Midterm Fantasy – ตอนที่ 50

ลิมิตการนำสิ่งของข้ามมิติ คือ 30 วัน!
โดย
หมอแมว

พ่อของแพทกลับจากบ้านของรอนด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
หลังจากคุยกับพ่อแม่ของรอนไปเมื่อครู่ เขาก็รู้ถึงสาเหตุที่รอนเป็นคนแบบนี้แล้ว
รอนเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่เลี้ยงแบบตามใจมาก อยากทำอะไรก็ไม่ห้าม
จะออกไปเล่นเกม ก็ไม่ห้าม แม้ลูกจะเล่นจนบางครั้งกลับดึกก็ไม่ว่าอะไร
เกรดจะต่ำแค่ไหน แม้พ่อแม่จะกังวลยังไง ก็ไม่เคยบ่นว่าอย่างจริงจัง
การเงินในครอบครัวเป็นยังไง รอนแทบไม่เคยรู้ รู้แค่ว่าไม่ได้มีเงินมาก
งานบ้านไม่เคยสั่งให้ทำ ล้างห้องน้ำ รดน้ำต้นไม้ ตัดหญ้า ล้างจานชาม พ่อแม่ทำเกือบหมดเว้นแต่รอนจะเสนอตัวทำเอง
แม้จะทราบดีว่า ปัญหาด้อยความรู้ทางการเงินและวางแผนทางการเงินระดับครอบครัวของประเทศนี้จะต่ำเตี้ย
แม้จะทราบดีว่า ปัญหาพ่อแม่ตามใจลูกจะเป็นเรื่องปกติในสังคมนี้
แม้จะทราบดีว่า ปัญหาพ่อแม่เลี้ยงลูกแบบไม่ให้เผชิญโลกจะเป็นเรื่องที่เจอบ่อย
แต่พอคุณพ่อวิทวัสมาเจอเข้ากับตัว เขาก็ถึงกับปวดหัวเหมือนกัน
“แล้วนายบอกกับพ่อแม่ของพ่อหนุ่มนั้นยังไงครับ พวกเขาถึงได้รับฟัง”
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่บอกไปว่าเด็กคนนี้จริงๆหัวดี ชั้นจะจ้างรอนให้สอนลูกแพท ก็เหมือนได้อ่านหนังสือไปพร้อมกัน…….. แล้วก็บอกว่าที่ผลสอบของรอนดีขึ้นเป็นเพราะมาติวให้ลูกแพท”
เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้วเขาก็รู้สึกปวดหัวกับครอบครัวนี้อีก เพราะพ่อแม่ของรอนไม่ถามเรื่องค่าจ้างว่าได้เท่าไหร่หรือจะจ่ายกันยังไง
“ดูนายห่วงนายรอนมากนะครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก….. เห็นเจ้าหนุ่มคนนี้แล้ว ชั้นนึกถึงตัวเองตอนสมัยเด็กๆ”
เจ้าหนุ่มนี่บอกว่าอายุ15  ….. ครั้งแรกที่เรารับเอาศิลานักปราชญ์เข้ามาก็อายุเท่านี้เหมือนกัน และอ่อนต่อโลกเหมือนๆกัน
เพียงแต่เขาเรียนรู้ความโหดร้ายของการทรยศหักหลัง ด้วยเลือด น้ำตา และชีวิตของพวกพ้องคนใกล้ชิด
กว่าจะหนีมาที่โลกนี้ได้ ก็ผ่านความเจ็บปวดมากมาย
และเจ้าหนุ่มนี่ น่าจะได้รับศิลานักปราชญ์ใกล้ๆหมู่บ้านเล็กๆ เพราะในโลกโน้นหมู่บ้านเล็กๆ ยังคงความบริสุทธิ์ ไม่มีการแก่งแย่งเห็นแก่ตัวเหมือนกับโลกปัจจุบัน
ถ้าอ่อนต่อโลกขนาดนี้ไปโผล่ในเมืองหรือในปราสาท คงไม่อยู่รอดมาจนบัดนี้
….
แวบหนึ่ง เขาอยากจะคุยกับรอนเรื่องที่ว่า เขารู้ว่ารอนรับเอา “ศิลานักปราชญ์” เข้ามา รู้ถึงการข้ามไปมาได้ และเขาเองเคยข้ามจากโลกนั้นหนีมาอยู่ที่นี่ แต่เขาก็ไม่กล้าบอก
เพราะติดปัญหาสำคัญคือ …. เขาไม่รู้ว่าศิลานักปราชญ์ที่รอนรับเข้ามา
‘เป็นของฝ่ายใด’
*************
รอนวาร์ปกลับมายังค่ายที่พัก เขามองไปที่มือทั้งสองข้างแบบผิดหวัง เพราะมือซ้ายของเขามีขวดน้ำเปล่าๆขวดนึง ส่วนมือขวา ก็มีน้ำเคลือบอยู่บางๆหยดลงที่ปลายนิ้วช้าๆ
หลังจากการสู้กับออร์คกลุ่มที่แล้ว เขาได้ความคิดว่าหากเอาน้ำมันเบนซินหรือดีเซลข้ามมาฝั่งนี้ได้ ก็จะสามารถใช้เป็นอาวุธชั้นดีได้
แต่ขวดน้ำเปล่าๆในมือซ้าย บ่งบอกให้เห็นชัดเจนว่า ถ้าเติมน้ำลงขวดใหม่ๆ ตอนข้ามมาฝั่งนี้ “กฎ”ในการข้ามโลกจะถือว่าเป็นของคนละชิ้นกัน และข้ามมาเฉพาะขวดน้ำที่รอนกำลังสัมผัสอยู่
และมือขวา ก็คือเขาทดลองเอาน้ำใส่ลงไปในถัง แล้วเอามือจุ่มน้ำทำท่าเหมือนถือน้ำอยู่ … โดยหวังว่า “กฎ”ในการข้ามโลก จะถือว่าเขากำลังถือน้ำเอาไว้ ไม่ใช่กำลังถือถัง … ปรากฎว่ามันกลับถือว่าเขากำลังถือ’น้ำ’เฉพาะส่วนที่สัมผัสกับผิว
รอนผิดหวัง เพราะถ้าเอาน้ำมาได้ทั้งถัง คราวหน้าก็จุ่มมือในน้ำมัน แล้วพอข้ามมาก็เตรียมถังไว้ที่ฝั่งนี้ให้น้ำมันในมือหล่นลงในถังของโลกนี้
….
แต่เสียดายในสิ่งที่เสียพลาดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
รอนหันไปดูที่เข็มขัดด้านซ้าย ….. เขาเหน็บกล่องน้ำผลไม้ที่ผลิตเมื่อ29วันก่อน ….. ข้ามมาแต่กล่อง ไม่มีน้ำข้างใน
รอนส่ายหน้า …. น้ำในกล่องป่านนี้คงเตรียมหล่นลงพื้นแล้ว กลับไปต้องเช็ดห้องอีก รู้งี้ไปทดสอบในสนามหน้าบ้านดีกว่า
แล้วเขาก็หันไปดูเข็มขัดฝั่งขวา … แล้วก็ต้องตื่นเต้น
กล่องน้ำผลไม้กล่องนี้ยังมีน้ำเต็มอยู่ !!!
กล่องนี้ผลิตเมื่อ 30 วันที่แล้ว แปลว่าลิมิตในการ “รวมกลุ่มสิ่งของ” เพื่อนำข้ามมาคือเวลา 30 วัน ถ้าเอาของมาโยนลงถุงรวมๆไว้แล้วตั้งทิ้งไว้ 30 วัน ก็จะสามารถเอาข้ามมิติได้
ที่ผ่านมารอนรู้แค่เวลาประมาณคร่าวๆว่ามันคือ 1 – 2 เดือน แต่ไม่รู้เวลาที่แน่ชัด ทำให้เวลาจะซื้อของเอาของอะไรมาก็ไม่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ ต้องใช้การกะประมาณเอาตลอด แต่ต่อจากนี้เขารู้วันเวลาที่แน่นอนแล้ว
กลับไปคราวนี้เขาจะซื้อน้ำมันใส่แกลลอนแล้วเอาไปซ่อนไว้ 30 วันแล้วเอาข้ามโลกมา
“พบฝูงหมาป่าหลังเงิน” เสียงตะโกนดังมาจากทหารที่เข้ายามอยู่
รอนทิ้งของที่ไม่ใช้ เช็คถุงน้ำตาล 1 กิโลที่ใส่เป้หลังกลับมาด้วย หยิบมีดดาบที่วางไว้ที่พื้น แล้วไปยังต้นเสียงที่คนกำลังเอะอะ แสงสว่างจากคบไฟส่องให้เห็นฝูงสุนัขสีเทาเงิน 20 กว่าตัววิ่งวนอยู่ ทหารและชาวบ้านที่อยู่เวรยามกำลังตั้งแถวขบวนป้องกันอยู่ ….
รอนวิ่งเข้าไปสมทบ ….
ต่อจากนี้ไป เขาจะตั้งใจให้มากขึ้นและเปลี่ยนเป็นคนใหม่ให้ได้!
** ** **
เวลาที่โลกผ่านไป 3 วัน วันศุกร์ – เสาร์ – อาทิตย์ ในขณะที่อีกโลกหนึ่งผ่านไป3รอบ(1วันครึ่ง) แม้รอนจะสับสนกับวันที่ไม่ตรงกันของสองโลกแบบงงไปหมด แต่เขาก็ยังไม่ตั้งค่าให้รอบวันในการข้ามมิติเท่ากัน
เพราะหากตั้งให้เท่ากัน คือ 24 ชั่วโมง แปลว่าเขาจะต้องรอ 24 ชั่วโมงในการขนของจากโลกของเขามายังโลกแฟนตาซีนี้ ของที่จะขนข้ามมาได้ก็จะลดลงครึ่งนึง
ใน 3 รอบที่ผ่านมาฝูงหมาป่าโจมตีขบวนหลายครั้งซึ่งทำให้เด็กหนุ่มHappyเป็นที่สุด เพราะทุกวันเขาจะขนผลึก Lv 2 ของหมาป่าหลังเงินกลับโลกวันละ 4 ชิ้น ฝากแพทเอาไปให้พ่อ
3 รอบ ก็ได้มา 12000บาท
จากนั้นก็เอาไปซื้อข้าวสารอาหารแห้งเพื่อ Support ชาวบ้านและทหาร … เป็นข้าวสามกระสอบกับอาหารกระป๋อง (3500 บาท)
ที่ต้องซื้อติดกัน3วัน เพราะเขากลัวว่าหากเข้าเมืองแล้วจู่ๆมีอาหารมาเพิ่มโดยไม่ได้ไปซื้อที่ไหน จะเป็นที่สะดุดตาเกินไป ….
และอีก 4000 บาท เขาทำในสิ่งที่เขาพลาดยังไม่ทำมาก่อน คือ เปย์ให้พ่อแม่
คราวก่อนๆที่ได้เงิน รอนเอามาSupport ชาวหมู่บ้านหมด โดยหลงลืมไปว่าจุดประสงค์ที่เขาต้องการอ่านหนังสือมากๆ รวมไปถึงการพยายามปกป้องหมู่บ้านโอลเซ่น ก็เพื่ออ่านหนังสือ
ที่อยากอ่านหนังสือเพื่อจะได้ไม่สอบตกและขึ้นชั้นม.4
ที่อยากขึ้นม.4 เพื่อพ่อจะได้ไม่ต้องไปหาโรงเรียนใหม่และต้องเสียแป๊ะเจี๊ยะ!
และที่ไม่อยากให้พ่อแม่เสียแป๊ะเจ๊ยะ เพราะเขารู้ว่าพ่อแม่มีเงินไม่เยอะ!
ดังนั้นรอนสัญญากับตัวเองว่าเมื่อได้เงินมาจากผลึกที่ว่านี้ เขาจะเปย์ให้พ่อแม่ก่อน … เมื่อเย็นวานตอนไปติวให้แพท เขาเลยแวะธนาคาร และซื้อ RMF เข้าบัญชี RMF ของพ่อไป 4000บาท เพื่อเอาไว้ลดภาษีปลายปี ที่เลือกอันนี้เพราะว่ามันลดหย่อนภาษีได้ และบัญชีนี้ปกติพ่อให้แม่เป็นคนจัดการให้ ดังนั้นพ่อไม่มีทางเอะใจว่าจู่ๆมีเงินเข้ามาแน่นอน
ตอนนี้รอนเลยมีเงินสดเหลือติดตัว 7000 บาท + 4000 ในบัญชี
บัญชีที่กวินและเอกชัยมีเลขบัตรเดบิตและรหัสไป ….
คืนวันอาทิตย์ที่โลก …. รอน ชาวบ้านและขบวนทหารเดินผ่านแสงอาทิตย์ยามบ่ายโมงตรงไปตามถนน ขบวนที่กำลังเดินทางใหญ่กว่าเดิมประมาณเท่าตัว เพราะระหว่างทางเมื่อเช้านี้มีทหารอีก40กว่านาย และชาวบ้านอีก 400 กว่าคนมาสมทบ
แต่เป็นการมาสมทบที่ทำให้ทุกคนหนักใจ เพราะกลุ่มที่มาสมทบคือกองร้อยเซ็นจูรี่และชาวบ้านที่เหลือรอดจากการโจมตีของออร์ค บ่งบอกสถานการณ์ว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ดี
“คุณรอน จะถอดเกราะออกก่อนไหมครับ” พอลถาม
“ไม่ดีกว่าครับ ผมขอใส่ไว้ก่อน จะได้ฝึกไปด้วยในตัว” รอนตอบไปเดินไป ตอนนี้เขาสวมใส่เกราะ
เด็กหนุ่มใส่เกราะบรอนซ์ที่ยึดมาจากออร์คชุดเกราะ โดยใส่เฉพาะส่วนเกราะหมวกและลำตัว … เรื่องของเรื่องคือรอนยกเสื้อแจ็กเก็ตกันมีดให้โรล่าไปแล้ว ทำให้ไม่เหลือเกราะป้องกันอะไรเลย
“ไม่หนักเหรอครับ” พอลถาม
“หนักมากครับ” รอนกัดฟันตอบ ชุดบ้าอะไรฟะ แค่ส่วนหมวกเกราะกับลำตัวก็ปาเข้าไป 20 กิโลกรัมแล้ว ถึงว่าเถอะ เลยไม่ค่อยมีมนุษย์ใส่เจ้าชุดเกราะแบบนี้ออกรบแบบเดินเท้า
แล้วรอนก็นึกไปถึงหนังสือการรบยุโรปที่อ่านไป … ที่สมรภูมิAgincourtที่ฝรั่งเศสรบแพ้อังกฤษ หนึ่งในหลายๆปัจจัยที่ทำให้ฝรั่งเศสแพ้ก็คือการที่ทหารจำนวนมากเป็นทหารม้าใส่เกราะแบบเต็มตัวนี่แหละ พอทั้งม้าทั้งคนไปเจอปลักโคลนเข้าจนตกลงไป ทหารที่ใส่เกราะหนัก 50 กิโลกรัมก็ลุกไม่ขึ้น … พอเพื่อนทหารมาทับหกล้มซ้ำลงไปอีก คนที่อยู่ล่างสุดก็ถูกทับจนตาย
พอวิ่งไปถึงฝั่งอังกฤษ ต้องแบกน้ำหนัก 50 กิโลกรัมลุยโคลนเป็นระยะทางเกือบ 1 กิโลเมตร
แค่ตอนนี้เด็กหนุ่มใส่แบบ Half armor ครึ่งตัวไม่รวมแขน ยังหนักแทบบ้าเลย แต่ว่าก็ต้องทน เพราะไม่มีเกราะอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว
ม้าของกัปตันเรย์วิ่งมาจากด้านหน้าพร้อมทหารม้าอีก 5 นาย
“ป่าด้านหน้า มีออร์คซุ่มอยู่ อย่าเพิ่งให้ขบวนชาวบ้านเข้าไป”
ทั้งขบวนหยุดพักการเดินทาง ป่าข้างหน้าไม่ได้รกทึบมาก แต่ว่าก็เหมาะกับการซุ่มโจมตี หากระหว่างเดินเข้าไปมีการโจมตีที่ชาวบ้านเป็นหลักความสูญเสียต้องมากแน่ๆ
“เราควรส่งคนเข้าไปสองชุด ชุดแรกจำนวนน้อยๆ เพื่อล่อให้ออร์คออกมาจากที่ซ่อน ส่วนชุดหลังจำนวนมากกว่าคอยสมทบเมื่อออร์คออกมาจากที่ซ่อน” รอนเสนอ … ไม่มีใครคัดค้านอะไร
เพราะรอนอาสาเป็นกลุ่มแรก
เด็กหนุ่มและทหารอีก10นายเดินเข้าไปในป่า ต้นไม้เขียวปกคลุมโดยทั่ว พวกเขาเดินมาถึงถนนจุดที่มีรอยเท้าม้าวิ่งกลับไป … จุดนี้คือจุดที่กัปตันเรย์พบออร์คที่ดักซุ่มแล้วชักม้ากลับ
รอนเดินนำห่างจากคนอื่นเล็กน้อย เขาเดินไปช้าๆไม่รีบร้อน
[คุณรับรู้ได้ถึงจิตสังหาร]
[คุณรับรู้ได้ถึงจิตสังหาร]
[คุณรับรู้ได้ถึงจิตสังหาร]
เด็กหนุ่มเห็นเส้นทางสีทองวิ่งเฉียงผ่านจากข้างหลังทะลุไปด้านหน้าขวามือ
“ ระวังธนูซ้ายหลัง”
“ข้าแต่เทพโบร่าโปรดคุ้มครอง < Wind Shield >” เสียงทหารดังขึ้นที่ด้านหลัง กางเวทโล่อากาศรับธนูที่พุ่งออกมาจากหลังต้นไม้
“พวกมันมีอย่างน้อย 3 ตัว จัดการเลย”เด็กหนุ่มตะโกนแล้ววิ่งตรงเข้าไป ลูกศรพุ่งตรงเข้ามาอีกดอก แต่รอนใช้ดาบกันเอาไว้อย่างแม่นยำ ออร์คที่ถือคันธนูโยนคันศรทิ้งแล้วชักดาบออก
“ฉัวะ” ศีรษะหลุดลอยลงไป เลือดพุ่งฉีดใส่เกราะที่รอนใส่อยู่จนแดงไปหมด … เด็กหนุ่มกระโดดถอยไปด้านซ้าย หลบดาบที่ออร์คอีกตัวฟันใส่ แล้วเอามีดดาบของตนปัดปลายหอกที่แทกมาจากด้านหลัง เขาตรงเข้าประชิดออร์คถือหอกชักมีดทำครัวเสียบเข้าไปที่คอของมัน
เคร้ง! เสียงดาบของออร์คกระทบดาบของรอน เขายกดาบขึ้นพาดขวางป้องกัน แรงหวดของออร์คแรงมาก จนดาบเหล็กในมือของมันหักกระเด็นไป
สวบ รอนแทงเข้าไปที่ท้องด้านขวาตรงตำแหน่งเส้นเลือดใหญ่ช่องท้อง แล้วใช้เท้ายันออกอย่างไม่รอช้า … ออร์คร่างใหญ่เดินก้าวมาข้างหน้าได้ 3 ก้าวก็ล้มลง ครางกรนอยู่ในคอ
เด็กหนุ่มหันไปทางกลุ่มทหารที่ตามมาด้วยกัน ทั้งหมดตรงเข้าสู้กับออร์คอีก 5 ตัวที่ล้อมมาจากด้านหลัง แต่ดูท่าทางแล้วไม่ต้องเข้าไปช่วยก็น่าจะชนะได้ไม่ยาก … รอนจึงหันดูรอบๆเพื่อหาออร์คที่อาจจะซ่อนอยู่อีก
และตอนนั้นเอง สายตาของเขาก็ไปสบเข้ากับสายตาอีก 2 คู่
ชายหญิงสองคนในชุดนักรบวิ่งถือดาบและหน้าไม้มาตามถนน ทั้ง 2 คนหยุดห่างจากรอนไม่ถึง 10 เมตร
“ชุดเกราะนั่น … ระวังตัวด้วยมีอา นั่นมันแม่ทัพออร์ค” ชายหนุ่มร้องตะโกน
“ข้าแต่เทพอาโธส โปรดทิ่มแทงศัตรูของข้าด้วยพื้นพสุธา ณ บัดนี้ ”
รอนได้ยินเสียงหญิงสาวร่ายเวท ตามด้วยมองเห็นที่พื้นสว่างเป็นวงสีเหลืองเต็มไปหมด … เขากระโดดไปยืนตรงจุดที่ว่างที่สุด
ครืนๆๆๆ ดินที่พื้นก่อตัวเป็นหอกแหลมพุ่งเสียบทุกสิ่งที่อยู่ตรงนั้น ร่างของออร์คที่รอนเพิ่งจัดการเมื่อครู่ถูกปักเสียบลอยขึ้นไปก่อนจะตกลงมาที่พื้นอันร่วนซุยพร้อมกับดินที่สลายตัว
แต่เด็กหนุ่มยังยืนเฉยๆตรงกลางโดยไม่มีบาดแผล
“ตาย!” หญิงสาวยิงหน้าไม้ … มันไม่ใช่หน้าไม้ธรรมดาหากแต่เป็นหน้าไม้แบบยิงต่อเนื่อง รอนไม่สามารถหลบได้เพราะข้างหลังนั่นเป็นทหารที่มาด้วยกันกับเขา
เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง
รอนใช้มีดดาบในมือยกขึ้นกันลูกศรหน้าไม้ …. โชคดีที่เป็นหน้าไม้ต่อเนื่องที่ความเร็วไม่สูง รอนจึงพอมีเวลาขยับดาบตามเส้นทางลูกศรที่โผล่มาตรงหน้า หญิงสาวโยนหน้าไม้ทิ้งแล้วชักดาบพุ่งเข้ามา
“ ”
เธอพุ่งเข้ามาพร้อมกับเวทย์เพิ่มความเร็วและเพิ่มพลัง โดยปล่อยโล่อากาศ 3 อันไว้ที่ตรงพื้นเพื่อให้ศัตรูที่ใส่เกราะสะดุด
เธอวิ่งเข้าไป มองเท้า2ข้างของอีกฝ่ายที่วิ่งตรงมายังโล่อากาศที่เธอกางไว้ เธอเตรียมแทงศัตรูที่คาดว่าจะต้องล้มลงพื้นในไม่ช้า ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
เท้าตรงหน้าวิ่งมาถึงโล่อากาศ เหยียบลงไปข้างบน ก่อนจะก้าวขึ้นไป … อีกข้างก้าวขึ้นไปที่อีกโล่ แล้วก็อีกโล่ ก่อนจะกระโดดเตะมาที่ไหล่ของเธอ
“อรั๊ย!” หญิงสาวถอยหลังไป ก่อนจะฟันดาบตามขวาง
เคร้ง
แทงตรง
เคร้ง ฉัวะ
ฝักปลอกดาบร่วงจากเอวของเธอตกพื้น เธอกระโดดถอยไปตั้งหลัก
“ไมก์ ไม่ต้องเข้ามายุ่ง ชั้นจัดการมันเอง” เธอร้องบอกชายหนุ่มที่ทำท่าจะเข้ามา … ส่วนศัตรูตรงหน้าก้มหยิบฝักดาบที่พื้นแล้วยกชูขึ้นให้ ส่วนดาบถือห้อยไว้ข้างลำตัว

รอนพยายามร้องห้ามหลายครั้งแล้ว แต่ชุดเกราะของออร์คที่เขาใส่อยู่มันเป็นแบบเปิดหน้าไม่ได้ เสียงทั้งหมดเลยก้องอยู่ข้างใน เขาเลยใช้วิธียกฝักดาบยื่นให้แล้วไม่หันดาบในมือใส่อีกฝ่าย
“หนอย …. ดูถูกกันเรอะ ตาย!” นักรบสาวพุ่งเข้าไป ฟันดาบทั้งล่างบน ชักมีดสั้นปาใส่ รวมถึงร่ายเวทไฟอีก 2 ครั้ง แต่ไม่สามารถทำอันตรายศัตรูตรงหน้าได้เลย เธอหยุดตั้งท่าอีกครั้ง แล้วตะโกนขึ้น
“ท่าไม้ตาย แทงความเร็วสูง”
เอ๊ะ … กำลังจะแทงเหรอ … หรือสับขาหลอก …. แต่สายตาของรอนก็เห็นเส้นทางดาบก่อตัวขึ้นตรงหน้าของเขา เขาเตรียมยกฝักดาบขึ้น …
“ ” นักรบหญิงพุ่งแทงดาบไปข้างหน้าเป้าหมายที่แขนข้างที่กำลังยกฝักดาบ
สรวบ!
“อ๊าห์” หญิงสาวอุทาน เพราะตรงหน้าที่เธอเห็นคือดาบที่เธอทิ่มแทงด้วยความเร็วขณะนี้สอดใส่กลับเข้าไปในฝักดาบที่ด้านนั้นยกขึ้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะบิดหมุนจนดาบของเธอหลุดมือ
รอนใช้จังหวะนี้เข้าประชิดหญิงสาวคนนั้น ใช้สันมือกระแทกที่ยอดอกแล้วเกี่ยวขาให้ล้มลง แล้วขึ้นนั่งคร่อมกดแขนทั้งสองข้างไม่ให้ขยับ
“มีอา!” เสียงตะโกนมาจากชายคนที่อยู่ในชุดเกราะ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่กล้าเข้ามา …..
มีอาเป็นนักดาบอันดับหนึ่งในเมืองกาล่า มีฝีมือการต่อสู้สูงกว่าเขาหลายเท่า …. และเจ้านั่นจัดการเธอได้ด้วยฝีมือที่ห่างชั้นกันอย่างชัดเจน
ไม่มีทางที่เขาจะชนะมันได้เลย
แต่….
“ย้ากกกกกกกกก”
ชายหนุ่มวิ่งเข้าไป
รอนรีบลุกขึ้นคว้าดาบที่พื้น … รอเส้นบอกทิศทางที่ศัตรูจะเข้ามา
…. ไมก์วิ่งเข้ามา
เอ๊ะ
วิ่งเข้ามา
เฮ้ยๆๆ เส้นอยู่ไหน
แคร้ง
รอนถอยหลังเพราะแรงปะทะจากดาบที่เข้ากับเกราะอก
เคร้ง เคร้ง
คราวนี้หัว
เคร้ง เคร้ง
ทั้งสองประดาบกัน รอนถอยกรูดไปด้านหลัง
“มีอา รีบลุก ผมไม่รู้จะต้านมันไหวไหม”
เคร้งๆๆๆ …. ‘สราส ตรูนี่แหละจะต้านไม่ไหว’ รอนคิด
“ให้ทหารพวกนั้นมาช่วยเร็วพวกเราเร็ว” ไมก์ตะโกน
เคร้งๆๆ ‘พี่ๆทหารมาช่วยผมด้วย’ รอนตะโกนในใจ
ทหารที่เพิ่งจัดการออร์คหมด ต่างชี้นิ้วไปทางรอนที่ล้มศัตรูได้คนนึงแต่กำลังเพลี่ยงพล้ำคู่ต่อสู้คนที่สอง จากนั้นทุกคนก็วิ่งกรูกันเข้าไปอย่างโกรธแค้น … ดาบในมือรอนหลุดกระเด็นไปแล้ว เด็กหนุ่มล้มกลิ้งอยู่ที่พื้น … ไมก์วิ่งตรงไปเพื่อจะปักดาบ
“เจ้าออร์ค … ตาย!”
“ตายยยยย!” “ตายยย” “ย่าห์” ตายย” “ตาย” “แกตายยยย”
“?!?!”
ผัวะ ! ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ
ร่างนักรบหนุ่มกระเด็นล้มไปด้านหลังจากโล่กลมที่กระแทกหน้า ตามด้วยเท้าของเหล่าทหารที่ตรงเข้าไปกระทืบ
“หยุดก่อนครับ หยุดก่อน” เสียงรอนดังขึ้น “เค้าเข้าใจผิดว่าผมเป็นออร์ค”
ทหารทั้ง 10 นายหยุดเท้าไว้ มองชายที่นอนหมอบที่พื้น หน้าตาบวมช้ำทำให้มองไม่ชัดว่าคือใคร
“หยุดก่อน หยุดก่อน” เสียงผู้หญิงร้องดังมา ทหารทุกคนเงยหน้าแล้วอุทานขึ้นพร้อมกัน
“ท่านมีอา!!!”
“งั้นนี่ก็…”
“นายกองไมก์”
“ชิบหายล่ะ”
“เดี๋ยวนะ ทำไมท่านรอนสู้กับท่านมีอาได้ แต่สู้ท่านไมก์ไม่ได้ …. ท่านมีอาเก่งกว่าท่านไมก์ตั้งเยอะไม่ใช่เหรอ”
ทุกคนหันไปมองรอนที่ถอดหมวกเกราะยืนอยู่ด้วยใบหน้าแดงก่ำ
รอนรู้คำตอบแล้วว่าทำไมสกิลของเขาถึงทำนายเส้นทางดาบและการต่อสู้จากมาเรียและมีอาได้ … แต่ไม่สามารถทำนายเส้นทางดาบของไมก์ได้
“สเตตัส สกิล” รอนเรียกขึ้นเบาๆ ตัวหนังสือสีแดงขึ้นตรงมุมตา
[สตรีศึกษา Lv 50 99/100]
และเขานึกออกที่มาของเลเวลระดับนี้แค่คำตอบเดียว …..
และมันอยู่ในFolderลับในคอมพิวเตอร์ที่บ้าน

Midterm Fantasy

Midterm Fantasy

เมื่อเด็กหนุ่มติดเกมส์ จำเป็นต้องสอบให้ได้คะแนนดีๆเพื่อให้ขึ้นชั้นม.4ให้ได้ หนำซ้ำในคืนก่อนสอบ Midterm เขายังดันเผลอเล่นเกมจนไม่ได้อ่านหนังสือ … มารู้ตัวอีกทีเขาก็หลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งซะแล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset