NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 1301 คนเผ่ากู่

“เสี่ยวหลินตัง? ทำไมเธอถึงมาเร็วขนาดนี้ล่ะ?มาแล้วก็ไม่บอกกันหน่อยสักคำ ฉันจะได้ไปรับเธอ”
กู่ยี่เทียนมองไปที่เสี่ยวหลินตังที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา พลางถามด้วยรอยยิ้ม
ทั้งด้านเสี่ยวหลินตังไม่ได้ถือตัวว่าเป็นคนนอกเลยแม้แต่น้อย จึงตอบกลับพร้อมกับหยิบขนมที่วางอยู่บนโต๊ะมากินไปด้วย “ต่อให้อยู่บ้านฉันก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ก็เลยมาเร็วหน่อย จะว่าไปผู้ชายอย่างพวกคุณนี่ก็ขี้เกียจใช่ย่อยเลยนะ สายขนาดนี้แล้วยังจะนอนอยู่อีก ถ้าเป็นฉันปกติเวลานี้ก็ตื่นมาฝึกวิชาตั้งนานแล้ว”
เมื่อมองดูเสี่ยวหลินตังที่ไม่มีการรักษาภาพลักษณ์ผู้หญิงของตัวเองเลย ทำเอากู่ยี่เทียนถึงกับต้องยิ้มพร้อมส่ายหน้า
ส่วนตัวของเขาและเสี่ยวหลินตังนับได้ว่าเป็นคนสนิทกัน ปู่ของเธอเป็นเจ้าของต้าเซี่ยหลงเช่วแห่งตะวันตกเฉียงใต้ ในโลกของนักบู๊ก็นับว่าเป็นคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง เพียงแค่ว่าหลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตแบบสันโดษมาโดยตลอด จึงทำให้คนที่รู้จักชื่อเสียงของเขามีไม่มากนัก
ส่วนพ่อแม่ของเสี่ยวหลินตังเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านนักรบที่ได้รับมาจากคุณปู่ของเลย แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงกลับเป็นว่าพรสวรรค์นี้กลับได้ตกทอดไปสู่รุ่นหลานแทน เพราะในตอนที่ เสี่ยวหลินตังอายุได้หกขวบเธอก็ได้กลายเป็นนักรบที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแล้ว
ถึงแม่ว่าตอนนี้จะมีอายุเพียงสิบแปดปี แต่ความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเขตสุดกำลังภายในแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้คุณปู่ของเธอจึงประคบประหงมเธออย่างมากๆ ทั้งยังพูดมาตลอดว่าจะให้เธอเป็นคนรับการสืบทอดความสามารถทั้งหมดของเขา
“ใช่ เสี่ยวหลินตังขยันที่สุดแล้ว ดูแล้วพลังของเธอจะพัฒนาขึ้นมาไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ?”
กู่ยี่เทียนจงใจทดสอบพลังของเสี่ยวหลินตังอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พบว่าเพียงระยะเวลาเพียงหนึ่งปีครึ่งสั้นๆ นี้เจ้าเด็กคนนี้สามารถพัฒนาจากเขตสุดกำลังภายนอกเข้าสู่เขตสุดกำลังภายในแล้ว แถมตอนนี้ก็ยังมีความก้าวหน้าอย่างลับๆ อีกด้วย
นักรบเขตสุดกำลังภายในวัยสิบแปดปี ความสามารถนี้ทำเอากู่ยี่เทียนรู้สึกชื่นชมไม่น้อยเลยทีเดียว
“หยุดอวยกันเกินไปได้แล้ว ต่อให้ฉันจะขยันแค่ไหนก็สู้คุณไม่ได้หรอก ทั้งที่คุณโตกว่าฉันแค่ไม่กี่ปีเอง แต่ตอนนี้เป็นครึ่งเทพไปแล้ว”
คำพูดประโยคนี้ของเสี่ยวหลินตังพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์และความอิจฉา
อันที่จริงเธอนั้นมีความแข็งแกร่งมากๆ เธอเป็นคนมีวินัยและขยันอย่างมากเพื่อที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง หลายปีมานี้เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น เธอใช้เวลานอนเพียงแค่สี่ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือก็จะใช้ในการฝึกฝนทั้งหมดเลย
แต่ถึงแม่ว่าเธอจะพยายามขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถล้ำหน้ากู่ยี่เทียนได้เลย สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกเคืองใจอย่างมาก
“อะแฮ่ม……จะพูดแบบนี้ได้ยังไง ฉันเป็นผู้ชาย เธอเป็นผู้หญิง ผู้หญิงเวลาฝึกฝนมีความยากลำบากกว่าผู้ชายตั้งเยอะ ถ้าฉันเป็นผู้หญิง ก็คงจะไม่มีความสุดยอดได้เท่าครึ่งหนึ่งของเธอด้วยซ้ำ”
เมื่อเห็นใบหน้าขมขื่นของเสี่ยวหลินตัง กู่ยี่เทียนก็ถึงกับต้องลูบท้ายทอยของตัวเองพร้อมกับพยายามพูดปลอบใจ
สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ผิดเลย นักรบหญิงในเวลาที่ต้องฝึกฝนนั้นมีความยากลำบากกว่าผู้ชายหลายเท่าจริง สำหรับความแข้งแกร่งระดับนี้ของเสี่ยวหลินตัง สามารถบอกได้เลยว่าเป็นสิ่งที่หายากในรอบร้อยปีเลยก็ว่าได้
“ชิ คุณก็แค่แสร้งทำเป็นพูดให้มันฟังดูดีเองสิไม่ว่า” ถึงแม้คำพูดของเสี่ยวหลินตังจะยังมีความไม่พอใจ แต่ใบหน้าของเธอกลับมีความดีใจเกิดขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อเห็นท่าทีปากไม่ตรงกับใจของเธอ กู่ยี่เทียนก็ไม่คิดที่จะไปขัดอะไร พลางหัวเราะออกมาก่อนจะเอื้อมไปลูบผมของเสี่ยวหลินตัง
“ยัยเด็กน้อยคนนี้ ไม่เจอกันปีกว่าเอง เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ อย่างที่เขาว่ากันเลยว่าผู้หญิงจะเปลี่ยนไปตอนสิบแปด เพราะเมื่อกี้นี้ฉันเกือบจะจำเธอไม่ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของกู่ยี่เทียน หน้าของเสี่ยวหลินตังก็แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก่อนจะเอียงหัวของตัวเองด้วยความเขินอาย ไม่ให้กู่ยี่เทียนลูบผมของตัวเอง
“ออกไปเลย!เจอกันทีไรก็ชอบมาจับหัวกันอยู่ได้ นี่คุณไม่รู้หรอว่าจับหัวทำให้ไม่สูงได้หน่ะ?อีกอย่าง ตอนนี้ฉันก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว รบกวนอย่ามาทำเหมือนฉันยังเป็นเด็กคนหนึ่งอีกได้ไหม ?”
“ได้ๆๆ เธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต่อไปฉันจะไม่จับหัวเธออีก พอใจแล้วสินะ” กู่ยี่เทียนยิ้มพลางชักมือกลับ เขาที่เห็นท่าทางนี้ของ เสี่ยวหลินตังก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพียงคิดแค่ว่าเธอเข้าสู่ช่วงวัยเขินอายของหญิงสาวแล้ว จึงเกิดความเขินเท่านั้น
โดยที่กู่ยี่เทียนที่ไม่ใส่ใจกลับไม่เห็นความเคอะเขินของเด็กสาวที่ประกายในแววตาของ เสี่ยวหลินตัง และยิ่งไม่ได้รู้สึกความรักของเสี่ยวหลินตังที่มีต่อเขาด้วย
และเพียงไม่นานพวกของหลี่ฝางก็พากันเดินมารวมตัวในห้องของกู่ยี่เทียน เพราะว่าเป็นห้องเพรสซิเดนสูท ดังนั้นจึงมีพื้นขนาดใหญ่ เพียงแค่ห้องโถงก็มีพื้นที่กว่าห้าสิบหกสิบตารางเมตรแล้ว
“ตาคนโรคจิต ไปนั่งตรงนั้นเลยนะ อย่ามาเข้าใกล้ฉัน” เสี่ยวหลินตังที่พอเห็นหลี่ฝางก็เหน็บแนมขึ้นมาทันที พลางชี้ไปยังที่นั่งตรงข้ามของตัวเองพร้อมกับพูดอย่างรังเกียจ
หลี่ฝางที่เดิมทีอยากจะอยู่ห่างกับ เสี่ยวหลินตังสักหน่อย แต่พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขาจึงจงใจนั่งลงยังที่นั่งข้างๆ ของเสี่ยวหลินตัง
“ฉันไม่นั่งตรงนั้น นี่ก็ไม่ใช่บ้านของเธอด้วย เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่ง”
“คุณ!” เสี่ยวหลินตังจ้องมองหลี่ฝางที่หย่อนก็ลงนั่งยังที่นั่งข้างๆ ของตัวเอง ก็ถึงกับโกรธจนมือสั่น
“เอาล่ะๆ พวกเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะ พวกนายอย่าทะเลาะกันเลย” กู่ยี่เทียนที่เห็นทั้งสองกำลังจะจิกกัดกันอีกครั้ง ก็รีบลุกขึ้นมาเป็นทูตแห่งสันติภาพอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเขา หลี่ฝางกับเสี่ยวหลินตังทั้งสองถึงยอมเงียบ แล้วหันไปสบตากันด้วยความไม่ชอบใจ ก่อนจะหันหน้าหนีไปคนละทาง
“เสี่ยวหลินตัง เหตุผลที่พวกเรามาเมืองชีหนันครั้งนี้คุณปู่ของเธอก็คงจะได้บอกเธอไปแล้วนะ ฉันได้ยินมาว่าเธอรู้จักเพื่อนร่วมห้องที่เป็นคนเผ่ากู่ เธอพอจะบอกให้เขาช่วยพาพวกเราเข้าไปในหมู่บ้านได้หรือเปล่า ?”
ข้อมูลนี้กู่ยี่เทียนเองได้รู้มาจากปากคุณปู่ของ เสี่ยวหลินตัง ซึ่งตามหลักแล้วกลุ่มคนที่ไม่ติดต่อกับโลกภายนอกเลยย่างเผ่ากู่ไม่มีทางที่จะออกมาเรียนอยู่ด้านนอกหมู่บ้าน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นเพื่อนกับคนจากโลกภายนอกเลย
แต่คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวหลินตังไม่ได้กลายเป็นเพียงแค่เพื่อนกับคนเผ่ากู่ แต่ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีมากเลยด้วย
“ฉันได้โทรไปบอกกับเขาแล้ว อีกเดี๋ยวเขาก็น่าจะมาถึงแล้ว” เสี่ยวหลินตังตอบกลับพร้อมก็มลงมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง
ทันทีที่พูดจบ เสียงโทรศัพท์ของเสี่ยวหลินตังก็ดังขึ้นมา บนหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นชื่อของใครบางคนที่มีชื่อว่า อูหลิงขึ้นมา
“เสี่ยวหลิงหลิง มาถึงแล้วหรอ?งั้นก็ขึ้นลิฟท์มาได้เลย ฉันอยู่ห้อง101รออยู่”
เสี่ยวหลินตังรับสายอย่างรวดเร็วพร้อมกับบอกเลขห้องให้กับคนที่ชื่ออูหลิงคนนั้น และเพียงผ่านไปไม่นานนัก เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น
หลี่ฝางที่เดิมทีคิดว่า อูหลิงเป็นผู้หญิง ทันทีที่เปิดประตูออกแล้วได้เห็นชายหนุ่มส่วนสูงราวสองเมตร ความแตกต่างนี้ต่างจากสิ่งที่คิดไว้ค่อนข้างเยอะ จึงทำให้เขาไม่มีการตอบสนองใดๆ
“พวกนายยืนอยู่หน้าประตูทำอะไรกัน?รีบเข้ามาสิ” เสี่ยวหลินตังไม่รู้ตัวเลยว่าเสี่ยวหลิงหลิงคำนั้นของตัวเองจะทำให้หลี่ฝางเข้าใจผิดเรื่องเพศของอูหลิง ดังนั้นเมื่อเห็นว่าทั้งสองเอาแต่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู จึงร้องบ่นออกไป
“เอ่อ……ขอโทษที เข้ามาสิ” เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวหลินตัง หลี่ฝางถึงค่อยตั้งสติกลับมาได้ พร้อมกับหลีกทางให้ด้วยความเขินอายเล็กน้อย
อูหลิงก้มหน้าเดินเข้ามาในห้อง จากนั้นก็หันไปสำรวจกลุ่มคนที่อยู่ภายในห้อง ก่อนที่จะเดินไปข้างๆ ของเสี่ยวหลินตังด้วยสีหน้าราบเรียบ พร้อมกับนั่งลงยังที่นั่งเดิมของหลี่ฝาง
หลี่ฝางอ้าปากค้างหวังจะบอกอูหลิงว่านั่นเป็นที่นั่งของตน แต่พอคิดไปคิดมาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก่อนจะเดินไปนั่งลงยังที่นั่งว่างที่อยู่ตรงข้ามของเสี่ยวหลินตัง
“พวกคุณอยากเข้าไปในเขตของเผ่ากู่นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเผ่าของผมนั้นต่อต้านผู้คนภายนอกอย่างมาก หากพบว่ามีคนแอบเข้าไป คนคนนั้นจะต้องถูกฆ่าตายแน่นอน
“เสี่ยวหลินตัง? ทำไมเธอถึงมาเร็วขนาดนี้ล่ะ?มาแล้วก็ไม่บอกกันหน่อยสักคำ ฉันจะได้ไปรับเธอ”
กู่ยี่เทียนมองไปที่เสี่ยวหลินตังที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา พลางถามด้วยรอยยิ้ม
ทั้งด้านเสี่ยวหลินตังไม่ได้ถือตัวว่าเป็นคนนอกเลยแม้แต่น้อย จึงตอบกลับพร้อมกับหยิบขนมที่วางอยู่บนโต๊ะมากินไปด้วย “ต่อให้อยู่บ้านฉันก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ก็เลยมาเร็วหน่อย จะว่าไปผู้ชายอย่างพวกคุณนี่ก็ขี้เกียจใช่ย่อยเลยนะ สายขนาดนี้แล้วยังจะนอนอยู่อีก ถ้าเป็นฉันปกติเวลานี้ก็ตื่นมาฝึกวิชาตั้งนานแล้ว”
เมื่อมองดูเสี่ยวหลินตังที่ไม่มีการรักษาภาพลักษณ์ผู้หญิงของตัวเองเลย ทำเอากู่ยี่เทียนถึงกับต้องยิ้มพร้อมส่ายหน้า
ส่วนตัวของเขาและเสี่ยวหลินตังนับได้ว่าเป็นคนสนิทกัน ปู่ของเธอเป็นเจ้าของต้าเซี่ยหลงเช่วแห่งตะวันตกเฉียงใต้ ในโลกของนักบู๊ก็นับว่าเป็นคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง เพียงแค่ว่าหลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตแบบสันโดษมาโดยตลอด จึงทำให้คนที่รู้จักชื่อเสียงของเขามีไม่มากนัก
ส่วนพ่อแม่ของเสี่ยวหลินตังเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านนักรบที่ได้รับมาจากคุณปู่ของเลย แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงกลับเป็นว่าพรสวรรค์นี้กลับได้ตกทอดไปสู่รุ่นหลานแทน เพราะในตอนที่ เสี่ยวหลินตังอายุได้หกขวบเธอก็ได้กลายเป็นนักรบที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแล้ว
ถึงแม่ว่าตอนนี้จะมีอายุเพียงสิบแปดปี แต่ความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเขตสุดกำลังภายในแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้คุณปู่ของเธอจึงประคบประหงมเธออย่างมากๆ ทั้งยังพูดมาตลอดว่าจะให้เธอเป็นคนรับการสืบทอดความสามารถทั้งหมดของเขา
“ใช่ เสี่ยวหลินตังขยันที่สุดแล้ว ดูแล้วพลังของเธอจะพัฒนาขึ้นมาไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ?”
กู่ยี่เทียนจงใจทดสอบพลังของเสี่ยวหลินตังอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พบว่าเพียงระยะเวลาเพียงหนึ่งปีครึ่งสั้นๆ นี้เจ้าเด็กคนนี้สามารถพัฒนาจากเขตสุดกำลังภายนอกเข้าสู่เขตสุดกำลังภายในแล้ว แถมตอนนี้ก็ยังมีความก้าวหน้าอย่างลับๆ อีกด้วย
นักรบเขตสุดกำลังภายในวัยสิบแปดปี ความสามารถนี้ทำเอากู่ยี่เทียนรู้สึกชื่นชมไม่น้อยเลยทีเดียว
“หยุดอวยกันเกินไปได้แล้ว ต่อให้ฉันจะขยันแค่ไหนก็สู้คุณไม่ได้หรอก ทั้งที่คุณโตกว่าฉันแค่ไม่กี่ปีเอง แต่ตอนนี้เป็นครึ่งเทพไปแล้ว”
คำพูดประโยคนี้ของเสี่ยวหลินตังพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์และความอิจฉา
อันที่จริงเธอนั้นมีความแข็งแกร่งมากๆ เธอเป็นคนมีวินัยและขยันอย่างมากเพื่อที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง หลายปีมานี้เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น เธอใช้เวลานอนเพียงแค่สี่ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือก็จะใช้ในการฝึกฝนทั้งหมดเลย
แต่ถึงแม่ว่าเธอจะพยายามขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถล้ำหน้ากู่ยี่เทียนได้เลย สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกเคืองใจอย่างมาก
“อะแฮ่ม……จะพูดแบบนี้ได้ยังไง ฉันเป็นผู้ชาย เธอเป็นผู้หญิง ผู้หญิงเวลาฝึกฝนมีความยากลำบากกว่าผู้ชายตั้งเยอะ ถ้าฉันเป็นผู้หญิง ก็คงจะไม่มีความสุดยอดได้เท่าครึ่งหนึ่งของเธอด้วยซ้ำ”
เมื่อเห็นใบหน้าขมขื่นของเสี่ยวหลินตัง กู่ยี่เทียนก็ถึงกับต้องลูบท้ายทอยของตัวเองพร้อมกับพยายามพูดปลอบใจ
สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ผิดเลย นักรบหญิงในเวลาที่ต้องฝึกฝนนั้นมีความยากลำบากกว่าผู้ชายหลายเท่าจริง สำหรับความแข้งแกร่งระดับนี้ของเสี่ยวหลินตัง สามารถบอกได้เลยว่าเป็นสิ่งที่หายากในรอบร้อยปีเลยก็ว่าได้
“ชิ คุณก็แค่แสร้งทำเป็นพูดให้มันฟังดูดีเองสิไม่ว่า” ถึงแม้คำพูดของเสี่ยวหลินตังจะยังมีความไม่พอใจ แต่ใบหน้าของเธอกลับมีความดีใจเกิดขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อเห็นท่าทีปากไม่ตรงกับใจของเธอ กู่ยี่เทียนก็ไม่คิดที่จะไปขัดอะไร พลางหัวเราะออกมาก่อนจะเอื้อมไปลูบผมของเสี่ยวหลินตัง
“ยัยเด็กน้อยคนนี้ ไม่เจอกันปีกว่าเอง เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ อย่างที่เขาว่ากันเลยว่าผู้หญิงจะเปลี่ยนไปตอนสิบแปด เพราะเมื่อกี้นี้ฉันเกือบจะจำเธอไม่ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของกู่ยี่เทียน หน้าของเสี่ยวหลินตังก็แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก่อนจะเอียงหัวของตัวเองด้วยความเขินอาย ไม่ให้กู่ยี่เทียนลูบผมของตัวเอง
“ออกไปเลย!เจอกันทีไรก็ชอบมาจับหัวกันอยู่ได้ นี่คุณไม่รู้หรอว่าจับหัวทำให้ไม่สูงได้หน่ะ?อีกอย่าง ตอนนี้ฉันก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว รบกวนอย่ามาทำเหมือนฉันยังเป็นเด็กคนหนึ่งอีกได้ไหม ?”
“ได้ๆๆ เธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต่อไปฉันจะไม่จับหัวเธออีก พอใจแล้วสินะ” กู่ยี่เทียนยิ้มพลางชักมือกลับ เขาที่เห็นท่าทางนี้ของ เสี่ยวหลินตังก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพียงคิดแค่ว่าเธอเข้าสู่ช่วงวัยเขินอายของหญิงสาวแล้ว จึงเกิดความเขินเท่านั้น
โดยที่กู่ยี่เทียนที่ไม่ใส่ใจกลับไม่เห็นความเคอะเขินของเด็กสาวที่ประกายในแววตาของ เสี่ยวหลินตัง และยิ่งไม่ได้รู้สึกความรักของเสี่ยวหลินตังที่มีต่อเขาด้วย
และเพียงไม่นานพวกของหลี่ฝางก็พากันเดินมารวมตัวในห้องของกู่ยี่เทียน เพราะว่าเป็นห้องเพรสซิเดนสูท ดังนั้นจึงมีพื้นขนาดใหญ่ เพียงแค่ห้องโถงก็มีพื้นที่กว่าห้าสิบหกสิบตารางเมตรแล้ว
“ตาคนโรคจิต ไปนั่งตรงนั้นเลยนะ อย่ามาเข้าใกล้ฉัน” เสี่ยวหลินตังที่พอเห็นหลี่ฝางก็เหน็บแนมขึ้นมาทันที พลางชี้ไปยังที่นั่งตรงข้ามของตัวเองพร้อมกับพูดอย่างรังเกียจ
หลี่ฝางที่เดิมทีอยากจะอยู่ห่างกับ เสี่ยวหลินตังสักหน่อย แต่พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขาจึงจงใจนั่งลงยังที่นั่งข้างๆ ของเสี่ยวหลินตัง
“ฉันไม่นั่งตรงนั้น นี่ก็ไม่ใช่บ้านของเธอด้วย เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่ง”
“คุณ!” เสี่ยวหลินตังจ้องมองหลี่ฝางที่หย่อนก็ลงนั่งยังที่นั่งข้างๆ ของตัวเอง ก็ถึงกับโกรธจนมือสั่น
“เอาล่ะๆ พวกเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะ พวกนายอย่าทะเลาะกันเลย” กู่ยี่เทียนที่เห็นทั้งสองกำลังจะจิกกัดกันอีกครั้ง ก็รีบลุกขึ้นมาเป็นทูตแห่งสันติภาพอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเขา หลี่ฝางกับเสี่ยวหลินตังทั้งสองถึงยอมเงียบ แล้วหันไปสบตากันด้วยความไม่ชอบใจ ก่อนจะหันหน้าหนีไปคนละทาง
“เสี่ยวหลินตัง เหตุผลที่พวกเรามาเมืองชีหนันครั้งนี้คุณปู่ของเธอก็คงจะได้บอกเธอไปแล้วนะ ฉันได้ยินมาว่าเธอรู้จักเพื่อนร่วมห้องที่เป็นคนเผ่ากู่ เธอพอจะบอกให้เขาช่วยพาพวกเราเข้าไปในหมู่บ้านได้หรือเปล่า ?”
ข้อมูลนี้กู่ยี่เทียนเองได้รู้มาจากปากคุณปู่ของ เสี่ยวหลินตัง ซึ่งตามหลักแล้วกลุ่มคนที่ไม่ติดต่อกับโลกภายนอกเลยย่างเผ่ากู่ไม่มีทางที่จะออกมาเรียนอยู่ด้านนอกหมู่บ้าน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นเพื่อนกับคนจากโลกภายนอกเลย
แต่คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวหลินตังไม่ได้กลายเป็นเพียงแค่เพื่อนกับคนเผ่ากู่ แต่ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีมากเลยด้วย
“ฉันได้โทรไปบอกกับเขาแล้ว อีกเดี๋ยวเขาก็น่าจะมาถึงแล้ว” เสี่ยวหลินตังตอบกลับพร้อมก็มลงมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง
ทันทีที่พูดจบ เสียงโทรศัพท์ของเสี่ยวหลินตังก็ดังขึ้นมา บนหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นชื่อของใครบางคนที่มีชื่อว่า อูหลิงขึ้นมา
“เสี่ยวหลิงหลิง มาถึงแล้วหรอ?งั้นก็ขึ้นลิฟท์มาได้เลย ฉันอยู่ห้อง101รออยู่”
เสี่ยวหลินตังรับสายอย่างรวดเร็วพร้อมกับบอกเลขห้องให้กับคนที่ชื่ออูหลิงคนนั้น และเพียงผ่านไปไม่นานนัก เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น
หลี่ฝางที่เดิมทีคิดว่า อูหลิงเป็นผู้หญิง ทันทีที่เปิดประตูออกแล้วได้เห็นชายหนุ่มส่วนสูงราวสองเมตร ความแตกต่างนี้ต่างจากสิ่งที่คิดไว้ค่อนข้างเยอะ จึงทำให้เขาไม่มีการตอบสนองใดๆ
“พวกนายยืนอยู่หน้าประตูทำอะไรกัน?รีบเข้ามาสิ” เสี่ยวหลินตังไม่รู้ตัวเลยว่าเสี่ยวหลิงหลิงคำนั้นของตัวเองจะทำให้หลี่ฝางเข้าใจผิดเรื่องเพศของอูหลิง ดังนั้นเมื่อเห็นว่าทั้งสองเอาแต่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู จึงร้องบ่นออกไป
“เอ่อ……ขอโทษที เข้ามาสิ” เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวหลินตัง หลี่ฝางถึงค่อยตั้งสติกลับมาได้ พร้อมกับหลีกทางให้ด้วยความเขินอายเล็กน้อย
อูหลิงก้มหน้าเดินเข้ามาในห้อง จากนั้นก็หันไปสำรวจกลุ่มคนที่อยู่ภายในห้อง ก่อนที่จะเดินไปข้างๆ ของเสี่ยวหลินตังด้วยสีหน้าราบเรียบ พร้อมกับนั่งลงยังที่นั่งเดิมของหลี่ฝาง
หลี่ฝางอ้าปากค้างหวังจะบอกอูหลิงว่านั่นเป็นที่นั่งของตน แต่พอคิดไปคิดมาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก่อนจะเดินไปนั่งลงยังที่นั่งว่างที่อยู่ตรงข้ามของเสี่ยวหลินตัง
“พวกคุณอยากเข้าไปในเขตของเผ่ากู่นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเผ่าของผมนั้นต่อต้านผู้คนภายนอกอย่างมาก หากพบว่ามีคนแอบเข้าไป คนคนนั้นจะต้องถูกฆ่าตายแน่นอน

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

พ่อแม่ที่หายตัวไปหลายปีจู่ๆ ก็โทรมา บอกว่าตัวเองเป็นบุคคลที่รวยที่สุดของดูไบ………….

Comment

Options

not work with dark mode
Reset