกแห่งนี้ ทุกคนสื่อสารกันอย่างไหลลื่นเพราะมีมิสเตอร์ฟูลคอยอำนวยความสะดวก…

หญิงสาวความคำสรรเสริญภายในใจ

อัลเจอร์หันมาพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งเย้ยหยัน

“มิสจัสติส คุณยังไม่เคยผ่านประสบการณ์เหนือธรรมชาติเลยสักครั้งใช่ไหม ในเมื่อแจ็คกลายเป็นปีศาจน่าสะพรึงกลัวไปแล้ว การจะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านอื่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เชื่อผมเถอะ ภายในโลกของผู้วิเศษ การเชี่ยวชาญสักภาษาไม่ใช่เรื่องยาก อาจใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที”

“…”

ออเดรย์พลันกะพริบตาถี่ เธอเพิ่งตระหนักว่าตนปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อออกไป คำพูดเมื่อครู่เป็นหลักฐานว่าเด็กสาวยังไม่เคยผ่านเหตุการณ์เหนือธรรมชาติด้วยตัวเองมาก่อน

เมื่อการถกเถียงเกี่ยวกับเดอะซันจบลง ชุมนุมทาโรต์กลับเข้าสู่กิจกรรมปรกติ ออเดรย์ชำเลืองไปทางบุคคลหัวโต๊ะและกล่าว

“มิสเตอร์ฟูล สำหรับวันนี้ ดิฉันรวบรวมไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์ได้สามหน้า ยังติดข้างอีกเจ็ดหน้าค่ะ!”

ได้ยินเช่นนั้น ฟอร์สรีบเสริม

“มิสเตอร์ฟูล ทางดิฉันก็ได้รับการยืนยันแล้วเช่นกัน คราวหน้าจะมีไดอารีจักรพรรดิโรซายล์มามอบให้ท่านแน่นอน”

“ทำได้ดี” ไคลน์หัวเราะในลำคอ

เดอร์ริคเริ่มรู้สึกผิดอีกครั้ง เพราะมันมัวแต่ติดภารกิจสำรวจเป็นเวลานาน จนไม่มีโอกาสแวะหอสมุดเพื่อศึกษาวิชาประวัติศาสตร์มาเล่าให้เดอะฟูลฟัง

เมื่อขั้นตอนการบันทึกลงบนกระดาษของเด็กสาวจบลง ไคลน์เสกไดอารีสามหน้ามาถือ พร้อมกับเริ่มอ่านด้วยความคาดหวัง

“8 สิงหาคม เราถูกเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังเมเปิลขาวเป็นครั้งแรก งานเลี้ยงคราวนี้จัดขึ้นโดยฝ่าบาทเอง! พวกชนชั้นสูงแม่งโคตรฟุ่มเฟือย! อาหารแต่ละชนิดล้วนเกิดจากความอยากลองของแปลกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นห่านย่างหรืออัณฑะแกะ…”

“แต่ต้องยอมรับเลยว่า ชนชั้นสูงของโลกนี้รักสะอาดจนน่าประหลาดใจ ขอเน้นย้ำว่าเฉพาะชนชั้นสูง พวกมันอาบน้ำบ่อยครั้งมาก แถมยังเริ่มมีกระดาษชำระใช้แล้ว แตกต่างจากโลกยุคกลางโดยสิ้นเชิง เดิมที เราเข้าใจว่าความสะอาดเกิดจากการมีอยู่ของเทพ มนุษย์จึงได้รับ ‘วิวรณ์’ คอยชี้นำอย่างต่อเนื่อง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย พวกมันรักสะอาดเพราะถูกปัจจัยด้านโรคระบาดคุกคาม ผู้วิเศษบางเส้นทางสามารถสร้างโรคระบาดร้ายแรงและแพร่กระจายได้เร็ว เราเองก็ชักอยากทราบว่า พลังดังกล่าวเป็นของเส้นทางใดกันแน่ ระหว่างนั้น เราเริ่มเกิดความสงสัยว่า บรรดาชนชั้นสูงมีปัญหาทางสมองหรือไม่ เพราะถ้าพวกมันหวาดกลัวโรคระบาดจริง ทำไมถึงไม่ทำถนนให้สะอาด? ทำไมถึงไม่ออกแบบระบบท่อน้ำทิ้งให้สมบูรณ์? ทำไมถึงไม่ยกระดับคุณภาพของชุมชนแออัด? เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเมืองเดียวกัน หรือกำลังจะบอกว่า ตรงนั้นจะเกิดโรคระบาดก็ช่างหัวมันปะไร ขอแค่ในวังปลอดภัยก็พอ? แต่พวกมันก็คิดไม่ผิด ด้วยการมีแหล่งน้ำเป็นของตัวเอง มีอาหาร และบริเวณวังก็ตัดขาดกับเมืองหลวงอย่างชัดเจน โอกาสได้รับเชื้อโรคจึงต่ำมาก…”

“แต่อย่าลืมว่ามีโรคระบาดซึ่งแพร่ทางอากาศอยู่ด้วย! หากเรากลายเป็นคนใหญ่คนโตเมื่อไร ขอสาบานว่าจะกำจัดความโสโครกออกจากเมืองหลวงโดยเร็ว ต่อให้ไม่มีโรคระบาดมาเกี่ยวข้อง แต่การต้องอาศัยภายในเมืองเหม็นบัดซบก็ชวนให้อาเจียนเต็มทีแล้ว! จริงสิ คืนนี้เราก็ได้รับคำเชิญจากฝ่าบาทให้ไปเข้าเฝ้าอีกครั้ง เราเคยคิดว่า ในฐานะผู้เดินทางจากต่างโลกและมีการศึกษาสูง มนุษย์ทุกคนนั้นเท่าเทียมกันหมด ไม่มีใครเหนือกว่าใคร เราจะไม่ทำตัวอ่อนน้อมหรือโอหังใส่พระราชาเด็ดขาด แต่ในความเป็นจริง เรากลับตื่นตระหนกและประหม่าอย่างมาก ร่างกายขยับคุกเข่าหนึ่งข้างและโค้งคำนับไปเอง ถึงเราจะมั่นใจมากก็ตาม ว่าศักดิ์ศรีของเรามิได้ด้อยไปกว่าองค์กษัตริย์สักเท่าไร… นี่คือความน่าเกรงขามของพลังอำนาจ!”

แม้ว่าไดอารีทั้งหน้าจะเต็มไปด้วยเรื่องราวในชีวิตประจำวันเหมือนเคย แต่จักรพรรดิกลับยังทำให้เราขำได้… จริงอยู่ เขาอาจเป็นคนมีความมุ่งมั่นสูง เนื่องจากเป็นคนยุคใหม่และหัวก้าวหน้า ผู้ชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน…

แต่เมื่อได้เจอ ‘ของจริง’ กลับยังเลี่ยงการประจบประแจงบุคคลทรงอิทธิพลไม่ได้…

ไคลน์ยิ้มอย่างผ่อนคลาย

มันเปิดไปยังหน้าสองและเริ่มอ่านต่อ

“11 พฤศจิกายน เรากำลังจะกลายเป็นลำดับ 4 หรือรู้จักกันในนามครึ่งเทพ หลังจากนี้ หากเราไม่เกิดคลุ้มคลั่งไปก่อน ‘ระดับตัวตน’ ของเราจะถูกพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จะมิใช่สิ่งมีชีวิตอ่อนแออายุสั้นเหมือนกับมนุษย์ปรกติอีกแล้ว แต่ถ้าถามว่าจะมีอายุยืนได้สูงสุดกี่ปี คำตอบคือ : ขึ้นอยู่กับแต่ละเส้นทาง! เรามีสองทางเลือก หนึ่ง นักแปรธาตุแห่งเส้นทางนักปราชญ์ และสอง ปราชญ์พิศวงแห่งเส้นทางผู้ส่องความลับ ลงเอยด้วย เราตัดสินใจไม่เปลี่ยนเส้นทาง เพราะมองว่า ‘ปราชญ์เร้นลับ’ นั้นอันตรายเกินไป และยิ่งไปกว่านั้น เราเคลือบแคลงมาตลอดว่า ปราชญ์เร้นลับอาจไม่ใช่เทพตัวจริง เป็นการสวมรอยของเทวทูตลำดับรองลงมาเล็กน้อย”

“หากได้เป็นนักแปรธาตุ เราจะมีพลังในการฝัง ‘วิญญาณ’ ลงไปในวัตถุและมอบชีวิตใหม่ให้กับพวกมัน คงเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับพระผู้สร้างกระมัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พลังของนักแปรธาตุนั้นยากจะหาใครทัดเทียม และยังเป็นเหตุผลให้เราเลือกเดินบนเส้นทางนี้อย่างไม่ไขว้เขว หากกลายเป็นนักแปรธาตุได้เมื่อไร หนึ่งในความฝันของเราก็จะลุล่วงสักที ในอนาคตจะต้องมีใครบางคนพูดขึ้นว่า ‘กองทัพของเรามิได้อ่อนแอ เพียงแต่ไอ้พวกขี้โกงนั่นมันมีกันดั้ม!’ และจะไม่มีกันดั้มใดสมจริงไปกว่าของเราอีกแล้ว! แต่ปัญหาสำคัญก็คือ พิธีกรรมการเลื่อนลำดับเป็นนักแปรธาตุค่อนข้างโหดร้าย เราต้อง ‘ดึง’ ทุกชีวิตภายในหนึ่งดินแดนออกมา เปลี่ยนให้บริเวณดังกล่าวกลายเป็นทะเลทราย ไม่มีแม้กระทั่งสายน้ำไหลผ่าน… ฟังดูเหมือนกับพิธีกรรมบูชายัญของนิกายนอกรีตฉิบ… เราคิดอยู่เสมอว่า ระบบโอสถของโลกใบนี้เต็มไปด้วยความดำมืดและบ้าคลั่ง ยิ่งในบางกรณี เรื่องราวฟังดูโหดร้ายจนทำให้หดหู่เพียงแค่จินตนาการภาพตาม”

จักรพรรดิคิดเหมือนเราเลยแฮะ…

อ่านถึงตรงนี้ ไคลน์อดถอนหายใจไม่ได้

ในบางครั้ง มันเองก็รู้สึกว่าเบื้องหลังของโลกปัจจุบันช่างมีสีเทาเข้มจนเกือบดำสนิท แถมยังเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง

โดยเฉพาะกฎเหล็กทั้งสามข้อ กฎอนุรักษ์พลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียง กฎความถาวรของพลังพิเศษ และกฎการดึงดูดระหว่างพลังพิเศษในเส้นทางเดียวกัน ทั้งหมดล้วนนำพาหายนะมาให้โลกทั้งสิ้น

‘อาชีพ’ นักแปรธาตุนับว่าน่าสนใจมาก และพลังในการเล่นแร่แปรธาตุชีวิต ก็ยังฟังดูเหมือนกับพลังต้องห้ามซึ่งอยู่ในขอบเขตของเทพเท่านั้น… ชักน่าสนใจแล้วว่า ก่อนถูกลอบสังหาร จักรพรรดิโรซายล์สร้างกันดั้มเสร็จสักตัวหรือไม่… บางทีคงไม่…

ไคลน์ปล่อยความคิดเตลิดโดยไม่ควบคุม

ขณะเดียวกัน มันก็ยังอยากรู้รายละเอียดของพิธีกรรมสำหรับก้าวเข้าสู่ขอบเขตแห่งครึ่งเทพ แต่น่าเสียดาย โรซายล์มิได้เขียนบันทึกไว้อย่างละเอียด เพราะนี่เป็นเพียงไดอารี มิใช่สมุดบันทึกกิจวัตรประจำวัน

สำดับ 4 ‘ปราชญ์พิศวง’ แห่งเส้นทางผู้ส่องความลับก็ฟังดูน่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน…

ไคลน์พลิกไปยังกระดาษแผ่นสุดท้ายและเริ่มอ่านไดอารีหน้าสาม

“23 เมษายน พวกคนชั้นสูงของโลกนี้เสียสติกันไปใหญ่แล้ว! เราเคยคิดว่า มาดามคาเรนยั่วยวนให้เรามีเพศสัมพันธ์ด้วยเพราะหลงใหลในหน้าตาหรือบุคลิก แต่ใครจะไปคิดว่า สามีของหล่อน เอิร์ลแห่งแชมเปญ กำลังแอบดูจากผนังห้องติดกัน! ไอ้วิตถารนั่นเกิดเงี่ยนขึ้นมาและอยากสอยก้นเรา! ต้องขอโทษจริงๆ แต่เรื่องเวรตะไลแบบนี้เกิดขอบเขตการทำใจยอมรับของเราไปมาก เราไม่มีทางเลือกนอกจากเตะก้นมันไปหนึ่งที เมื่อเทียบกับความจังไรของคนเหล่านี้ เราจะกลายเป็นเด็กทารกไปเลย!”

“…”

ไคลน์ถึงกับหมดคำพูด มันรู้สึกว่าชีวิตประจำวันของโรซายล์เต็มไปด้วยความตื่นเต้นแสนพิสดาร ความวิตถารของขุนนางอินทิสได้อยู่นอกเหนือจินตนาการไปมากทีเดียว

หากชนชั้นสูงสักคนเกิดอยากลองอะไรแปลกๆ เช่นการมีเซ็กซ์กับลิงบาบูนขนหยิก รับรองได้เลยว่าอีกไม่นานต้องเกิดการระบาดของโรคบางชนิดซึ่งรักษาไม่หาย…

ไคลน์ถอนหายใจยาว

“25 เมษายน เพื่อทำให้จิตใจสงบนิ่งและเสริมสร้างความสุขุม เราตัดสินใจเดินทางไปตกปลายังทะเลสาปสวอน หวังว่าสักวันจะมีโอกาสได้ตกนางเงือกในทะเลบ้าง เฮ่อ พักหลังมานี้ เราเริ่มทำตัวเอื่อยเฉื่อยมากไปแล้ว ไม่ได้การ! ต้องปลุกจิตวิญญาณนักประดิษฐ์กลับมาให้ได้! ในฐานะนักเดินทางข้ามโลก เราต้องจารึกชื่อตัวเองไว้ในหน้าประวัติศาสตร์!”

แต่รุ่นพี่น่าจะทำตัวเอื่อยเฉื่อยไปตามเดิมมากกว่า… มุมปากไคลน์เริ่มกระตุกขณะแสดงความเห็นติดตลก

ถัดมา มันก้มหน้าอ่านย่อหน้าสุดท้ายของไดอารีอย่างใจเย็น

“26 เมษายน ซาราธมาเยี่ยมบ้าน เราจึงตัดสินใจถามไปว่า ‘ปาฏิหาริย์’ หมายถึงสิ่งใด เขาถามเรากลับ ว่าเราคิดเช่นไร คิดแบบไหนงั้นหรือ? ปาฏิหาริย์ก็ต้องเป็นพวกสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอยู่แล้ว! ยกตัวอย่างเช่น บรมมหาราชวังสนธยาแห่งจักรพรรดิฟุซัค หนึ่งในถิ่นพำนักของมหาราชาคนยักษ์ เออร์เมียร์”

“ซาราธยอมบอกคำตอบของตัวเอง เขากล่าวว่า : สิ่งใดคือปาฏิหาริย์? ปาฏิหาริย์คือการคืนชีพจากความตาย!”

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset