My Disciples Are All Villains – ตอนที่ 296

เมื่อดวงอาทิตย์ทอแสงลงบนโลงศพสีดำ มันก็หยุดเคลื่อนไหวราวกับกำลังลังเลอะไรบางอย่าง บางทีมันอาจจะอยู่ในความมืดนานจนลืมความรู้สึกภายใต้แสงอาทิตย์ไปแล้วก็เป็นได้

 

ชายผู้อยู่ในโลงศพได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

 

ที่กระท่อมอันแสนเงียบสงบ สีวู่หยากำลังนั่งพักผ่อนทั้งกายและใจอยู่ ดวงตาของเขาปิดไม่ขยับไปไหน

 

ยี่ฉีชิงได้อ่านจดหมายที่อยู่ในมือจนจบแล้ว เมื่ออ่านจบตัวเขาก็ได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านเจ้าสำนัก หนูขโมยทั้งห้าตายแล้ว ศพของพวกเขาถูกทิ้งไว้ที่เชิงเขาของภูเขาทอง”

 

สีวู่หยาในตอนนี้ไม่ได้ดูตื่นตกใจอะไร “ใครเป็นคนฆ่าเจ้าพวกนั้นกัน? “

 

“สตรีสีขาว…มีเพียงแค่ชื่อนี้เท่านั้น พวกเราไม่มีข้อมูลอื่นเกี่ยวกับนางเลย”

 

ในตอนนั้นเองสีวู่หยาก็ได้ลืมตาตื่นขึ้น “น้องหกเองสินะ…”

 

เมื่อยี่ฉีชิงได้ยินแบบนั้น ตัวเขาก็ได้แต่ตกตะลึงก่อนที่จะพูดออกมา “นี่คือผลงานของศิษย์คนที่หกของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอครับ? “

 

สีวู่หยายิ้มก่อนที่จะตอบกลับ “ไปหาที่อยู่นางมาซะ ข้าอยากที่จะพบนาง”

 

“ครับ”

 

ยี่ฉีชิงพูดต่อ “ข้ามีเรื่องอื่นที่จะรายงานด้วย”

 

“เรื่องอะไรกัน? “

 

“หลังจากที่เกิดเหตุความวุ่นวายที่เมืองทางตอนเหนือ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ส่งกองกำลังเพื่อออกไปปราบปราม แม่ทัพชางแห่งราชองครักษ์ได้ตายจากไปแล้ว เจ้าสำนักยู่รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากเมื่อได้รู้แบบนี้ หนึ่งเดือนที่ผ่านมาตัวเขาได้พาคนกว่า 10,000 เข้าโจมตีสำนักเที่ยงธรรม สำนักเที่ยงธรรมได้ล่มสลายไปแล้ว เจ้าสำนักอย่างจางหยวนฉานเองหายสาบสูญไป ในตอนนี้เขตแดนของสำนักเที่ยงธรรมได้ถูกสำนักอเวย์จีเข้ายึดครองไปหมดแล้ว” ยี่ฉีชิงได้รายงานออกมา

 

เมื่อได้ยินแบบนั้นสีวู่หยาก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์พี่ใหญ่ใจร้อนเกินไป…ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้นเลย ถ้าหากทำตามแผนของข้าจางหยวนฉานก็คงจะหนีไปไม่ได้แน่”

 

“ท่านเจ้าสำนักยู่ไม่ได้สนว่าจางหยวนฉานจะอยู่หรือจะตาย” ยี่ฉีชิงได้พูดเสริม

 

“จะถอนพวกวัชพืชมันก็ต้องถอนรากถอนโคน…ศิษย์พี่ใหญ่ประมาทเกินไปแล้ว”

 

“ท่านเจ้าสำนักฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” ยี่ฉีชิงที่พูดจบไม่ได้ออกไปในทันที

 

สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นเลยพูดออกมา “แล้วมีอะไรอีกไหม? “

 

“ท่านเจ้าสำนัก การช่วยเหลือเจ้าสำนักยู่ในครั้งนี้ศิษย์พี่รองของท่านจะไม่รู้สึกขุ่นเคืองอย่างงั้นหรอ…”

 

“ข้าจะอธิบายให้กับศิษย์พี่รองฟังเอง ไม่ต้องกังวลไป”

 

ยี่ฉีชิงที่ได้ฟังแบบนั้นพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “สำนักอเวย์จีเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน ข้ากังวลว่าความสำเร็จของเจ้าสำนักยู่จะทำให้ท่านต้องพบกับภัยอันตราย”

 

นับตั้งแต่ที่เริ่มต้นทำตามแผน สีวู่หยาก็รู้ดีว่าตัวเขาจะต้องพบกับอะไร แม้ว่าจะเป็นฝ่ายคอยช่วยเหลือ แต่ถึงแบบนั้นสีวู่หยาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมทำอะไรให้ฟรีๆ ตัวเขากับสำนักอเวย์จีมีพันธะต่อกัน ทั้งสองฝ่ายร่วมแรงร่วมใจกัน เพราะแบบนั้นสำนักอเวย์จีถึงได้เติบโตจนเหมือนกับทุกวันนี้ได้

 

อันที่จริงทั้งยู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงต่างก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสาวกร่วมสำนักมักจะเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกว่านี้ ปัญหาอยู่ที่ตัวของยู่เฉิงไห่ เขาคนนี้ทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงอยากที่จะปกครองโลก ไม่มีใครที่จะครองโลกได้ถ้าหากไม่มีความคิดเฉกเช่นกษัตริย์

 

สีวู่หยาได้หันไปมองยี่ฉีชิงก่อนที่จะพูดออกมา “ฉีชิง เจ้าคิดไหมว่าทำไมถึงจะต้องมีผู้ฝึกยุทธอยู่? ” ยี่ฉีชิงที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับผงะไปเล็กน้อย ตัวเขาไม่คาดคิดว่าจะได้ฟังคำถามจากผู้เป็นเจ้าสำนักอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ คำถามนี้ไม่ใช่คำถามที่ดูเรียบง่ายเลย ถ้าหากตัวเขาตอบไม่ตรงคำถาม มันก็จะเป็นการตอบที่ดูไม่จริงใจไป และถ้าหากตัวเขาตอบเรียบง่ายไป ตัวเขาก็จะดูไม่ดีเช่นกัน

 

“พูดสิ่งที่เจ้าคิดออกมาซะเถอะ” สีวู่หยาพูดซ้ำ

 

“ท่านเจ้าสำนัก ข้าคิดว่าการที่คนคนหนึ่งฝึกฝนตัวเองก็เพื่อที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งที่ตัวเองมีไป ในโลกใบนี้การจะแก้ปัญหาด้วยกำลังก็ยังคงเป็นสิ่งที่เรียบง่ายและได้ผลเสมอ” ยี่ฉีชิงตอบคำถามไป

 

สีวู่หยาพยักหน้าก่อนที่จะค่อยๆ พูดออกมา “ไม่ผิดหรอกที่เจ้าจะเข้าใจแบบนั้น ถ้าหากมีโอกาสเมื่อไหร่…ข้าจะบอกอะไรอย่างอื่นให้เจ้าเอง”

 

“ได้ครับท่านเจ้าสำนัก”

 

ในวันรุ่งขึ้นที่ภูเขาทอง

 

หลังจากที่ได้รับคำสั่งฮั๊ววู่เด๋ามา ผู้ฝึกยุทธหญิงในตอนนี้ก็ทำการลาดตระเวนทั่วเชิงเขา

 

ซู่วว! ซู่วว! ซู่วว!

 

ผู้ฝึกยุทธหญิงได้หันไปสนใจเสียงของม่านพลังที่ดังออกมา เมื่อเห็นม่านพลังสีฟ้ากำลังแปรปรวน ทุกๆ คนก็ต่างรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น ฝานซงและโจวจี้เฟิงกำลังยืนอยู่บนต้นไม้ในจุดที่แตกต่างกัน ทั้งสองคนได้มองไปยังที่ไกลแสนไกล “ท่านปรมาจารย์กำลังเก็บตัวฝึกฝนตัวเอง เขาวางแผนที่จะดูดซับพลังจากม่านพลังอีกแล้วสินะ? “

 

โจวจี้เฟิงไม่กล้าที่จะพูดออกมาดังๆ “ข้าว่ามันยากที่จะพูด…”

 

โจวจี้เฟิงถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าก็ได้แต่หวังว่าม่านพลังจะคงอยู่ต่อไปได้อีกหลายวัน”

 

ฝานซงมองไปที่โจวจี้เฟิงก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าเสียใจที่ม่านพลังหายไปอย่างงั้นหรอ? “

 

“ข้าไม่เคยคิดแบบนั้น” โจวจี้เฟิงตอบกลับ

 

ฝานซงมองไปยังผู้ฝึกยุทธหญิงที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนที่จะหันกลับมามองโจวจี้เฟิงอีกครั้ง “เจ้าได้ตายแน่ถ้าหากพูดแบบนั้น”

 

“พี่ฝาน ท่านกำลังพยายามจะพูดอะไรกับข้ากันแน่…” โจวจี้เฟิงกลอกตามองบน

 

ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งได้ตะโกนออกมา “นั่นมันอะไรกัน? “

 

ชิ้ง!

 

ผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งหมดได้ชักดาบออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ดูเหมือนว่าพวกนางจะได้พบกับศัตรูจากระยะไกลแล้ว

 

ฝานซงและโจวจี้เฟิงต่างก็จ้องมองไปยังทิศทางเดียวกัน ในตอนนั้นเองมีกลุ่มก้อนสีดำของอะไรบางอย่างกำลังบินตรงมาจากท้องฟ้าอันห่างไกล

 

เมื่อมันเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น ทั้งสองคนก็เริ่มมองเห็นรูปร่างของมัน รูปร่างของมันเป็นสี่เหลี่ยม เมื่อมองอย่างละเอียดทั้งสองคนก็เห็นว่ามันเป็นโลงศพ

 

โจวจี้เฟิงเบิกตากว้าง “พี่ฝาน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นอะไรแบบนี้ ท่านเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนไหม? “

 

ฝานซงเองก็ดูสับสนเช่นกัน ตัวเขาได้กลืนน้ำลายก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่…ข้าเองก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน”

 

“มันขยับได้ยังไงกัน? ชายคนนั้นทำรูอยู่ใต้โลงศพอย่างงั้นหรอ? ” โจวจี้เฟิงค่อยๆ สงบลง ตัวเขาได้จ้องมองโลงศพใบนั้นอย่างสงสัย

 

“ข้าเองก็ไม่รู้”

 

โจวจี้เฟิงที่เห็นแบบนั้นก็รีบปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้ฝึกยุทธหญิง “พวกเจ้ารีบไปแจ้งผู้อาวุโสเร็วเข้า”

 

“ค่ะ”

 

ฝานซงเองก็กระโดดลงมากเช่นกัน ตัวเขายืนอยู่ไม่ห่างจากโจวจี้เฟิง

 

โลงศพใบนั้นได้ลดระดับความสูงลงก่อนที่จะบินตรงมาหาพวกเขา ดูเหมือนว่าที่โลงศพจะถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังพิเศษบางอย่าง มันเป็นพลังที่มีแสงสีดำ พลังแสงสีดำนี้ไม่ได้ทำให้โลงศพดูแข็งแกร่งเลย เมื่อมองมันรวมเข้ากับโลงศพมันยิ่งทำให้รู้สึกน่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม

 

พรึ๊บ!

 

โลงศพที่เข้ามาใกล้ได้เร่งความเร็วมากขึ้นก่อนที่จะหยุดลงตรงหน้าของพวกเขาทุกคน

 

ทุกๆ คนต่างก็ไม่กล้าที่จะส่งเสียงหายใจออกมาดังๆ เมื่อจ้องมองไปที่โลงศพใบนั้น ดวงตาของทุกคนก็เริ่มเบิกกว้าง ไม่มีใครเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต เป็นธรรมดาที่ทุกๆ คนจะรู้สึกกังวลและหวาดกลัวกับสิ่งที่ไม่รู้จัก สำหรับมนุษย์ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่รู้สึกชื่นชอบโลงศพเท่าไหร่นัก สำหรับมนุษย์โลงศพก็คงจะเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์แห่งความสูญเสีย

 

บรรยากาศในตอนนี้ดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก

 

หลังจากนั้นได้ไม่นานก็มีเสียงของใครบางคนดังออกมาจากโลงศพ “ภูเขาทอง”

 

โลงศพใบนั้นได้เปลี่ยนมุมของตัวเองเล็กน้อย

 

โจวจี้เฟิงพยายามระงับความประหม่าเอาไว้ก่อนที่จะคารวะและพูดออกมาเป็นคนแรก “ทะ…ท่านคือผู้อาวูโสหยวนสินะ? “

 

“เจ้าดูประหม่าดีนะ” เสียงอันนุ่มลึกได้ดังออกมาจากโลงศพ

 

“…” โจวจี้เฟิงได้แต่ใช้ความคิดในใจ ‘จะไม่ให้ประหม่าได้ยังไงกัน นี่มันโลงศพลอยได้’

 

หยวนดู่ได้พูดต่อ “นี่ก็ผ่านมากว่าหลายปีแล้วที่ข้าไม่ได้มาทักทายพี่จีด้วยตัวเองแบบนี้ ช่างน่าละอาย น่าละอายจริงๆ! “

 

โจวจี้เฟิงและฝานซงที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก

 

“ช่วยนำทางข้าไปที…” หยวนดู่พูดต่อ

 

“ผู้อาวุโสหยวน…ท่านปรมาจารย์รู้สึกไม่สบายตัว ถ้าหากไม่ว่าอะไรท่านช่วยมาวันอื่นจะได้ไหม? “

 

“หืม? ” เสียงจากโลงศพฟังดูเปลี่ยนโทนไป

 

พลังลมปราณที่อยู่แถวโลงศพดูผันผวนและทรงพลังยิ่งกว่าเดิม ในตอนนั้นเองเสียงหัวเราะที่ฟังดูไม่ชัดเท่าไหร่ได้ดังมาจากในนั้น

 

เสียงหัวเราะได้ทำให้ทุกคนที่ได้ยินสั่นกลัวไปถึงกระดูก

 

My Disciples Are All Villains

My Disciples Are All Villains

My Disciples Are All Villains
Score 4.0
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง My Disciples Are All Villains ลู่โจวตื่นขึ้นมาเพื่อเป็นผู้เฒ่าผู้ชั่วร้ายที่ทรงพลังและเก่าแก่ที่สุดในโลก และพบว่าเขามีสาวกเก้าคนที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ศิษย์คนโตของเขาเป็นผู้นำนิกาย Nether ที่มีลูกน้องนับพัน และศิษย์คนที่สองของเขาคือ Sword Devil มักจะเข่นฆ่าผู้อื่นด้วยความขัดแย้งเพียงเล็กน้อย…หากไม่มีฐานการฝึกฝนของเขา เขาจะจัดการกับสาวกที่ชั่วร้ายเหล่านี้ได้อย่างไร ศิษย์คนโตของเขา Yu Zhenghai เล่าว่า “ชีวิตข้าไม่เคยมีคู่แข่ง และไม่มีใครนอกจากอาจารย์ที่สามารถทำให้ข้าก้มหัวได้” ศิษย์คนที่เจ็ดของเขา Si Wuya กล่าวว่า “เราจะกินหรือนอนอย่างสงบสุขไม่ได้ตราบเท่าที่ อาจารย์ยังไม่ตาย!”…หยวนเอ๋อศิษย์ที่เก้าของเขากล่าวว่า “ฉันจะจำสิ่งที่อาจารย์พูดและเป็นคนดี”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset