My Disciples Are All Villains – ตอนที่ 88

หยวนเอ๋อหัวเราะคิกคักก่อนที่จะเดินไปใกล้ๆ ลู่โจว “ศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่ควรจะขอบคุณท่านอาจารย์ที่มอบหอกราชันให้ เพราะอาวุธชิ้นนี้ทำให้พลังร่างอวตารของศิษย์พี่ผลิใบได้เลยนะ! “

 

เมื่อหยวนเอ๋อพูดถึงหอกราชัน ในตอนนั้นเองคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องก็ต่างจ้องมองมันด้วยความอิจฉา ดูเหมือนว่าสิ่งที่แสดงความสามารถได้ดีที่สุดในการต่อสู้นี้ก็คือหอกราชันนั่นเอง

 

อัศวินดำทั้งสองยู่จงและด้วนฉางฮงได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างสง่างาม หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนถูกสัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์อย่างด้วนมู่เฉิงโจมตีไป การโจมตีของเขามันทรงพลังมาก การโจมตีที่มาจากอาวุธระดับสรวงสวรรค์อย่างหอกราชัน!

 

ด้วนมู่เฉิงพยักหน้าก่อนที่จะพูดตอบกลับหยวนเอ๋อ “เจ้าพูดถูกแล้วล่ะศิษย์น้องหญิง เพราะเคล็ดวิชาสุดยอดยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านอาจารย์เป็นคนสอนให้กับข้ารวมกับความแข็งแกร่งของหอกราชัน ถ้าหากข้าไม่มีทั้งสองอย่างข้าก็คงจะไม่สามารถเอาชนะพวกเขาทั้งสองคนแบบนี้ได้”

 

ยู่จงและด้วนฉานฮงพยายามเหลือบมองขึ้นมาอย่างยากลำบาก ในตอนนี้ผู้ที่เป็นหัวหน้าของพวกเขาอย่างฝานซุยเหวินได้ถูกจับตัวได้เป็นที่เรียบร้อย เพราะอะไรกันชายผู้ซึ่งมีพลังสุดยอดอย่างพลังอวตารทั้งแปดแห่งร้อยวิถีถึงไม่สามารถโต้ตอบอะไรกลับไปได้เลย? ไม่เหมือนกับพวกเขาทั้งสองคน พวกเขาทั้งสองคนที่มีพลังอวตารทั้งสองและทั้งสามแห่งร้อยวิถีสามารถต่อสู้กับศัตรูได้อย่างดุเดือดจนได้พ่ายแพ้ไปในที่สุด ด้วยวรยุทธที่ฝานซุยเหวินมี เขาควรที่จะต่อสู้กับจีเทียนเด๋าอย่างสูสีเป็นเวลากว่าสามวันสามคืนสิถึงรู้ผล พวกเขาทั้งสองไม่สามารถรู้ได้เลย พวกเขาไม่อาจรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องโถงใหญ่ของศาลาปีศาจลอยฟ้ากันแน่ อัศวินดำทั้งสองคนใจจดใจจ่อกับการต่อสู้กับด้วนมู่เฉิงอยู่นั่นเอง

 

ในตอนนั้นลู่โจวยังยืนอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ราวกับว่าวันนี้เป็นวันธรรมดาทั่วไปอีกวันหนึ่ง ตัวเขามองไปที่ยู่จงและด้วนฉางฮงก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเย็นชน “ผนึกพลังยุทธของเจ้าพวกนั้นซะ”

 

“ศิษย์เข้าใจแล้ว” ด้วนมู่เฉิงรีบรับคำสั่งมา

 

ในตอนนั้นเองฝางซงก็ได้เดินไปข้างหน้าก่อนที่จะอาสาตัวเองออกมาแทน “ให้ข้าได้จัดการเองเถอะ ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้…ตัวข้าได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพลังลมปราณ จุดพลังลมปราณตันเถียนและเส้นพลังลมปราณทั้งแปด วิธีการที่จะปิดผนึกพลังยุทธจากเส้นพลังลมแปดได้นั้นเป็นอะไรที่ไม่ง่ายอย่างที่คิด วิธีทั่วไปไม่อาจใช้กับผู้ที่มีไหวพริบอันเฉียบคมได้ เพียงแค่การเดินลมปราณจากจุดตันเถียนเพียงเท่านั้นพวกเขาก็จะสามารถคล้ายผนึกพลังยุทธได้แล้ว”

 

ลู่โจวที่ฟังแบบนั้นก็ได้พยักหน้าให้ “ก็จริงของเจ้า สำนักบริสุทธิ์มักจะศึกษาเทคนิคการผนึกพลังลมปราณเอาไว้ นี่ถือเป็นจุดแข็งเฉพาะตัวของคนพวกนั้น”

 

ฝางซงรู้สึกภาคภูมิใจมากขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่ลู่โจวพูดชมเชย

 

ยู่จงที่เห็นฝางซงพูดแบบนั้นก็ได้ชิงพูดขึ้น “สำนักบริสุทธิ์ สำนักที่ยึดถือในเส้นทางแห่งคุณธรรมแบบนั้นไหนเลยมีคนทรยศอย่างเจ้าได้? “

 

คำพูดเหล่านั้นได้จี้ใจดำของฝานซง “หุบปากของเจ้าซะเจ้าพวกขี้แพ้! ” ตัวเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะใช้กระบวนท่าผนึกพลังลมปราณใส่ไปที่ศัตรู

 

ด้วนมู่ดเฉิงยืนอยู่ใกล้ๆ เขายังคงชี้หอกไปที่ศัตรูทั้งสองที่ได้พ่ายแพ้ให้กับเขาไป ด้วนมู่เฉิงกำลังจับตามองพวกเขาทั้งสองคนอย่างใกล้ชิดอยู่ ถ้าหากพวกเขาเคลื่อนไหวอีกครั้ง แน่นอนว่าด้วนมู่เฉิงจะไม่ลังเลเลยที่จะสังหารพวกเขาทั้งสองไป

 

ฝางซงได้ใช้เวลาไม่นานมากนักก็สามารถผนึกพลังวรยุทธของยู่จงและด้วนฉานจงได้ ฝานซงผู้ที่มีพลังยุทธระดับศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นได้ใช้พลังลมปราณเกือบทั้งหมดในการผนึกพลังวรยุทธของผู้ฝึกยุทธระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนี้ตัวเขาแทบที่จะไม่มีพลังลมปราณเหลืออยู่ในตัว ใบหน้าของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ หลังจากที่ทำหน้าที่ของตนเสร็จเขาก็ได้หันมาคารวะลู่โจวก่อนที่จะเรื่มต้นพูดขึ้นมา “ท่านปรมาจารย์ ข้าได้ผนึกเส้นพลังลมปราณทั้งแปดของพวกเขาทั้งสองคนแล้ว ไม่มีใครสามารถปลดผนึกนี้ได้นอกจากตัวข้า”

 

ลู่โจวได้โบกมือเพื่อเรียกฝานซงและโจวจี้เฟิงให้เดินมาหาเขาจากจุดเดิมที่ลู่โจวยืนอยู่

 

หลังจากที่ฝานซงเดินมาใกล้ๆ ลู่โจวก็ได้พูดขึ้น “จับตาดูเจ้าพวกนี้ให้ดีซะ” แม้ว่าจะปิดผนึกพลังยุทธได้แล้วแต่ลู่โจวก็อยากที่จะให้ใครสักคนจับตาดูพวกเขาเอาไว้ตลอดเวลาอยู่ดี ฝางซงในตอนนี้ดูมั่นใจเป็นอย่างมาก แต่การที่มั่นใจอะไรเกินไปมันอาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นก็เป็นได้

 

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” ฝางซงและโจวจี้เฟิงก้าวไปข้างหน้า ชาวยุทธที่ไม่มีพลังยุทธก็ไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ที่อยู่ในกำมือ

 

ลู่โจวได้กลับมานั่งบนบัลลังก์ของเขาเหมือนเดิม เขานั่งลงอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง “ยี่เทียนซิน”

 

ยี่เทียนซินที่ได้ยินเสียงเรียกสั่นไปทั้งตัว ในตอนนี้เธออยู่ในสภาพที่อ่อนแอมาก และเพราะการที่ไม่มีพลังวรยุทธเองทำให้เธอบาดเจ็บได้อย่างง่ายดาย เมื่อลู่โจวเรียกชื่อของเธอออกมา ยี่เทียนซินก็ได้ลุกจากเก้าอี้ก่อนที่จะคุกเข่าลง “ทะ…ท่านอาจารย์…”

 

ลู่โจวยังคงมีสีหน้าที่ไร้อารมณ์เช่นเคยในระหว่างที่จ้องมองยี่เทียนซิน หลังจากที่มองลูกศิษย์ทรยศคนนี้เสร็จเขาก็ได้หันไปมองฝานซุยเหวินแทน

 

“เล่งลั้ว ข้าน่ะได้ให้โอกาสครั้งใหญ่กับเจ้าไป แล้วทำไมเจ้าถึงยังไม่ตอบรับความหวังดีของข้า เจ้าคงตำหนิข้าว่าข้าโหดร้ายกับเจ้าไม่ได้หรอกนะ! “

 

ฝานซุยเหวินพยายามที่ฝืนตัวเองจนลุกขึ้นมา แต่ถึงแบบนั้นกรงผนึกก็ได้บีบรัดตัวเขาเอาไว้แน่นเกินกว่าที่จะทำอะไรได้ “ท่านผู้อาวุโส ท่านไม่ต้องพูดให้เปลืองน้ำลายหรอก ตอนนี้น่ะข้าได้แพ้แล้ว ข้าน่ะสมควรตาย”

 

ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะพูดต่อไป “เจ้าที่มีพลังร่างอวตารทั้งแปดแห่งร้อยวิถียอมที่จะเก็บงำความลับของทางพระราชวังเอาไว้อย่างงั้นหรอ มันไม่เสียเปล่าหรอกหรอที่เจ้าจะต้องมาตายเพราะเรื่องนี้? ” ในตอนนี้ลู่โจวไม่ได้คาดหวังว่าจะพบตัวจริงของผู้บงการได้อีกต่อไป ผู้ที่ยอมฝึกฝนวรยุทธมากทั้งชีวิตจนมีพลังร่างอวตารทั้งแปดแห่งร้อยวิถีได้ถึงกับเอาชีวิตของตัวเองเข้าแลกแบบนี้ ดูเหมือนว่าลู่โจวคงจะต้องหาทางอื่นที่จะสืบสวนเรื่องนี้ต่อไป

 

ฝานซุยเหวินได้พูดตอบกลับไป “ตอนนี้เจ้าพูดไปก็ไม่มีความหมายอะไรกับข้าหรอก”

 

ลู่โจวส่ายหัวของเขา ท่าทีของเขายังเย็นชาเช่นเคย

 

ในตอนนั้นเองมีการแจ้งเตือนของระบบปรากฏขึ้น

 

“ติ้ง! หมิงซี่หยินจัดการกับผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ คุณได้รับแต้มบุญ 1,000 แต้ม”

 

ลู่โจวไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเมื่อได้เห็นการแจ้งเตือนนั้น ตัวเขาส่ายหัวก่อนจะพูดกับฝานซุยเหวินออกมา “อัศวินดำเฉิงจงเหอ คิดว่าเจ้านั่นน่ะยังมีชีวิตอยู่ไหม? “

[***หมายเหตุนักแปล: ขอเปลี่ยนชื่ออัศวินดำคนที่หนึ่งเฉิงจงลีเป็น เฉิงจงเหอ]

 

ฝานซุยเหวินคิดว่าลู่โจวพยายามที่จะทำให้จิตใจของเขาไขว้เขวด้วยจิตวิทยา และเมื่อได้ยินแบบนั้นเขาก็ได้หันไปพูดกับลู่โจวอย่างเย้ยหยัน “เฉิงจงเหอน่ะมีเป็นที่มีทักษะสูง แม้ว่าหมิงซี่หยินจะเก่งกาจแต่เขาก็ไม่ควรที่จะออกจากห้องโถงใหญ่นี้เลย…สำหรับเฉิงจงเหอ เขาน่ะยิ่งได้ต่อสู้ในที่กว้างเท่าไหร่ตัวเขาก็จะได้เปรียบมากเท่านั้น เจ้าน่ะได้สังหารลี่ฉิงไปแล้ว ตอนนี้เฉิงจงเหอก็คงจะจัดการกับหมิงซี่หยินล้างแค้นยไปละแหละ ข้าเดาได้เลยว่าตอนนี้ผลการต่อสู้ต้องออกมาแล้ว”

 

หยวนเอ๋อที่ไม่สามารถทนได้ได้พูดสาปแช่งออกมาในทันที “หุบปากเน่าๆ ของเจ้าซะ! “

 

“ปากเน่าๆ อย่างงั้นหรอ? ” ฝานซุยเหวินได้หัวเราะออกมาก่อนที่จะใช้น้ำเสียงอันแหบแห้งพูดต่อไป “สาวน้อย ถึงแม้ว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะทรงพลังมากแค่ไหนแต่เพราะแบบนั้นมันถึงทำให้เจ้ากลายเป็นกบในกะลาไปแบบนี้ ในตอนที่ข้าได้ออกเดินทางไกลหลายปีก่อน แม้แต่อาจารย์ของเจ้าเองก็ไม่สามารถหยุดอะไรข้าได้? หืม? ทำไมเจ้าถึงได้จ้องข้าแบบนั้นกัน? “

 

หยวนเอ๋อหันไปอย่างหงุดหงิดก่อนที่จะมองออกไปที่ด้านนอกห้องโถงใหญ่

 

แม้ว่าฝานซุยเหวินจะถูกผนึกกรงกักขังพันธนาการเอาไว้ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้ทรงพลังเกินกว่าที่จะทำให้ตัวเขาหันไปหาด้วนมู่เฉิงที่อยู่ด้านหลังได้ ยี่เทียนซินรวมไปถึงผู้ฝึกยุทธจากวังจันทราต่างก็จ้องมองออกไปที่ด้านนอกของห้องโถงใหญ่

 

หมิงซี่หยินได้ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเดินอีกครั้ง ในตอนนั้นเองมีแสงสว่างส่องออกมาจากตัวเขาในระหว่างที่เดินมาอย่างช้าๆ หมิงซี่หยินในตอนนี้อยู่ในสภาพที่สะบักสะบอมมาก เสื้อคลุมของเขาเปลี่ยนจนกลายเป็นสีแดง มีดสั้นที่อยู่ในมือขวาของเขายังคงเปื้อนเลือดอยู่

 

เมื่อเห็นแบบนั้นฝานซุยเหวินก็ได้ขมวดคิ้วขึ้น หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ ฝานซุยเหวินต้องการที่จะขยับตัวแต่ถึงแบบนั้นหอกราชันก็ได้มาต่ออยู่ตรงหน้าของเขาซะก่อน

 

“ถ้าหากเจ้าอยากที่จะต้องการตายมาก ข้าสามารถใช้หอกเล่มนี้ส่งเจ้าไปที่ชอบได้ทุกเมื่อ” ด้วนมู่เฉิงพูดออกมา ตัวเขาได้เอ่ยคำขู่อย่างไม่เกรงกลัวอะไร

 

ในขณะที่หมิงซี่หยินกำลังเดินกลับมาที่ห้องโถงใหญ่ ตอนนี้ตัวเขาดูเหนื่อยล้ามาก แต่ถึงแบบนั้นใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความดีใจ ตัวเขาภูมิใจกับชัยชนะที่ได้มา หมิงซี่หยินที่เดินมาถึงได้คุกเข่าลงก่อนที่จะวางมีดลงบนพื้น “ศิษย์ไม่ได้ตั้งใจจะสังหารเฉิงจงเหอ…แต่เจ้านั่นได้ซ่อนไพ่ตายเอาไว้ เจ้านั่นมีอาวุธระดับโลกอยู่ ศิษย์เลยไม่มีทางเลือกจึงได้แต่สังหารเขาเพื่อป้องการตัวเองไป”

 

ดวงตาของฝานซุยเหวินกระตุกจะไม่สามารถควบคุมได้ เขาคิดว่าเฉิงจงเหอจะชนะมาโดยตลอด แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินที่ไร้อาวุธก็สามารถเอาชนะได้โดยที่ร่างอวตารของเขาไม่ได้ผลิใบออกมาเลยแม้แต่กลีบเดียว ในทางกลับกัน เฉิงจงเหอเป็นชายผู้ที่มีพลังยุทธสูงที่สุดแล้วในหมู่ของสี่อัศวิน เฉิงจงเหอมีพลังร่างอวตารทั้งสามแห่งร้อยวิถีและมิหนำซ้ำเขายังมีอาวุธระดับโลกอยู่ด้วย! ฝานซุยเหวินที่เห็นแบบนั้นไม่สามารถยอมรับผลลัพธ์นี้ได้ พลังลมปราณและกระแสเลือดของเขาได้ไหลอย่างพลุ่งพล่านจนทำให้ตัวเขารู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิม

 

เหล่าจอมยุทธหญิงที่มาจากวังจันทราต่างก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก พวกเธอไม่รู้มาก่อนเลยว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าแท้จริงแล้วจะเก่งกาจถึงขนาดนี้ วังจันทรานั้นไม่อาจที่จะสู้ได้เลยถ้าหากเปรียบเทียบกัน

 

หลังจากที่ได้ฟังการรายงานของหมิงซี่หยิน ลู่โจวก็ได้กล่าวชมออกมาเล็กน้อย “ไม่เลว”

 

ใบหน้าของหมิงซี่หยินดูสดใสขึ้นทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น “ท่านอาจารย์ อาวุธระดับโลกชิ้นนี้มีค่ามาก ศิษย์อยากที่จะขัดเกลามัน”

 

ฝานซุยเหวินได้คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้ากล้าดียังไงกัน? “

 

หยวนเอ๋อรีบตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “เจ้ายังจะกล้าอยู่อีกอย่างงั้นหรอ? กล้าที่จะมาขู่พวกเราตอนนี้อะนะ? “

 

เฉิงจงเหอได้ตายจากไปแล้ว เขาไม่มีวันที่จะรู้ด้วยซ้ำว่าอาวุธที่ตัวเขาเคยมีจะถูกใช้โดยศัตรูที่ได้พรากชีวิตเขาไป

 

แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับคำพูดของฝานซุยเหวินเลย “ท่านอาจารย์ ศิษย์ขออนุญาตด้วย! “

 

หยวนเอ๋อหัวเราะคิกคักก่อนที่จะเดินไปใกล้ๆ ลู่โจว “ศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่ควรจะขอบคุณท่านอาจารย์ที่มอบหอกราชันให้ เพราะอาวุธชิ้นนี้ทำให้พลังร่างอวตารของศิษย์พี่ผลิใบได้เลยนะ! “

 

เมื่อหยวนเอ๋อพูดถึงหอกราชัน ในตอนนั้นเองคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องก็ต่างจ้องมองมันด้วยความอิจฉา ดูเหมือนว่าสิ่งที่แสดงความสามารถได้ดีที่สุดในการต่อสู้นี้ก็คือหอกราชันนั่นเอง

 

อัศวินดำทั้งสองยู่จงและด้วนฉางฮงได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างสง่างาม หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนถูกสัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์อย่างด้วนมู่เฉิงโจมตีไป การโจมตีของเขามันทรงพลังมาก การโจมตีที่มาจากอาวุธระดับสรวงสวรรค์อย่างหอกราชัน!

 

ด้วนมู่เฉิงพยักหน้าก่อนที่จะพูดตอบกลับหยวนเอ๋อ “เจ้าพูดถูกแล้วล่ะศิษย์น้องหญิง เพราะเคล็ดวิชาสุดยอดยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านอาจารย์เป็นคนสอนให้กับข้ารวมกับความแข็งแกร่งของหอกราชัน ถ้าหากข้าไม่มีทั้งสองอย่างข้าก็คงจะไม่สามารถเอาชนะพวกเขาทั้งสองคนแบบนี้ได้”

 

ยู่จงและด้วนฉานฮงพยายามเหลือบมองขึ้นมาอย่างยากลำบาก ในตอนนี้ผู้ที่เป็นหัวหน้าของพวกเขาอย่างฝานซุยเหวินได้ถูกจับตัวได้เป็นที่เรียบร้อย เพราะอะไรกันชายผู้ซึ่งมีพลังสุดยอดอย่างพลังอวตารทั้งแปดแห่งร้อยวิถีถึงไม่สามารถโต้ตอบอะไรกลับไปได้เลย? ไม่เหมือนกับพวกเขาทั้งสองคน พวกเขาทั้งสองคนที่มีพลังอวตารทั้งสองและทั้งสามแห่งร้อยวิถีสามารถต่อสู้กับศัตรูได้อย่างดุเดือดจนได้พ่ายแพ้ไปในที่สุด ด้วยวรยุทธที่ฝานซุยเหวินมี เขาควรที่จะต่อสู้กับจีเทียนเด๋าอย่างสูสีเป็นเวลากว่าสามวันสามคืนสิถึงรู้ผล พวกเขาทั้งสองไม่สามารถรู้ได้เลย พวกเขาไม่อาจรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องโถงใหญ่ของศาลาปีศาจลอยฟ้ากันแน่ อัศวินดำทั้งสองคนใจจดใจจ่อกับการต่อสู้กับด้วนมู่เฉิงอยู่นั่นเอง

 

ในตอนนั้นลู่โจวยังยืนอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ราวกับว่าวันนี้เป็นวันธรรมดาทั่วไปอีกวันหนึ่ง ตัวเขามองไปที่ยู่จงและด้วนฉางฮงก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเย็นชน “ผนึกพลังยุทธของเจ้าพวกนั้นซะ”

 

“ศิษย์เข้าใจแล้ว” ด้วนมู่เฉิงรีบรับคำสั่งมา

 

ในตอนนั้นเองฝางซงก็ได้เดินไปข้างหน้าก่อนที่จะอาสาตัวเองออกมาแทน “ให้ข้าได้จัดการเองเถอะ ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้…ตัวข้าได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพลังลมปราณ จุดพลังลมปราณตันเถียนและเส้นพลังลมปราณทั้งแปด วิธีการที่จะปิดผนึกพลังยุทธจากเส้นพลังลมแปดได้นั้นเป็นอะไรที่ไม่ง่ายอย่างที่คิด วิธีทั่วไปไม่อาจใช้กับผู้ที่มีไหวพริบอันเฉียบคมได้ เพียงแค่การเดินลมปราณจากจุดตันเถียนเพียงเท่านั้นพวกเขาก็จะสามารถคล้ายผนึกพลังยุทธได้แล้ว”

 

ลู่โจวที่ฟังแบบนั้นก็ได้พยักหน้าให้ “ก็จริงของเจ้า สำนักบริสุทธิ์มักจะศึกษาเทคนิคการผนึกพลังลมปราณเอาไว้ นี่ถือเป็นจุดแข็งเฉพาะตัวของคนพวกนั้น”

 

ฝางซงรู้สึกภาคภูมิใจมากขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่ลู่โจวพูดชมเชย

 

ยู่จงที่เห็นฝางซงพูดแบบนั้นก็ได้ชิงพูดขึ้น “สำนักบริสุทธิ์ สำนักที่ยึดถือในเส้นทางแห่งคุณธรรมแบบนั้นไหนเลยมีคนทรยศอย่างเจ้าได้? “

 

คำพูดเหล่านั้นได้จี้ใจดำของฝานซง “หุบปากของเจ้าซะเจ้าพวกขี้แพ้! ” ตัวเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะใช้กระบวนท่าผนึกพลังลมปราณใส่ไปที่ศัตรู

 

ด้วนมู่ดเฉิงยืนอยู่ใกล้ๆ เขายังคงชี้หอกไปที่ศัตรูทั้งสองที่ได้พ่ายแพ้ให้กับเขาไป ด้วนมู่เฉิงกำลังจับตามองพวกเขาทั้งสองคนอย่างใกล้ชิดอยู่ ถ้าหากพวกเขาเคลื่อนไหวอีกครั้ง แน่นอนว่าด้วนมู่เฉิงจะไม่ลังเลเลยที่จะสังหารพวกเขาทั้งสองไป

 

ฝางซงได้ใช้เวลาไม่นานมากนักก็สามารถผนึกพลังวรยุทธของยู่จงและด้วนฉานจงได้ ฝานซงผู้ที่มีพลังยุทธระดับศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นได้ใช้พลังลมปราณเกือบทั้งหมดในการผนึกพลังวรยุทธของผู้ฝึกยุทธระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนี้ตัวเขาแทบที่จะไม่มีพลังลมปราณเหลืออยู่ในตัว ใบหน้าของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ หลังจากที่ทำหน้าที่ของตนเสร็จเขาก็ได้หันมาคารวะลู่โจวก่อนที่จะเรื่มต้นพูดขึ้นมา “ท่านปรมาจารย์ ข้าได้ผนึกเส้นพลังลมปราณทั้งแปดของพวกเขาทั้งสองคนแล้ว ไม่มีใครสามารถปลดผนึกนี้ได้นอกจากตัวข้า”

 

ลู่โจวได้โบกมือเพื่อเรียกฝานซงและโจวจี้เฟิงให้เดินมาหาเขาจากจุดเดิมที่ลู่โจวยืนอยู่

 

หลังจากที่ฝานซงเดินมาใกล้ๆ ลู่โจวก็ได้พูดขึ้น “จับตาดูเจ้าพวกนี้ให้ดีซะ” แม้ว่าจะปิดผนึกพลังยุทธได้แล้วแต่ลู่โจวก็อยากที่จะให้ใครสักคนจับตาดูพวกเขาเอาไว้ตลอดเวลาอยู่ดี ฝางซงในตอนนี้ดูมั่นใจเป็นอย่างมาก แต่การที่มั่นใจอะไรเกินไปมันอาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นก็เป็นได้

 

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” ฝางซงและโจวจี้เฟิงก้าวไปข้างหน้า ชาวยุทธที่ไม่มีพลังยุทธก็ไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ที่อยู่ในกำมือ

 

ลู่โจวได้กลับมานั่งบนบัลลังก์ของเขาเหมือนเดิม เขานั่งลงอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง “ยี่เทียนซิน”

 

ยี่เทียนซินที่ได้ยินเสียงเรียกสั่นไปทั้งตัว ในตอนนี้เธออยู่ในสภาพที่อ่อนแอมาก และเพราะการที่ไม่มีพลังวรยุทธเองทำให้เธอบาดเจ็บได้อย่างง่ายดาย เมื่อลู่โจวเรียกชื่อของเธอออกมา ยี่เทียนซินก็ได้ลุกจากเก้าอี้ก่อนที่จะคุกเข่าลง “ทะ…ท่านอาจารย์…”

 

ลู่โจวยังคงมีสีหน้าที่ไร้อารมณ์เช่นเคยในระหว่างที่จ้องมองยี่เทียนซิน หลังจากที่มองลูกศิษย์ทรยศคนนี้เสร็จเขาก็ได้หันไปมองฝานซุยเหวินแทน

 

“เล่งลั้ว ข้าน่ะได้ให้โอกาสครั้งใหญ่กับเจ้าไป แล้วทำไมเจ้าถึงยังไม่ตอบรับความหวังดีของข้า เจ้าคงตำหนิข้าว่าข้าโหดร้ายกับเจ้าไม่ได้หรอกนะ! “

 

ฝานซุยเหวินพยายามที่ฝืนตัวเองจนลุกขึ้นมา แต่ถึงแบบนั้นกรงผนึกก็ได้บีบรัดตัวเขาเอาไว้แน่นเกินกว่าที่จะทำอะไรได้ “ท่านผู้อาวุโส ท่านไม่ต้องพูดให้เปลืองน้ำลายหรอก ตอนนี้น่ะข้าได้แพ้แล้ว ข้าน่ะสมควรตาย”

 

ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะพูดต่อไป “เจ้าที่มีพลังร่างอวตารทั้งแปดแห่งร้อยวิถียอมที่จะเก็บงำความลับของทางพระราชวังเอาไว้อย่างงั้นหรอ มันไม่เสียเปล่าหรอกหรอที่เจ้าจะต้องมาตายเพราะเรื่องนี้? ” ในตอนนี้ลู่โจวไม่ได้คาดหวังว่าจะพบตัวจริงของผู้บงการได้อีกต่อไป ผู้ที่ยอมฝึกฝนวรยุทธมากทั้งชีวิตจนมีพลังร่างอวตารทั้งแปดแห่งร้อยวิถีได้ถึงกับเอาชีวิตของตัวเองเข้าแลกแบบนี้ ดูเหมือนว่าลู่โจวคงจะต้องหาทางอื่นที่จะสืบสวนเรื่องนี้ต่อไป

 

ฝานซุยเหวินได้พูดตอบกลับไป “ตอนนี้เจ้าพูดไปก็ไม่มีความหมายอะไรกับข้าหรอก”

 

ลู่โจวส่ายหัวของเขา ท่าทีของเขายังเย็นชาเช่นเคย

 

ในตอนนั้นเองมีการแจ้งเตือนของระบบปรากฏขึ้น

 

“ติ้ง! หมิงซี่หยินจัดการกับผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ คุณได้รับแต้มบุญ 1,000 แต้ม”

 

ลู่โจวไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเมื่อได้เห็นการแจ้งเตือนนั้น ตัวเขาส่ายหัวก่อนจะพูดกับฝานซุยเหวินออกมา “อัศวินดำเฉิงจงเหอ คิดว่าเจ้านั่นน่ะยังมีชีวิตอยู่ไหม? “

[***หมายเหตุนักแปล: ขอเปลี่ยนชื่ออัศวินดำคนที่หนึ่งเฉิงจงลีเป็น เฉิงจงเหอ]

 

ฝานซุยเหวินคิดว่าลู่โจวพยายามที่จะทำให้จิตใจของเขาไขว้เขวด้วยจิตวิทยา และเมื่อได้ยินแบบนั้นเขาก็ได้หันไปพูดกับลู่โจวอย่างเย้ยหยัน “เฉิงจงเหอน่ะมีเป็นที่มีทักษะสูง แม้ว่าหมิงซี่หยินจะเก่งกาจแต่เขาก็ไม่ควรที่จะออกจากห้องโถงใหญ่นี้เลย…สำหรับเฉิงจงเหอ เขาน่ะยิ่งได้ต่อสู้ในที่กว้างเท่าไหร่ตัวเขาก็จะได้เปรียบมากเท่านั้น เจ้าน่ะได้สังหารลี่ฉิงไปแล้ว ตอนนี้เฉิงจงเหอก็คงจะจัดการกับหมิงซี่หยินล้างแค้นยไปละแหละ ข้าเดาได้เลยว่าตอนนี้ผลการต่อสู้ต้องออกมาแล้ว”

 

หยวนเอ๋อที่ไม่สามารถทนได้ได้พูดสาปแช่งออกมาในทันที “หุบปากเน่าๆ ของเจ้าซะ! “

 

“ปากเน่าๆ อย่างงั้นหรอ? ” ฝานซุยเหวินได้หัวเราะออกมาก่อนที่จะใช้น้ำเสียงอันแหบแห้งพูดต่อไป “สาวน้อย ถึงแม้ว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะทรงพลังมากแค่ไหนแต่เพราะแบบนั้นมันถึงทำให้เจ้ากลายเป็นกบในกะลาไปแบบนี้ ในตอนที่ข้าได้ออกเดินทางไกลหลายปีก่อน แม้แต่อาจารย์ของเจ้าเองก็ไม่สามารถหยุดอะไรข้าได้? หืม? ทำไมเจ้าถึงได้จ้องข้าแบบนั้นกัน? “

 

หยวนเอ๋อหันไปอย่างหงุดหงิดก่อนที่จะมองออกไปที่ด้านนอกห้องโถงใหญ่

 

แม้ว่าฝานซุยเหวินจะถูกผนึกกรงกักขังพันธนาการเอาไว้ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้ทรงพลังเกินกว่าที่จะทำให้ตัวเขาหันไปหาด้วนมู่เฉิงที่อยู่ด้านหลังได้ ยี่เทียนซินรวมไปถึงผู้ฝึกยุทธจากวังจันทราต่างก็จ้องมองออกไปที่ด้านนอกของห้องโถงใหญ่

 

หมิงซี่หยินได้ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเดินอีกครั้ง ในตอนนั้นเองมีแสงสว่างส่องออกมาจากตัวเขาในระหว่างที่เดินมาอย่างช้าๆ หมิงซี่หยินในตอนนี้อยู่ในสภาพที่สะบักสะบอมมาก เสื้อคลุมของเขาเปลี่ยนจนกลายเป็นสีแดง มีดสั้นที่อยู่ในมือขวาของเขายังคงเปื้อนเลือดอยู่

 

เมื่อเห็นแบบนั้นฝานซุยเหวินก็ได้ขมวดคิ้วขึ้น หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ ฝานซุยเหวินต้องการที่จะขยับตัวแต่ถึงแบบนั้นหอกราชันก็ได้มาต่ออยู่ตรงหน้าของเขาซะก่อน

 

“ถ้าหากเจ้าอยากที่จะต้องการตายมาก ข้าสามารถใช้หอกเล่มนี้ส่งเจ้าไปที่ชอบได้ทุกเมื่อ” ด้วนมู่เฉิงพูดออกมา ตัวเขาได้เอ่ยคำขู่อย่างไม่เกรงกลัวอะไร

 

ในขณะที่หมิงซี่หยินกำลังเดินกลับมาที่ห้องโถงใหญ่ ตอนนี้ตัวเขาดูเหนื่อยล้ามาก แต่ถึงแบบนั้นใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความดีใจ ตัวเขาภูมิใจกับชัยชนะที่ได้มา หมิงซี่หยินที่เดินมาถึงได้คุกเข่าลงก่อนที่จะวางมีดลงบนพื้น “ศิษย์ไม่ได้ตั้งใจจะสังหารเฉิงจงเหอ…แต่เจ้านั่นได้ซ่อนไพ่ตายเอาไว้ เจ้านั่นมีอาวุธระดับโลกอยู่ ศิษย์เลยไม่มีทางเลือกจึงได้แต่สังหารเขาเพื่อป้องการตัวเองไป”

 

ดวงตาของฝานซุยเหวินกระตุกจะไม่สามารถควบคุมได้ เขาคิดว่าเฉิงจงเหอจะชนะมาโดยตลอด แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินที่ไร้อาวุธก็สามารถเอาชนะได้โดยที่ร่างอวตารของเขาไม่ได้ผลิใบออกมาเลยแม้แต่กลีบเดียว ในทางกลับกัน เฉิงจงเหอเป็นชายผู้ที่มีพลังยุทธสูงที่สุดแล้วในหมู่ของสี่อัศวิน เฉิงจงเหอมีพลังร่างอวตารทั้งสามแห่งร้อยวิถีและมิหนำซ้ำเขายังมีอาวุธระดับโลกอยู่ด้วย! ฝานซุยเหวินที่เห็นแบบนั้นไม่สามารถยอมรับผลลัพธ์นี้ได้ พลังลมปราณและกระแสเลือดของเขาได้ไหลอย่างพลุ่งพล่านจนทำให้ตัวเขารู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิม

 

เหล่าจอมยุทธหญิงที่มาจากวังจันทราต่างก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก พวกเธอไม่รู้มาก่อนเลยว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าแท้จริงแล้วจะเก่งกาจถึงขนาดนี้ วังจันทรานั้นไม่อาจที่จะสู้ได้เลยถ้าหากเปรียบเทียบกัน

 

หลังจากที่ได้ฟังการรายงานของหมิงซี่หยิน ลู่โจวก็ได้กล่าวชมออกมาเล็กน้อย “ไม่เลว”

 

ใบหน้าของหมิงซี่หยินดูสดใสขึ้นทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น “ท่านอาจารย์ อาวุธระดับโลกชิ้นนี้มีค่ามาก ศิษย์อยากที่จะขัดเกลามัน”

 

ฝานซุยเหวินได้คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้ากล้าดียังไงกัน? “

 

หยวนเอ๋อรีบตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “เจ้ายังจะกล้าอยู่อีกอย่างงั้นหรอ? กล้าที่จะมาขู่พวกเราตอนนี้อะนะ? “

 

เฉิงจงเหอได้ตายจากไปแล้ว เขาไม่มีวันที่จะรู้ด้วยซ้ำว่าอาวุธที่ตัวเขาเคยมีจะถูกใช้โดยศัตรูที่ได้พรากชีวิตเขาไป

 

แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับคำพูดของฝานซุยเหวินเลย “ท่านอาจารย์ ศิษย์ขออนุญาตด้วย! “

 

My Disciples Are All Villains

My Disciples Are All Villains

My Disciples Are All Villains
Score 4.0
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง My Disciples Are All Villains ลู่โจวตื่นขึ้นมาเพื่อเป็นผู้เฒ่าผู้ชั่วร้ายที่ทรงพลังและเก่าแก่ที่สุดในโลก และพบว่าเขามีสาวกเก้าคนที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ศิษย์คนโตของเขาเป็นผู้นำนิกาย Nether ที่มีลูกน้องนับพัน และศิษย์คนที่สองของเขาคือ Sword Devil มักจะเข่นฆ่าผู้อื่นด้วยความขัดแย้งเพียงเล็กน้อย…หากไม่มีฐานการฝึกฝนของเขา เขาจะจัดการกับสาวกที่ชั่วร้ายเหล่านี้ได้อย่างไร ศิษย์คนโตของเขา Yu Zhenghai เล่าว่า “ชีวิตข้าไม่เคยมีคู่แข่ง และไม่มีใครนอกจากอาจารย์ที่สามารถทำให้ข้าก้มหัวได้” ศิษย์คนที่เจ็ดของเขา Si Wuya กล่าวว่า “เราจะกินหรือนอนอย่างสงบสุขไม่ได้ตราบเท่าที่ อาจารย์ยังไม่ตาย!”…หยวนเอ๋อศิษย์ที่เก้าของเขากล่าวว่า “ฉันจะจำสิ่งที่อาจารย์พูดและเป็นคนดี”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset