OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYSELF – ตอนที่ 15 ขโมยผู้ใจบุญ

บทที่ 15 ขโมยผู้ใจบุญ

 

พระอาทิตย์ยามบ่ายนั้นร้อนแรงมาก มันไม่ปราณีใครทั้งนั้น

หนิงเถาอยู่ในร้านสแน็คบาร์เพื่อทานก๋วยเตี๋ยวกับซอสทอด ซึ่งอยู่ในย่านใกล้เคียงกับโรงแรมที่เขาออกมา

เดิมมันเป็นชุมชนที่ชื่อความสุข แต่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยอาคารอิฐและคอนกรีตเต็มไปด้วยรอยร้าวบนผนังหลายแห่ง เห็นได้ชัดว่าอาคารพวกนี้มีคุณภาพไม่ดี หรืออาจจะพึ่งถูกทุบทำลายมา

ที่เป็นแบบนั้นก็คือพวกชาวบ้านได้ถูกยึดที่อยู่อาศัยเดิมไป พวกเขาต่างก็ถูกนายหน้าที่ดินมาไล่พร้อมกับเงินชดเชยจำนวนเล็กน้อย ก่อนที่จะพยายามชักชวนให้พวกเขานั้นย้ายไปยังเขตหมู่บ้านจัดสรรแห่งใหม่ เพื่อที่ว่าพวกนั้นจะได้เงินมากขึ้นในขณะที่ชาวบ้านธรรมดาจะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับมัน

ระหว่างนั้นเองก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าไปในสแน็คบาร์และสั่งก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชาม

หนิงเถามองไปที่เธอ เด็กผู้หญิงคนนั้นมีอายุประมาณ 18 ปี มีใบหน้าที่ดูดี ดวงตาสีดำแวววาว เธอยังสวมเสื้อยืดผ้าฝ้ายบางๆและกางเกงขาสั้นคลายร้อน ต้นขาสีขาวที่ปรากฏออกมนั้นมันช่างดูเหมือนหิมะในฤดูหนาวมาก ด้วยภาพรวมนี้แล้วมันยิ่งเป็นการขับให้ตัวของเธอโดดเด่นมากขึ้น

เด็กผู้หญิงคนนั้นได้มองไปทางหนิงเถาด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

หนิงเถาที่เห็นแบบนั้นก็รู้ตัวว่าตัวเองเสียมารยาทไป เขาจึงได้ละสายตาจากเธอและลุกขึ้นไปจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยว เมื่อเจ้าของร้านมองหาการเปลี่ยนแปลงนี้ “เกิดอะไรขึ้น? บะหมี่ข้าวไม่อร่อยเหรอ? “ เจ้าของร้านถามขณะที่เขาสังเกตเห็นสีหน้าเศร้าหมองบนใบหน้าของหนิงเถา

หนิงเถารู้ตัวว่าตัวเองเผลอแสดงสีหน้าแย่ออกไป เขาจึงรีบหลบมันทิ้งก่อนที่จะพูดว่า “ไม่ใช้หรอกครับ! มันรสชาติดีมาก “

เจ้าของร้านสแน็คบาร์ตอบอย่างสุภาพว่า “ดีแล้ว! ยินดีต้อนรับกลับมาอีกครั้งนะครับ”

หนิงเถาพยักหน้าเป็นการตอบรับก่อนที่เขาจะกลับไปที่โต๊ะซึ่งเขาเคยนั่ง และมันก็เกิดเรื่องประหลาดใจขึ้นมา เขาพบว่าหีบยาขนาดเล็กของเขาหายไปพร้อมกับเด็กผู้หญิงคนนั้น เขาจึงได้มองออกไปที่ถนนแต่บนถนนก็ไม่มีใคร

ในเวลานี้เจ้าของร้านสแน็คบาร์ก็มาพร้อมกับชามก๋วยเตี๋ยวอีกชาม “เกิดอะไรขึ้น? ลูกค้าคนนั้นอยู่ที่ไหน? “

“คุณเจ้าของร้าน! คุณรู้จักเด็กผู้หญิงคนนั้นเหรอ?” หนิงเถาถามออกมา

เจ้าของร้านสแน็คบาร์ตอบอย่างรวดเร็วว่า “ไม่! ฉันไม่รู้จักเด็กผู้หญิงนั้นมาก่อน! ดูเหมือนว่าเธอคงมาป่วนร้านของผม!”

ปรากฎว่าพวกเขาได้พบกับโจร

หนิงเถาที่รู้แบบนั้นก็สูดดมและระบุกลิ่นของเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาได้รู้ที่อยู่แน่ชัดแล้วเขาก็เดินออกจากร้านสแน็คบาร์และตามกลิ่นที่เด็กผู้หญิงนั้นทิ้งเอาไว้ทันที

ตอนนี้เขาอยู่ในชานเมืองของเมืองฉานเจียงแล้ว มันเป็นสถานที่ห่างไกลจากความเจริญ แม้แต่รถประจำทางก็ยังไม่มีผ่านทางมา เห็นได้ชัดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ได้เดินมาโดยไม่มีอุปกรณ์ช่วย เมื่อมาถึงจุดนี้หนิงเถาต้องยอมรับอีกฝ่ายจริงๆ

ด้วยแสงแดดที่แผดเผาเหนือศีรษะตลอดเวลา มันเริ่มทำให้หนิงเถารู้สึกเวียนหัวและโกรธ “ฉันยากจนมากและเธอก็ยังคิดจะขโมยของจากฉันอีก? ทำไมเธอถึงไม่ไปขโมยคนรวยกว่าฉันกัน!”

สิบนาทีต่อมาเขาก็ได้มาถึงจุดสิ้นสุดของถนนและปรากฏอาคารสองชั้นโทรมๆตั้งอยู่ ที่ด้านหน้าของอาคารมีลานสนามและประตูเหล็กขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยสนิมพร้อมแผ่นโลหะที่เขียนว่า “สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซันไชน์”

กลิ่นของหญิงสาวได้หยุดอยู่ที่นี้

“เธอเป็นเด็กกำพร้า?” ข้อมูลนี้ทำให้หนิงเถารู้สึกประหลาดใจ เขาเอื้อมมือไปเคาะประตู

ก๊อก! ก๊อก!

หนิงเถาไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งเท่าไหร่ แต่ประตูเหล็กเก่าก็ยังคงส่งเสียงดังอยู่ดี

“นั้นใครกัน?” เสียงที่ดังออกมานั้นดูเป็นเด็กมาก และมันยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เมื่อประตูเหล็กเปิดออกมา ก็ปรากฏเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่มีใบหน้าสกปรกยืนอยู่ข้างหลัง และมองหนิงเถาด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็น เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นเด็กหญิงอายุประมาณหกขวบเท่านั้น

“คุณลุงมาหาใครเหรอค่ะ?” เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆตรงหน้าได้ถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

หนิงเถาที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้นั่งอยู่ข้างหน้าเธอพร้อมกับรอยยิ้ม “สวัสดี! หนูชื่ออะไรเอ่ย?”

“หนูชื่อหลี่เสี่ยวหยู และหนูก็อายุหกขวบแล้ว” เด็กผู้หญิงตัวน้อยตอบออกมาอย่างชัดเจน

หนิงเถาได้สัมผัสหัวเธอเบาๆแล้วพูดว่า “เด็กดี! ฉันอยากเจอเด็กผู้หญิงที่มีดวงตาที่สวยงามคนหนึ่ง และฉันรู้มาว่าเธออาศัยอยู่ที่นี่ หนูจะช่วยพาฉันไปหาเธอได้ไหม?”

หลี่เสี่ยวหยูได้เงยศีรษะของเธอแล้วพูดว่า “คงหมายถึงพี่ซูหยา”

หนิงเถาได้แสดงยิ้มแย้มแจ่มใสออกมาและตอบว่า “ใช่! ฉันต้องการพบพี่ซูหยา “

หลี่เสี่ยวหยูพูดว่า “งั้นคุณลุงก็เข้ามาก่อนสิค่ะ เดียวหนูจะพาคุณลุงไปหาพี่สาวซูเอง”

หนิงเถาที่ได้ฟังแบบนั้นก็เตรียมที่จะผลักประตูเหล็กเข้าไป แต่หลี่เสี่ยวหยูที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้ทำก่อนแล้ว

“ให้ลุงคนนี้ช่วยหนูนะ” หนิงเถาเอื้อมมือออกและประตูเหล็กบานใหญ่สำหรับหลี่เสี่ยวหยูก็ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย

หลี่เสี่ยวหยูจึงเป็นเป็นคนนำ “ลุงหนิงเถา” เข้ามาในบ้านนี้ ระหว่างนั้นเธอก็พูดว่า “นี่เป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เราทุกคนเป็นเด็กกำพร้า ทำไมคุณลุงไม่บริจาคเงินให้เราบ้างละค่ะ?” เธอมองกลับไปที่หนิงเถาแล้วพูดเสริมว่า“ หากคุณลุงไม่มีเงิน คุณลุงก็สามารถบริจาคเสื้อผ้าหรือไม่ก็อาหารได้เช่นกัน”

ดวงตาเล็กๆของหลี่เสี่ยวหยูทำให้หนิงเถาพูดอะไรไม่ออก “งั้นเดี่ยวลุงจะไปซื้อขนมให้เสี่ยวหยูนะ”

หลี่เสี่ยวหยูที่ได้ฟังแบบนั้นก็ยิ้มกว้างออกมา ก่อนที่เธอจะพูดอย่างสุภาพว่า “ขอบคุณค่ะ! หนูชอบช็อคโกแลตที่สุด! ทุกคนออกมานี้เร็ว! มีคุณลุงใจดีมาหาละ และคุณลุงยังจะซื้อขนมให้เราด้วย!”

ช่างเป็นเด็กผู้หญิงที่ใจดีจริงๆ! เธอไม่เพียงแต่จะคิดเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เธอยังคิดถึงเพื่อนๆของตัวเองอีกด้วย

ไม่ช้าก็มีเด็กกลุ่มใหญ่วิ่งออกจากห้องต่างๆ และในไม่ช้าหนิงเถาก็ถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มเด็ก เด็กพวกนั้นยังอยู่ระหว่างอายุสามถึงสิบปีเท่านั้น เสื้อผ้าของพวกเขาต่างก็ฉีกขาดและสกปรก เด็กชายตัวเล็กๆคนหนึ่งยังต้องสวมกระโปรงของผู้หญิงด้วย มันดูแล้วน่าสมเพชทีเดียว

เมื่อเห็นสภาพนี้แล้วหนิงเถาก็รู้สึกว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง เขาจึงได้นำเงินทั้งหมดออกจากกระเป๋าของเขาและวางลงในมือของหลี่เสี่ยวหยู“ลุงมีเงินเท่านี้ในตอนนี้ พวกหนูนำเงินพวกนี้ไปซื้อขนมอร่อยๆก่อนนะ “

“ คุณลุงเป็นคนที่ใจดีจริงๆด้วย ขอบคุณค่ะ งั้นหนูจะพาคุณลุงไปหาพี่สาวซูหยาก่อน” หลี่เสี่ยวหยูรู้สึกว่าตัวเองนั้นทำประโยชน์ให้กับสถานเลี้ยงเด็กแห่งนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเงินเพียง 100 หยวนก็ตาม

เด็กกลุ่มใหญ่ติดตามพวกเขาไปทุกที่และร้องออกมาอย่างร่าเริงมีความสุขมากกว่าทุกวัน

หนิงเถาได้เดินมายังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง มันเป็นตัวบ้านที่เก่าอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าหลี่เสี่ยวหยูจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เธอยังคงเดินต่อไปและเปิดประตูก่อนที่จะเข้าไปข้างใน

ข้างในบ้านนั้นหนิงเถาเห็นพบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียง เธออายุประมาณหกสิบปีใบหน้าซีดและผมของเธอดูติดกันเป็นกลุ่มก้อน เห็นได้ชัดว่าเธอคงไม่ได้สระผมมานานแล้ว บนโต๊ะเล็กๆข้างเตียงคือชามต้มน้ำตาลและหม้อดินสำหรับต้มยาซึ่งเป็นหม้อครึ่งหนึ่งของกากยาต้ม นอกจากนี้ยังมีกล่องยาตะวันตกจำนวนหนึ่งวางเรียงอยู่บนโต๊ะขนาดเล็กและการ์ดงานลามิเนตพร้อมรูปถ่ายและชื่อของเธอ เธอคือโจวหยูเฟิงผู้อำนวยการมูลนิธิบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้

ในมุมหนึ่งของห้องเป็นพัดลมไฟฟ้าซึ่งกำลังเปิดใช้งาน แต่มันก็ยังคงร้อนมากในห้อง สิ่งที่มีค่าที่สุดในห้องนี้คือโทรทัศน์เครื่องหนึ่ง ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้เป็นหน้าจอ LCD ที่ดูทันสมัย

โจวหยูเฟิงยังคงหลับตาและดูเหมือนว่าเธอจะไม่สังเกตว่ามีใครเข้ามาในห้องของเธอ

ตาของหนิงเถาจ้องมองไปที่โจวหยูเฟิง ในสายตาของเขาร่างกายของเธอนั้นเต็มไปด้วยอากาศที่มีสีสันต่างๆ สีที่ต่างกันสอดคล้องกับอวัยวะต่างๆ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นนับร้อยที่เทลงในรูจมูกของเขารวมถึงกลิ่นของอวัยวะภายในของโจวหยูเฟิงด้วย

หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีในการมองและดมกลิ่นหนิงเถาเขาก็รู้สภาพของโจวหยูเฟิงอย่างดี เธอเป็นโรคตับแข็งและมีอาการของน้ำในช่องท้อง ถ้าเธอมีเงินมากพอที่จะไปโรงพยาบาลใหญ่เพื่อทำการปลูกถ่ายตับเธอก็จะสามารถรอดชีวิตได้ แต่ดูจากสภาพตอนนี้แล้วเธอคงจะไม่สามารถทำแบบนั้นได้

“ มันแปลกนะ ปกติพี่สาวซูมักจะอยู่ในบ้านนี้น่า? ” หลี่เซียวหยูมองไปรอบๆห้องด้วยสีหน้าที่งุนงง

หนิงเถาตอบว่า “พี่สาวของหนูอาจจะอยู่บนหลังคา ทำไมหนูถึงไม่ไปหาดูละ” จากนั้นเขาก็เสริมว่า “และหนูช่วยบอกให้พี่ซูหยาเอากล่องไม้มาคืนลุงด้วยนะ”

“คุณลุงเป็นหมอเหรอ?” หลี่เซียวหยูถามออกมาอย่างสงสัย

หนิงเถาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว! หนูรีบหน่อยนะ”

“คุณลุงจะช่วยรักษาผู้อำนวยการโจวได้ไหม?” หลี่เสี่ยวหยูถามออกมาด้วยความหวัง

“แน่นอนสิ!” หนิงเถายังคงตอบกลับด้วยร้อยยิ้มเช่นเดิม

“ดีจัง! งั้นเดี่ยวคุณลุงรออยู่ที่นี้ก่อนนะค่ะ หนูจะไปตามพี่ซูหยามาทันที!” หลี่เสี่ยวหยูรีบพูดก่อนที่จะหันตัวออกจากห้องไป

หนิงเถาที่เห็นแบบนั้นเขาก็ได้เดินมาถึงข้างเตียงโดยไม่รู้ตัวเอาตัว ก่อนที่เขาจะพยายามคว้าหาบัญชีแยกประเภทใบไผ่ออกมา แต่เมื่อเขาหาเท่าไหร่ก็ไม่เจาเขาก็รู้ว่าบัญชีนั้นได้รวมอยู่ในกล่องไม้นั้น

โจวหยูเฟิงที่นอนอยู่บนเตียงก็ค่อยๆลืมตาขึ้น เธอมองหนิงเถาและพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอว่า “ฉันได้ยินเรื่องที่คุณพูดกับเสี่ยวหยู … ไอ ไอ … “

หนิงเถารีบเอนตัวไปที่เตียงแล้วตอบอย่างกระวนกระวายว่า “ป้าโจว! พูดช้าๆครับ และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น มันไม่ได้เป็นแบบนั้นครับ”

“ซูหยาไม่ใช่เด็กไม่ดี … เธอ ที่เธอขโมยของนั้นเป็นเพราะเธอทำเพื่อให้เด็กๆในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ … อย่าฟ้องเธอ … อย่าทำร้ายเธอ … ฉันขอร้องคุณ … ” โจวหยูเฟิงพูดออกมาอย่างร้อนรนและไม่สนใจว่าการกระทำของตัวเองจะส่งผลอะไรต่อร่างกายตัวเองบ้าง

หนิงเถาได้วางมือบนไหล่ของเธอแล้วพูดว่า “ป้าโจวครับ! ป้าไม่ต้องห่วงไปครับ ผมจะไม่ทำร้ายเธอ”

ในความเป็นจริงแล้วถึงแม้โจวหยูเฟิงจะไม่พูดออกมา เขาเองก็มีความตั้งใจที่จะไม่ทำอะไรเธออยู่แล้ว ยิ่งเขาได้เห็นสภาพของเด็กๆที่อยู่ที่นี้เขาก็รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำไปนั้นก็เพื่อให้เด็กมีชีวิตที่ดีขึ้น แล้วแบบนี้จะทำให้เขารู้สึกโกรธได้ยังไง

“คุณลุงฉันเจอพี่สาวซูแล้วค่ะ!” หลี่เซียวหยูวิ่งเข้าไปที่ประตูพร้อมกับมองไปทางหนิงเถาอย่างจริงจัง ราวกับว่าเธอได้ทำภารกิจสำคัญเสร็จแล้ว

หนิงเถาได้หันมาและเห็นหลี่เสี่ยวหยูที่เดินนำหน้าผู้หญิงที่ชื่อซูหยา เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่เขาพบที่ร้านสแน็คบาร์จริงๆ เธอได้ยืนอยู่ข้างนอกประตูรู้สึกประหม่า

“นาย … ” ซูหยาต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี

“ป้าโจว! ป้าควรจะพักผ่อนให้มากๆ เดี่ยวผมจะออกไปคุยอะไรกับซูยาเล็กน้อยแล้วผมจะกลับมารักษาป้านะครับ” หนิงเถาพูดจบก็ได้เดินออกจาห้องไป

โจวหยูเฟิงที่เห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจและไม่พูดอะไรออกมาอีก

“คุณลุง! งั้นหนูจะไปที่ร้านขายขนมใกล้ๆนี้กับเพื่อนได้ไหม?” หลี่เสี่ยวหยูถามหนิงเถา

หนิงเถาเอื้อมมือออกมาแล้วลูบหัวเธอเบาๆ “ แน่นอน” เขาพูดออกมาพร้อมกับยิ้ม

หลี่เสี่ยวหยูทีได้ยินแบบนั้นก็รีบวิ่งหนีไปทันที

ซูหยาที่เห็นแบบนั้นพูดว่า “นายหาฉันเจอได้ยังไง?”

หลี่เสี่ยวหยูมองกลับไปที่พี่ซูหยา ไม่เข้าใจว่าพวกพี่ทั้งสองพูดอะไรกัน แต่เมื่อเธอคิดว่าพวกเพื่อนๆกำลังรอเธออยู่ เธอก็ไม่สนใจอันอีกและรีบออกไปทันที

 

OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYSELF

OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYSELF

บทนำ นักศึกษาแพทย์ที่ยากจนคนหนึ่งได้เข้าไปช่วยชีวิตสุนัขสีดำที่ได้รับบาดเจ็บจากบนถนนโดยไม่ตั้งใจ แต่เขาไม่คิดว่านั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวมหัศจรรย์พันธ์ลึก และทำให้เขาได้รู้จักกับคลินิกลึกลับอย่างคลินิกนภา ตัวคลินิกเองยังมีกฎที่เป็นข้อบังคับที่ว่าถ้าหากเขาไม่สามารถจ่ายค่าเช่าได้ตรงเวลา จำนวนชีวิตน้อยๆของเขาจะต้องถูกหักออกไปทดแทนในส่วนที่ขาดไป เพื่อความอยู่รอดหนิงเถาผู้ที่พึ่งจะก้าวเข้ามาเป็นผู้ฝึกตนมือใหม่และโลกใบใหม่นี้ จะต้องพยายามหาความดีและความชั่วเพื่อนำมาเป็นค่าเช่า นี่เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มธรรมดาผู้หนึ่งที่ได้รับหน้าที่เป็นทั้งนักบุญและปีศาจ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset