Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1124 : ยกระดับพวกพ้อง

เฮเซลตาค้างทันที รู้สึกคล้ายกับภายในหัวมีบางสิ่งกำลังขยายออก พยายามฉีกทำลายบาเรียล่องหนและพรั่งพรูออกมา

เธอรีบมองไปทางอื่นตามสัญชาตญาณและขดตัวสั่น

จากนั้น หญิงสาวสัมผัสได้ว่า ภายในส่วนลึกของจิตใจมีแสงหนึ่งสว่างขึ้น ระเบิดออกพร้อมกับเศษเสี้ยวความทรงจำ

เธอจดจำได้ว่า มีเหตุการณ์ใดบ้างเกิดขึ้นในวันนั้น ยังไม่ลืมว่าบิดา มารดา สาวใช้ และคนใช้ชายต่างสวมแว่นตาขาเดียวหรือไม่ก็พยายามจับตาข้างขวา ความสยดสยองอันยากจะอธิบายผุดขึ้นอย่างคมชัดราวกับถูกสลักลงบนกระดูก

สีหน้าเฮเซลบิดเบี้ยวทันที ร่างกายห่อตัวประหนึ่งลูกบอล สั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม สาวใช้บนรถม้าต่างพากันผงะ รีบลุกขึ้นและเอื้อมมือเข้าหา พยายามพยุงให้คุณหนูของตนลุกขึ้นยืน

“ไม่!” เฮเซลที่ตัวสั่น ตะโกนด้วยเสียงที่เกือบจะแหลมเล็ก

สาวใช้ตกใจกลัวและยืนแข็งทื่อ ทำตัวไม่ถูกไปสักพัก

หลังจากตะโกน เฮเซลผ่อนคลายลงมาก รีบลุกขึ้นนั่งด้วยความเยือกเย็น มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างหวาดกลัว พบว่าบุรุษไปรษณีย์ที่สวมแว่นตาขาเดียวเลี้ยวจักรยานเข้าไปในถนนอีกเส้น มองเห็นเพียงแผ่นหลัง

“ฉ…ฉันแค่รู้สึกไม่ดีนิดหน่อย ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว” เฮเซลหันหน้ามาพูดกับสาวใช้อย่างยากลำบาก

เธอพบว่าตัวเองไม่ได้กลัวอย่างที่คิด คล้ายกับปรับตัวได้สักพักแล้ว สามารถยอมรับสถานการณ์ได้ดีกว่าในช่วงแรก

ไม่อย่างนั้นเราคงคลุ้มคลั่งไปแล้ว…แต่ทำไมเราถึงใช้คำว่า ‘คลุ้มคลั่ง’ …โชคดีที่เคยลืมความทรงจำเหล่านี้ไป ในตอนที่เห็นบุรุษไปรษณีย์ ต้องใช้เวลาเกือบสิบวินาทีจึงค่อยสติแตก ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงสังเกตเห็นความผิดปรกติ…ความคิดมากมายถาโถมเฮเซล อดไม่ได้ที่จะสั่นระริกแผ่วเบา

“คุณหนู ไปคลินิกไหมคะ?” สาวใช้รีบถาม

เฮเซลส่ายหน้าตามจิตใต้สำนึก กล่าวเสียงเรียบด้วยจิตใจที่ว่าวุ่น

“แวะไปที่ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ ก่อน ฉันจำได้ว่าใกล้ ๆ ที่นั่นมีคลินิก”

“ค่ะ” สาวใช้หันไปบอกให้คนขับรถม้าเร่งความเร็ว

เฮเซลยังคงสูดลมหายใจยาว พยายามบรรเทาความเครียด ตื่นตระหนัก และหวาดกลัว

สิ่งเหล่านี้ส่งผลไม่มากก็น้อย คล้ายกับเฮเซลสงบลงโดยที่ไม่สติแตกคาที่

ในเวลาเดียวกัน บนหลังคารถม้า นกกระจอกซึ่งมาเกาะอยู่ได้สักพัก หรี่ตาลงและพูดภาษามนุษย์ที่เบาจนเกือบจะเงียบ

“เธอเข้าใจผิดบางอย่างเกี่ยวกับเรา…ดูเหมือนว่าจะเคยเผชิญหน้ากับ ‘เรา’ มาก่อน…หืม…อาศัยอยู่บนถนนเบิร์คลุน…ชักน่าสนใจแล้วสิ”

เพียงไม่นาน เมื่อรถม้าแล่นเข้าไปในถนนเฟลป์และเห็นตึก ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ อยู่ไม่ไกล เฮเซลพูดขึ้นทันที

“ไปวิหาร…แวะวิหารนักบุญแซมมวลก่อน! ฉันอยากสวดมนต์”

เธอต้องการเล่าให้บิชอปฟังว่า ‘วันนั้น’ ในอดีตเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง และวันนี้เธอได้พบเจอกับอะไร

ระหว่างช่องว่างของแผ่นไม้รถม้า มดสีดำขยับหนวดขวาและกระซิบเป็นภาษาคน

“มนุษย์สมัยนี้ไม่สร้างสรรค์เลยสักนิด เอะอะก็เข้าวิหาร…คราวหน้า เราจะขโมยวิหารทั้งหลัง”

ขณะกล่าว หนวดอีกเส้นของมดเริ่มขยับ

ทันใดนั้น เฮเซลลืมสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกไป รวมถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ลืมไปแล้วว่าเคยพบกับบุรุษไปรษณีย์สวมแว่นตาขาเดียว

นอกจากนั้น ดูเหมือนว่าทั้งสาวใช้และคนขับรถม้าต่างก็ลืมคำสั่งล่าสุดของเธอ

ในอาคารกองทุน ออเดรย์ทักทายเฮเซลและพาเพื่อนใหม่เข้าร่วมกิจกรรมช่วยเหลือทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสมรภูมิแนวหน้า

เนื่องจากเดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยตักเตือนว่า ซาราธซึ่งเป็นผู้นำลัทธิเร้นลับ รวมถึงเทวทูตที่แข็งแกร่งตนอื่น กำลังซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่งภายในกรุงเบ็คลันด์ ออเดรย์จึงตัดสินใจละทิ้งการรักษาเฮเซลในระยะที่สาม ทำได้เพียงภาวนาให้ความทรงจำของเธอไม่ตื่นขึ้นมาจนเกิดเหตุไม่คาดฝัน

แผนการปัจจุบันก็คือ ชักชวนให้เฮเซลช่วยเหลือผู้คนด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมการกุศล อีกฝ่ายจะได้ร่าเริงและมีภูมิต้านทานทางจิต

ในเมืองที่โจรสลัดเป็นใหญ่ ฟอร์สดื่มไวน์ผลไม้ของท้องถิ่นที่ออกฤทธิ์แรงเป็นพิเศษ บันทึกประสบการณ์และสิ่งที่ได้พบเจอในชีวิตประจำวัน

ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณของเธอถูกกระตุ้น รีบหันไปมองด้านข้างตามสัญชาตญาณ

เธอเห็นเค้าโครงของมนุษย์ถูกวาดขึ้นจากความว่างเปล่า ก่อตัวเป็นร่างกายที่สมบูรณ์ในพริบตา ไม่ใช่ใครนอกจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เจ้าของใบหน้าเย็นชา แต่งกายด้วยหมวกทรงกึ่งสูงและเสื้อนอกสีดำ

ฟอร์สลุกพรวดพร้อมกับแก้วไวน์และปากกา กล่าวออกไปโดยไม่รู้ตัว

“ทิวาสวัสดิ์…ม…มิสเตอร์สแปร์โรว์”

ขณะพูด เธอวางของในมือลงบนโต๊ะ

ไคลน์กดหมวกทรงกึ่งสูงเล็กน้อยพลางมองไปรอบตัว

“จะกลับหรือยัง”

ฟอร์สกลอกตาซ้ายขวาและตอบ

“กลับ”

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอทำการบันทึกเอกลักษณ์ของเมืองนี้ซึ่งมีจุดแตกต่างจากเมืองอื่น

ไคลน์ไม่สนทนายืดยาว ใช้คางชี้ไปยังสิ่งของบนโต๊ะ เป็นนัยให้มิสเมจิกเชี่ยนรีบเก็บกระเป๋า

ฟอร์สไม่มัวลังเล รีบจัดเรียงต้นฉบับราวกับว่านั่นคือคำสั่งเด็ดขาด

ขณะยืนดูอีกฝ่ายกำลังยุ่งวุ่นวาย ไคลน์ถามเสียงเย็น

“ตำนานสยองขวัญไปถึงไหนแล้ว”

ฟอร์สสั่นระริกแผ่วเบาก่อนจะรีบตอบ

“ใกล้แล้ว…อีกนิดเดียว”

ไคลน์พยักหน้าอ่อนโยน

“อีกนานแค่ไหน”

“หนึ่งสัปดาห์…ไม่สิ ห้าวัน ไม่เกินห้าวันแน่นอน” ฟอร์สรีบตอบ

ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงยืนรอจนกระทั่งฟอร์สเก็บต้นฉบับ ปากกา แก้วไวน์ที่มีของเหลวเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง และของที่ระลึกเสร็จเรียบร้อย มันขยับสองก้าวและเหยียดแขนจับไหล่อีกฝ่าย

เงารางสีดำจำนวนมากโผล่ขึ้นมาแหวกว่ายตรงหน้าอีกครั้ง ฟอร์สรู้สึกผ่อนคลายกว่าครั้งแรก ถึงขั้นคิดจะ ‘บันทึก’ การเดินทางครั้งนี้ด้วย

ไม่นานหลังจากนั้น เธอกลับถึงกรุงเบ็คลันด์ กลับถึงตรอกแคบที่เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทาง และได้ยินเสียงเดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์พูด

“พักผ่อนสองสามวันก่อนออกเดินทางรอบใหม่…พยายามซึมซับผลตอบกลับให้ดี และฝากถามอาจารย์ของเธอว่า มีข้อมูลเกี่ยวกับจักรพรรดิโลหิตทูดอร์บ้างไหม เน้นเรื่องโบราณสถานลับในสถานที่ต่าง ๆ”

“ตกลง” ฟอร์สรับปากและขอบคุณ

หลังจากแยกกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ฟอร์สกลับไปยังถนนเส้นหนึ่งในเขตตะวันออก กลับเข้าบ้านที่เช่าร่วมกับซิล

ซิลวางหนังสือพิมพ์ลง จ้องเพื่อนสนิทและพูด

“ได้ผลดีไหม?”

“ค่อนข้างดี คราวนี้ได้ไปเมืองที่โจรสลัดเป็นใหญ่…” ยังไม่ทันพูดจบ ฟอร์สเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย “ขอบุหรี่กับกาแฟหน่อย”

“ทำไม? ที่นั่นไม่มีหรือ” ซิลถามด้วยสีหน้ามึนงง

ฟอร์สรีบเดินเข้าไปในห้อง นั่งลงบนโต๊ะทำงาน กางต้นฉบับออก หยิบปากกาและกล่าวโดยไม่มองหน้าเพื่อนสนิท

“เพื่อนิยายเล่มใหม่! อย่าลืมชงกาแฟที่คนกินได้ให้ฉันด้วย!”

ซิลที่เดินตามเข้าไปในห้องนอน เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว เธออ้าปากค้างโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา

ณ จุดอื่นของเขตตะวันออก ในบ้านเช่าที่มีเค้าโครงคล้ายคลึงกัน

เนื่องจากซาราธอยู่ในเบ็คลันด์ อามุนด์สามารถถูก ‘ล่อลวง’ ได้ทุกเมื่อ แถมตอนนี้ก็ยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด ขณะเดียวกัน ไคลน์ยังตั้งใจจะยับยั้งพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืดของจอร์จที่สาม ในแง่หนึ่ง มันพยายามย่อยโอสถจอมเวทพิสดารอย่างสุดความสามารถ และในอีกแง่หนึ่ง มันกำลังเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

ชายหนุ่มคลี่กระดาษจดหมายออกและเขียน

“เรียนมิสเตอร์อะซิก…”

“ช่วงนี้ผมมีโอกาสได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์โบราณมากมาย ผมเชื่อว่าคุณต้องสนใจมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่เลือกประกอบอาชีพอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์หลังจากสูญเสียความทรงจำ”

“ประวัติศาสตร์ดังกล่าวถูกปกปิดและไม่สะดวกที่จะเล่าผ่านจดหมาย ไว้คุณตื่นเมื่อไร ผมจะเล่าให้ฟังกับตัว”

“นอกจากนั้น ผมสามารถสร้างยันต์ ‘วันวานอีกครั้ง’ ทันทีที่ใช้งาน คุณจะย้อนกลับไปค้นหาตัวตนในอดีตผ่านช่องว่างประวัติศาสตร์และหยิบยืมพลังมาใช้งาน”

“สำหรับคุณ การยืมพลังคงไม่ใช่สาระสำคัญ แต่เป็นการรื้อฟื้นความทรงจำจากตัวตนในอดีตได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาหลายสิบปีหลังจากคืนชีพ ผมคิดว่าคุณน่าจะชอบ…”

“ผมแนบยันต์สองแผ่นไปพร้อมกับจดหมาย ถ้าคุณตื่นเมื่อไรให้ลองทดสอบใช้งานดู”

“ตอนนี้ผมอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่วุ่นวาย หากคุณต้องการมาหา อย่าลืมตรวจสอบล่วงหน้าจนมั่นใจว่าปลอดภัย”

“…ผมจะพยายามยับยั้งไม่ให้จอร์จที่สามกลายเป็นจักรพรรดิมืด แต่โอกาสสำเร็จมีต่ำมาก…”

“สุดท้ายนี้ ผมขอให้คุณพบเจอแต่สิ่งดี ๆ ขอให้ลืมตาตื่นขึ้นโดยเร็ว…ไคลน์·โมเร็ตติ ศิษย์ของคุณตลอดไป”

หลังจากพับกระดาษจดหมาย ไคลน์บรรจุยันต์วันวานอีกครั้งสองแผ่นเข้าไปในซอง

จากนั้น มันนำนกหวีดทองแดงของอะซิกออกมาเป่า

ผู้ส่งสารกระดูกยักษ์โผล่ออกจากความว่างเปล่า ในสภาพศีรษะอยู่ต่ำกว่า มันรับจดหมายไปจากมือไคลน์

ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย มองดูผู้ส่งสารกระดูกสลายตัวและเลือนหายไป

จัดการทั้งหมดเสร็จ มันนำสองนิ้วคีบนกกระเรียนกระดาษที่วิล·อัสตินพับออกจากกระเป๋าสตางค์ เขียนด้วยดินสอ

“ผมมีคำถาม”

มันวางนกกระเรียนไว้ใต้หมอนและนอนทับ หลับไปด้วยการเข้าฌาน

ในส่วนลึกของยอดหอคอยแหลมสีดำ ไคลน์ได้พบวิล·อัสตินในรถเข็นเด็กสีดำที่ห่อด้วยผ้าไหมเงิน

โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูด มันถามเข้าประเด็น

“คุณพอจะทราบไหมว่า ผมสามารถสอบถามวิธีปรองดองกับ ‘เอกลักษณ์’ ได้จากใคร? และต้องจ่ายเท่าไร?”

แต่ถ้ามันแพงนักก็ลืมไปเสีย…ไคลน์เสริมในใจ

วิล·อัสตินที่กำลังดูดนิ้วโป้ง เผยสีหน้าตกตะลึงก่อนจะพูด

“เจ้าต้องการช่วยข้าหาวิธีปรองดองกับลูกเต๋าความน่าจะเป็น?”

ไคลน์พยักหน้าเคร่งขรึม

“ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ พวกเราก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด”

ทันทีที่พูดจบ วิล·อัสตินหลั่งน้ำตาอาบแก้ม

ทารกอวบอ้วนใช้มือทุบข้างรถเข็น ส่งเสียงสะอื้น

“เปล่าประโยชน์…สายเกินไปแล้ว…ข้าเพิ่งเริ่มต้นใหม่ ต้องใช้เวลาอีกยี่สิบสองปีกว่าจะปรองดองกับเอกลักษณ์ได้… ทำไมถึงไม่รีบบอก? ทำไมข้าถึงโชคร้ายแบบนี้…คงเป็นเพราะไอ้งูโง่โอโรเลอุสนั่นที่กินความโชคดีของข้าไปเกือบหมด…”

…………………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset