Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 411 : โถมเข้าใส่

ราชันเร้นลับ 411 : โถมเข้าใส่

สืบเชื้อสายไบลัม… และยังเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย… ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากมิสเตอร์อะซิก ไม่ใช่คนชื่อเหมือน…

จากข้อมูลของเฒ่าโคห์เลอร์ ไคลน์มั่นใจว่าเป้าหมายการค้นหาของกลุ่มอันธพาลและนักล่าค่าหัว คือทายาทแห่งมรณา อะซิก·อายเกส

ปัญหาก็คือ องค์กรใดอยู่เบื้องหลังการตามหามิสเตอร์อะซิกคราวนี้?

นิกายวิญญาณผู้ต้องการคืนชีพมรณา?

อินซ์·แซงวิลล์ผู้ชอบชักใยอยู่เบื้องหลัง?

ไม่น่าจะใช่ฝ่ายหลัง มันคือผู้ครอบครองสมบัติปิดผนึก 0-08 ซึ่งมีพลังแปรผันโชคชะตาเป้าหมายให้เป็นไปตามต้องการ หากหวังพบมิสเตอร์อะซิกจริง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้กลุ่มอันธพาลหรือนักล่าค่าหัว…

เดี๋ยวก่อน! ถ้าผลลัพธ์ในปัจจุบันเกิดจากพลังของ 0-08 ล่ะ? อินซ์·แซงวิลล์ทราบแล้วว่าตนตกเป็นเป้าแก้แค้นจากอีกฝ่าย และยังทราบว่ามิสเตอร์อะซิกแข็งแกร่ง จึงไม่มั่นใจในการเผชิญหน้าตัวต่อตัว ลงเอยด้วย มันตัดสินใจใช้พลัง 0-08 ชักนำให้บางองค์กรตามล่ามิสเตอร์อะซิกเพื่อขจัดเสี้ยนหนาม และองค์กรข้างต้นคือผู้จ่ายเงินรางวัลค่าหัว…

มีความเป็นไปได้มากทีเดียว…

แต่เรายังตัดนิกายวิญญาณออกไปไม่ได้ บางที หลังจากมิสเตอร์อะซิกวางแผนแก้แค้น เขาอาจติดต่อหานิกายวิญญาณเพื่อขอกำลังสนับสนุน แต่เนื่องจากความเชื่อเกี่ยวกับเทพมรณาแตกต่างกันเกินไป จึงเกิดความขัดแย้งในภายหลัง…

ไคลน์ตกผลึกได้สองแนวคิด โดยแต่ละข้อต่างก็มีเหตุผลรองรับในตัว

ชายหนุ่มจิบกาแฟและกล่าวกับโคห์เลอร์

“ช่วยผมสืบหาว่าใครเป็นผู้ตั้งค่าหัวของชายคนนั้น ถ้าได้ตัวเลขเงินรางวัลก็ยิ่งดี เพราะถ้าน่าสนใจ ผมเองก็จะร่วมวงด้วย”

“ไม่มีปัญหา” เฒ่าโคห์เลอร์ไม่พบความผิดปรกติใดในคำพูดอีกฝ่าย

ในบางแง่มุม นักสืบเอกชนก็ไม่ต่างจากนักล่าค่าหัวสักเท่าไร จุดไม่เหมือนเพียงอย่างเดียวคือ ฝ่ายแรกจะรับทำงานจิปาถะมากกว่า เช่นการตามหาแมว จับชู้ หรือจูงหมาเดินเล่น โดยนักสืบมักใช้ทักษะด้านการวิเคราะห์และอนุมานมากกว่ากล้ามเนื้อ

เมื่อโคห์เลอร์เล่าในสิ่งได้เห็นได้ยินจบ ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะตัดสินใจสอนเทคนิคการชักจูงบทสนทนา และเทคนิคการสร้างความบังเอิญอย่างแนบเนียนเพื่อทำให้เกิดสถานการณ์เฉพาะ ไคลน์เคยเรียนสองสิ่งนี้มาจากเหยี่ยวราตรีเมืองทิงเก็น

“ผมต้องไปทำงานท่าเรือแล้ว ขอบคุณมากสำหรับทุกสิ่ง นักสืบโมเรียตี้ คุณทำให้ชีวิตของผมเต็มไปด้วยความสุขอีกครั้ง”

เฒ่าโคห์เลอร์ลุกยืน ก้มหยิบหมวกใบเก่าบนโต๊ะอาหาร และก้มศีรษะคำนับอย่างจริงใจ

ในมุมมองของมัน นักสืบโมเรียตี้ไม่เพียงเป็นผู้มีพระคุณช่วยจ้างทำงานค่าแรงสูง แต่ยังคอยสอนสิ่งจำเป็นในชีวิต ดังนั้น ต่อให้นักสืบไม่จ้างตนทำงานแล้ว แต่โคห์เลอร์ก็มั่นใจว่าสามารถเอาตัวรอดจากเขตตะวันออกอันแสนโหดร้ายได้ตามลำพัง ความรู้จากนักสืบมีประโยชน์มากสำหรับชายชรา ผู้ใกล้จะประกอบอาชีพใช้แรงงานไม่ไหว

ชีวิตเปี่ยมสุข…? ตามความเห็นของผม ความสุขของคุณในตอนนี้ เป็นเพียงปัจจัยพื้นฐานซึ่งมนุษย์ทุกคนพึงได้รับ…

หลังจากนั่งมองแผ่นหลังโคห์เลอร์เดินออกจากร้าน ไคลน์เหม่อเช่นนั้นไปอีกสักพัก

นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่เบ็คลันด์ นี่คือหนแรกอย่างแท้จริง กับการได้ยินชื่อของคนรู้จักจากเมืองทิงเก็น แถมยังอาจเป็นเบาะแสเกี่ยวกับอินซ์·แซงวิลล์อีกด้วย!

หลังจากฆ่าลาเนวุส ตลอดสามเดือนถัดมา เป้าหมายเดียวของไคลน์คือการเร่งความเร็วการย่อยโอสถให้เสร็จสมบูรณ์

สืบเนื่องมาจาก มันทราบดี อินซ์·แซงวิลล์น่าจะกลายเป็นผู้วิเศษลำดับสูงเรียบร้อยแล้ว ช่องว่างระหว่างตนกับอีกฝ่ายจึงกว้างเกินไป การบุ่มบ่ามแก้แค้นคือเรื่องไม่ฉลาดเลยสักนิด แถมยังมีภัยเงียบจาก 0-08 อีก หากเป็นไปได้ ไคลน์ไม่คิดแม้แต่จะสืบเรื่องราวของอีกฝ่าย

ฉากเหตุการณ์ในบริษัทหนามทมิฬกำลังย้อนกลับมาฉายในหัว โดยเฉพาะภาพรองเท้าบูทหนังมันเงาใหม่เอี่ยมคู่นั้น

ชายหนุ่มเงยหน้าพลางถอนหายใจยาว ก่อนจะใช้มือหยิบผ้าพันคอ หมวก และลุกเดินออกจากร้านกาแฟราคาประหยัด

เขตฮิลสตัน ด้านนอกอาการเก่า

ไคลน์ก้าวลงจากรถม้า ใช้มือกดหมวก และเดินตรงไปทางประตูบ้าน

บ้านของไอเซนการ์ด·สแตนธอน

ยอดนักสืบผู้นี้เขียนจดหมายถึงไคลน์เมื่อไม่กี่วันก่อน เจตนาชักชวนให้ชายหนุ่มแวะมายังบ้านของตน โดยหวังปรึกษาหารือเกี่ยวกับคดีฆาตกรรม

แต่ไคลน์ยุ่งอยู่กับการเจรจาขายหุ้นบริษัทจักรยาน จึงตอบปฏิเสธอย่างนุ่มนวลด้วยข้ออ้างว่าตนไม่มีเวลา แต่ไอเซนการ์ดกลับตอบสนองอย่างผิดคาด มันมิได้โกรธเคียง เพียงระบุว่าคดีฆาตกรรมในความดูแลของตนได้ดำเนินมาถึงทางตันแล้ว ทำได้เพียงรอให้นักสืบเชอร์ล็อกช่วยจุดประกายแนวคิดบางอย่าง

ลงเอยด้วย ไคลน์ตัดสินใจเข้ามิติสายหมอก ทำนายถามถึงวันเหมาะสมในการแวะเข้าไปเยี่ยมอีกฝ่าย ตามด้วยการก็เลือกวันเวลาใกล้เคียง โดยรอให้การเจรจาธุรกิจของตนจบลงเสียก่อน

เมื่อผลลัพธ์ออกมาเป็นช่วงบ่ายของวันนี้ ชายหนุ่มจึงเขียนจดหมายกลับไปหาไอเซนการ์ดและแจ้งวันเวลาให้อีกฝ่ายรับทราบ

กริ๊ง. กริ๊ง.

ไคลน์สั่นกระดิ่งสองหน ก่อนจะเดินถอยหลังกลับมายืนรอ

ราวสิบวินาทีถัดมา ประตูบ้านเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของผู้ช่วยไอเซนการ์ด อีกฝ่ายยิ้มรับและกล่าวอย่างเป็นกันเอง

“ทิวาสวัสดิ์ครับ นักสืบโมเรียตี้ มิสเตอร์สแตนธอนกำลังรอคุณในห้องนั่งเล่น ไม่ทราบว่าจะรับชาหรือกาแฟดีครับ”

ผู้ช่วงไอเซนการ์ดมีรูปร่างผอมบาง สวมแว่นตากรอบทอง แฝงกลิ่นอายความสง่างามและเป็นมืออาชีพ

ไคลน์จ้องพร้อมกับมอบคำตอบ

“ชา. ขอมะนาวหนึ่งซีกด้วย”

“ไม่มีปัญหาครับ” ผู้ช่วยเดินนำไคลน์มายังห้องรับแขก ตามด้วยการชี้ไปทางประตูฝั่งห้องนั่งเล่นและกล่าวแนะนำ

“ต้องขอโทษด้วย แต่บรรดาคนใช้ของเราเกิดลาพักชั่วคราวพร้อมกันวันนี้ คุณจำเป็นต้องเดินไปตามลำพัง”

ไคลน์พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตรงไปทางห้องนั่งเล่นบนชั้นหนึ่ง

ขณะยกมือเตรียมเคาะประตู ชายหนุ่มพลันตระหนักถึงความผิดปรกติ

เรานัดไอเซนการ์ดล่วงหน้าหลายวัน แต่ทำไมคนใช้ถึงยังลาหยุดพร้อมกันอีก?

ไคลน์หรี่ตาลง เตรียมหยิบเหรียญทองแดงออกมาโยนทำนาย

ทันใดนั้น ประตูห้องนั่งเล่นพลันเปิดออกกะทันหันพร้อมกับเสียงกริ๊กและแอ๊ด

แทบจะในพริบตา ประหนึ่งผนึกล่องหนถูกคลายออก กลิ่นเหม็นบัดซบชวนอาเจียนพลันลอยเตะจมูกชายหนุ่มอย่างจัง

จากภาพในการมองเห็นไคลน์ เก้าอี้เอนหลังตัวโปรดของไอเซนการ์ดกำลังอยู่ในสภาพนอนหงาย เปื้อนรอยเลือดสีแดงเข้มหลายจุด ข้างกันมีหนังสือวางอยู่หนึ่งเล่ม หน้าปกหงายขึ้นหาเพดาน

เพียงชำเลืองเข้าไป ชายหนุ่มรู้สึกราวกับตนได้เห็นจุดเกิดเหตุฆาตกรรม

ปกหนังสือบนพื้นมีใจความว่า :

“ตำนานปีศาจเขตซิลวารัส”

ปีศาจ…! ขณะไคลน์เตรียมเคลื่อนไหว สายลมกระโชกพลันพัดผ่านจนบานประตูชนกระแทกขอบอีกฝั่งอย่างแรง

โครม!

ไคลน์เริ่มมองเห็นฉากภายในห้องชัดเจน

ถ่านฟืนในเตาผิงดับสนิท ไม่มีประกายความร้อนสีแดง เป็นสัญญาณว่าเตาผิงดับไปสักพักใหญ่แล้ว ส่วนโต๊ะกาแฟ โซฟา เก้าอี้ ตู้ และของใช้อื่น ทั้งหมดล้วนกระจัดกระจายหรือไม่ก็ถูกทำลาย

ไคลน์เริ่มมั่นใจว่าภายในห้องจะต้องมีการต่อสู้อันดุเดือด

แม้ว่าตามพรม เพดาน หรือผนังห้องจะเต็มไปด้วยคราบเลือดน่าสะอิดสะเอียนและรอยไหม้หลายจุด แต่ไคลน์กลับไม่พบศพด้านในห้อง แม้แต่แขนขาหรือเศษเนื้อก็ไม่

มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับนักสืบสแตนธอน?

ไคลน์รีบก้าวเท้าถอยหลังตามสัญชาตญาณ ภายในหัวกำลังคิดเรื่องหลบหนีไปให้ไกลจากบ้านของไอเซนการ์ด

ทันใดนั้น ชายหนุ่มรู้สึกราวกับตนกำลังถูกจ้องมองอย่างไม่ละสายตา

ใครบางคนกำลังจ้องเราด้วยสายตาเย็นชาและเต็มไปด้วยจิตสังหาร… จากจุดใดสักแห่ง!

หากก้าวพลาดแม้แต่นิดเดียว มันเชื่อว่าตนอาจถูกส่งไปคุยกับยมบาลถาวร

วันนี้เป็นวันดีในการมาเยี่ยมไอเซนการ์ดตรงไหนกันฟะ!? เราอ่านผลการทำนายผิด?

ไคลน์ไม่กล้าบุ่มบ่าม

มันไม่วิตกกังวลหรือประหวั่นเกินงาม เพราะเคยมีประสบการณ์ต่อสู้มากพอสมควร รวมถึงการ ‘แสดงกล’ ครั้งใหญ่อีกหลายต่อหลายหน ฉะนั้น ภายในสถานการณ์ปัจจุบัน มันทราบดีกว่าใครว่ายิ่งต้องสุขุมเยือกเย็น

กึก. กึก. กึก.

ผู้ช่วยไอเซนการ์ดกำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ประตูห้องนั่งเล่นพร้อมกับถาดโลหะในมือ

ถ้วยไว้สำหรับใส่ชา แก้วลายครามมีไว้สำหรับรินเครื่องดื่มลงไป

ทันใดนั้น เมื่อผู้ช่วยเห็นฉากภายในห้องนั่งเล่นเต็มสองตา ตัวมันพลันแข็งทื่อเยี่ยงรูปปั้น

ก่อนจะหันมาจ้องไคลน์ด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด และกล่าวตะกุกตะกัก

“คุณ… ฆ่า… มิสเตอร์… แสตนธอน…”

ขณะเปล่งเสียงในทุกคำ เศษเนื้อพลันหลุดร่อนออกจากใบหน้าพร้อมกับเลือดสดเปรอะเปื้อนเป็นทางยาว

เมื่อกล่าวจบ ร่างผู้ช่วยไอเซนการ์ดพลันถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยประหนึ่งเศษเนื้อเรี่ยราด รอยตัดเรียบเนียน ราวกับอีกฝ่ายอยู่ในสภาพนี้มาตลอด เพียงแต่ถูกเย็บกลับเข้าไปใหม่ให้ติดสนิท

แคร้ง! เพล้ง!

ถ้วยชามลายครามและกาน้ำโลหะร่วงหล่นกระทบพื้นพร้อมกัน อันหนึ่งกลิ้งขลุกขลัก ส่วนอีกอันแตกละเอียดทันที คราบของเหลวเจิ่งนองไปทั่วห้องนั่งเล่น

ไคลน์ไม่กล้าขยับตัว เพียงจ้องมองทุกสิ่งเกิดขึ้นและจบลงอย่างเงียบงัน เนื่องจากมันยังสัมผัสได้ว่า ตนกำลังถูกใครบางคนเพ่งมองอย่างอาฆาตแค้น

บุคคลเบื้องหลังเหตุการณ์ กำลังรอให้ตนเคลื่อนไหวผิดพลาด จากนั้นจึงลงมือจู่โจมจากด้านหลังและสะบั้นคอทิ้งอย่างง่ายดาย

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์ได้ยินเสียงประตูบ้านไอเซนการ์ดถูกเปิดออกด้วยฝีมือตำรวจกลุ่มหนึ่ง ทุกคนสวมชุดลายตารางหมากรุกสีขาวดำของทางการ

พวกมันรีบโถมเข้ามาในตัวบ้านอย่างมีระเบียบแบบแผน และเมื่อเห็นภาพชวนอาเจียนภายในห้องนั่งเล่น ปากกระบอกปืนทั้งหมดพลันเล็งจ่อไคลน์ ผู้กำลังยืนอยู่หน้าประตูห้อง อย่างพร้อมเพรียง

อย่างไรก็ตาม แม้ชายหนุ่มกำลังเผชิญแรงกดดันจากปืนพร้อมยิงหลายกระบอก แต่มันกลับผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด

สืบเนื่องมาจาก สายตาอาฆาตซึ่งมอบความตึงเครียดเหนือคำบรรยายเมื่อครู่ บัดนี้อันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

ไคลน์ชูสองมือขึ้นพลางอมยิ้ม

“ผมไม่ขอพูดอะไร จนกว่านักกฎหมายส่วนตัวจะช่วยเป็นสักขีพยาน”

กรุงเบ็คลันด์ สถานีตำรวจซีซาร์

ไคลน์ ผู้ถูกสวมกุญแจมือล็อกติดกับท่อน้ำของสถานีตำรวจอย่างแน่นหนา ได้พบนักกฎหมายประจำตัว เยอร์เก้น·คูเปอร์ อีกครั้ง

“ผมจะเข้าร่วมการสอบปากคำด้วย”

สีหน้าแววตาเยอร์เก้นไม่เผยความฉงนแม้แต่เศษเสี้ยว ประหนึ่งว่านักสืบโมเรียตี้อาศัยอยู่ในสถานีตำรวจมาตั้งแต่เกิด

ไคลน์ถอนหายใจยาว

“ช่างอับโชคอะไรเช่นนี้ ผมควรกำลังเลือกมื้ออาหารค่ำอย่างสบายใจ ไม่ใช่ต้องเข้าไปคุยกับตำรวจหน้ายักษ์ในห้อง”

หากจะถามหาสิ่งดี ก็คงเป็นการไม่นำวัตถุวิเศษพกติดตัวมาเลย เนื่องจากมันยังกังวลเกี่ยวกับการตามล่าของชุมนุมแสงเหนือ รวมถึงการตามล่าของโรงเรียนกุหลาบ

สิ่งของผิดกฎหมายบนร่างกายจึงมีเพียงปืนลูกโม่หนึ่งกระบอก แต่ไคลน์สามารถซ่อนมันได้ด้วย ‘เวทมนตร์’ อำพราง

โดยไม่รอให้ตำรวจเป็นฝ่ายถาม หลังจากไคลน์เข้าไปในห้องสอบปากคำ มันรีบเล่าถึงจดหมายเชิญของไอเซนการ์ด เรื่อง อีกฝ่ายชวนให้ตนมาช่วยไขคดีฆาตกรรมบางอย่าง

“เข้าใจแล้ว ผมจะส่งทีมไปค้นบ้านคุณพร้อมกับนักกฎหมายเยอร์เก้น หวังว่าจดหมายฉบับนั้นจะยังอยู่ดี” เจ้าพนักงานสอบปากคำเริ่มเข้าประเด็น “คุณรู้จักกับไอเซนการ์ด·สแตนธอนได้อย่างไร”

ไคลน์ตอบโดยไม่ลังเล

“จากคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง….”

มันชะงักคำกะทันหัน

ชายหนุ่มพลันผุดข้อสันนิษฐานใหม่ นั่นคือ ตัวมันเคยสงสัยว่า สุนัขปีศาจตนนั้นอาจมีเจ้าของ และเจ้าของคือผู้บงการตัวจริง

ไคลน์เชื่อว่า ตนเคยพบเจ้าของสุนัขในระยะใกล้มาแล้วหนหนึ่ง จากเหตุการณ์ขณะสุนัขปีศาจถูกหน่วยพิเศษล้อมสังหาร โดยใครบางคนได้ทำเสียงฟึดฟัดอย่างไม่พอใจออกมา

ไอเซนการ์ดกำลังอ่านหนังสือ ‘ตำนานปีศาจแห่งเขตซิลวารัส’ … เป็นไปได้ไหมว่า เจ้าของสุนัขเริ่มลงมือแก้แค้นหลังจากทำตัวเงียบมานานหลายสัปดาห์…

ไม่ผิดแน่ จากบันทึกการสืบสวนของกรมตำรวจ ชื่อของผู้ให้คำแนะนำจนคดีถูกปิดลง คงไม่ใช่ใครนอกจากตัวไอเซนการ์ด·สแตนธอนเอง… แถมคนรับเงินค่าหัวก็ยังเป็นเขา!

ไคลน์เริ่มสร้างทฤษฎีใหม่

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset