OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYSELF – ตอนที่ 30 ความสับสน

บทที่ 30 ความสับสน

 

ควันสีดำและควันสีขาวบนขาตั้งธูปได้หมุนวนขึ้นและลงก่อนที่จะกระจายไปทั่วห้อง ฉากนี้ดูเหมือนแผนภาพไทเก็กที่มีความลับของสวรรค์

หนิงเถานั่งไขว่ห้างต่อหน้ากระถางธูปและเริ่มที่จะฝึกตามวิธีการฝึกฝนขั้นพื้นฐานซ้ำแล้วซ้ำอีก พลังงานบุญและพลังงานบาปที่ลอยอยู่ต่างก็ถูกดูดเข้ามาในจุดระหว่างคิ้วของเขาทีละนิด ก่อนที่จะเปลี่ยนพลังงานนั้นให้ไปเป็นพลังงานจิตวิญญาณของเขาเอง …

ตลอดทั้งคืนผ่านไปแบบนี้

หนิงเถาได้เข้าสู่โลกร่างกายของเขาอีกครั้งเพื่อดูว่าพลังจิตวิญญาณของตัวเองพัฒนาขึ้นไปขนาดไหน พระราชวังของเขายังคงเป็นแบบนั้นเดิมคือยังพังมิพังแหล่ ส่วนพลังงานจิตวิญญาณทั้งสองของเขากับมีการเปลี่ยนแปลง พวกมันดูแข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้

เมื่อเห็นแบบนั้นหนิงเถาได้พยายามอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนพลังทางจิตวิญญาณให้กลายเป็นไฟการเล่นแร่แปรธาตุ แต่มันก็ยังล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขารู้สึกร้อนบนฝ่ามือซึ่งทำให้เขาตื่นเต้นไปกับมัน แม้ว่าในเวลาต่อมาเขาจะล้มเหลวก็ตาม แต่นี้ก็แสดงให้เห็นว่าเขามาในทางที่ถูกต้องแล้ว ตราบใดที่เขาฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งเขาก็จะสามารถเปลี่ยนพลังจิตวิญญาณของเขาให้กลายเป็นไฟการเล่นแร่แปรธาตุได้ และเมื่อพลังจิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นมากพอเขาก็สามารถปรับแต่งยาอายุวัฒนะขั้นต้นได้

หนิงเถาได้ทานอาหารเช้าที่ข้างถนน ก่อนที่จะกลับไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ซันไชน์

ในแท็กซี่หนิงเถาพยายามโทรหาซูหยาอีกครั้ง แต่เขาก็ยังไม่สามารถติดต่อได้ มันยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวล

เมื่อมาถึงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซันไชน์ หนิงเถาก็ตรงไปที่ห้องของซูหยาอีกครั้ง ในครั้งนี้มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ในห้องไม่มีร่องรอยการกลับมาของซูหยา

หลี่เสี่ยวหยูเองก็มายืนอยู่ที่ทางเข้าประตูพร้อมกับแสดงหน้าเป็นกังวล “ ลุงหนิง! พี่สาวจะถูกลักพาตัวโดยคนไม่ดีไหม?”

“ไม่ใช้หรอก! พี่สาวซูเป็นคนฉลาดมาก แล้วเธอจะถูกคนไม่ดีจับไปได้ยังไงกัน” หนิงเถาเองก็ไม่มั่นใจมากนัก แต่เขาก็เลือกที่จะปลอบใจเธอ

“ทำไมพี่ถึงยังไม่กลับมาอีกล่ะ?” หลี่เสี่ยวหยูได้นับนิ้วของเธอแล้วพูดว่า “พี่สาวซูไม่ได้กลับมาสองวันแล้ว”

หนิงเถาลูบหัวของเธอเบาๆเพื่อเป็นการปลอบเธอ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วงไป ลุงสัญญาว่าจะรีบไปพาตัวซูหยากลับมาเร็วๆนี้”

“จริงนะ!!” หลี่เสี่ยวหยูได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมา ก่อนที่เธอจะกลับไปเล่นกับกลุ่มเพื่อนๆตามเดิม

หนิงเถาที่เห็นแบบนั้นก็ปิดประตูแล้วเริ่มสูดดมแล้วดมกลิ่นทั้งหมดที่อยู่ในห้องนี้เข้าไปในจมูกอีกครั้ง

ทุกอย่างในห้องดูเหมือนปกติ แต่เขากับรู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้อง

แน่นอนว่าในไม่ช้าจมูกของเขาก็รับกลิ่นของมนุษย์จากอากาศและพื้นดินได้ มันไม่ใช่กลิ่นของจี๋หมิง แต่มันเป็นของคนแปลกหน้า กลิ่นนี้มันเต็มไปด้วยทรายและสนิม

ถึงแม้ว่าชายคนนั้นจะลบร่องรอยทั้งหมดของการมาเยี่ยมห้องออกไปทั้งหมด ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาข้อพิรุธเจอ แต่มันไม่ใช้สำหรับหนิงเถาที่สามารถดมกลิ่นได้

“ เป็นกลิ่นของผู้ชาย! ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้ต้องมาที่นี้เพื่อสิ่งที่ซูหยาซ่อนเอาไว้ใต้เตียงแน่นอน หรือว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอกัน?” หนิงเถาเริ่มครุ่นคิดไปในทางที่ร้ายแรงที่สุด

เขาคิดว่าจะโทรหาตำรวจ แต่เขาไม่กล้าทำแบบนั้นเพราะกลัวว่าคนที่ถูกลักพาตัวซูหยาจะทำอะไรสุดขั้วหลังจากเขาเรียกตำรวจมา

เขาตามกลิ่นไปที่หน้าต่างแล้วปีนออกไปที่ผนังด้านหลัง มีร่องรอยของการปีนขึ้นไปบนกำแพงซึ่งรอยพวกนั้นมันได้รับการจัดการเช่นกัน ถ้าหนิงเถามองไม่ละเอียดมากพอมันก็ไม่มีทางเลยที่จะสังเกตเห็นมัน

สูดลมหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้ง เขาก็ได้กระโดดขึ้นไปด้านบน จากนั้นเขาก็คว้ากำแพงด้วยมือขวาและอีกหนึ่งวินาทีต่อมาเขายืนอยู่บนกำแพงสูงกว่าสองเมตร วินาทีต่อมาเขากระโดดลงจากตัวกำแพงและเดินตามกลิ่นที่เจอไป

ไม่ไกลจากกำแพงด้านหลังเป็นลำธาร กลิ่นของชายคนนั้นได้หายไปในลำธารนี้ ซึ่งหมายความว่าเขาได้เดินอยู่ในลำธารสายนี้ก่อนจากไป

พูดได้ว่ากระแสน้ำเป็นตัวช่วยชั้นดีที่จะกลบกลิ่นตัวเอง ในกรณีนี้แม้แต่สุนัขตำรวจที่เก่งที่สุดก็ไม่สามารถตามหาได้

หนิงเถายืนอยู่ข้างลำธารครู่หนึ่ง จากนั้นกลับไปที่ห้องของซูหยา

เขาขยับเตียงของเธอนิดหน่อยจากนั้นก็ขยับนิ้วของตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะมีเลือดไหลออกมา เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่เห็นเลือดจำนวนนี้ เพราะเขาต้องการใช้มันเป็นตัวสื่อระหว่างห้องนี้กับคลินิกนภาของตัวเอง และยังเป็นตัวรับประกันเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น

หลังจากนั้นหนิงเถาก็ออกจากห้องของซูหยาแล้วมาที่ห้องครัวเพื่อช่วยจี๋หมิงล้างผัก

“เมื่อคืนนี้นายเห็นใครมาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ซันไชน์ไหม?” หนิงเถาถามคำถามอย่างไม่เป็นทางการ

“มีคนมาที่นี่ใครเหรอ?” จี๋หมิงถามกลับ “เมื่อวานนี้มีคู่แดงเดือดฉายฉันได้ดูมันจนดึกแต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครนะ? ” หลังจากหยุดไปซักพักเขาเสริมว่า “มีอะไรหายไปเหรอ?”

“ ไม่! ฉันก็แค่กังวลเรื่องความปลอดภัยของเด็กๆ ก็เลยถามไปเท่านั้น” หนิงเถาพูดต่อว่า “และอีกอย่างมันจะมีอะไรหายได้กัน นายก็เห็นว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านี้ไม่มีแม้แต่เครื่องใช้ในบ้านเลย แล้วแบบนี้จะมีขโมยสติดีคนไหนอยากมาขโมยของกัน”

“ ก็จริงของนาย! ถ้าฉันเป็นโจรก็คงไม่มาขโมยของที่นี้เหมือนกัน” จี๋หมิงตอบกลับมาแบบเห็นด้วย

“แล้วนายคิดยังไงกับการทำงานที่นี้?” หนิงเถาพยายามเปลี่ยนหัวข้อเรื่องพูด เขาไม่คิดจะบอกความจริงกับจี๋หมิงเพราะเขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมีส่วนร่วมในเรื่องนี้

จี๋หมิงที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มและตอบว่า “แน่นอนว่าฉันชอบอยู่กับพวกเด็กๆ ดังนั้นฉันจึงมีความสุขที่ได้ทำงานที่นี่”

“ขอบคุณนะ! พวกเด็กๆเองก็ต้องการนายเหมือนกัน”

“นายกำลังพูดถึงอะไรกัน? ถ้านายยังพูดแบบนั้นอีกฉันกับนายไม่ถือว่าเป็นเพื่อนกัน เข้าใจไหม? “

หนิงเถาไม่คิดว่าจี๋หมิงเป็นคนแปลกหน้า แต่เขาก็ต้องการขอบคุณเขาจริงๆ

“แล้วผู้หญิงที่มาเมื่อคืนนี้เป็นเป็นยังไงบ้าง? รูปร่างของเธอและรถที่เธอขับมานั้นดูยังไงมันก็ดูแพงมาก ถ้าฉันคิดไม่ผิดรถคันนั้นน่าจะสิบล้านหยวนขึ้น” จี๋หมิงแสดงความความอยากรู้อยากเห็นอย่างมากเกี่ยวกับหลินชิงวู่

“นายถามทำไม?”

จี๋หมิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันก็แค่เป็นห่วงนายเฉยๆ ไม่รู้ว่าที่นายไม่ได้กลับมาเมื่อคืนไปถึงไหนกันแล้ว? ถ้านายต้องการคำปรึกษาเรื่องอย่างว่า…ก็สามารถถามฉันได้ตลอดเวลา เพราะถ้าพูดถึงเรื่องนี้แล้วฉันดูจะมีประสบการณ์มากกว่านาย “

หนิงเถาที่ได้ยินแบบนั้นก็โยนกระเทียมที่อยู่บนมือของเขาไปตรงหน้าผากของจี๋หมิง

จี๋หมิงทำเพียงหัวเราะเบาๆและพูดว่า “ดูสิว่านายทำอะไร? เห็นชัดๆว่านายเป็นเพียงหนุ่มเวอร์จินตัวน้อย นั้น! นายเขินด้วย??”

ถึงมันจะเป็นอะไรที่น่าหัวเราะ แต่เมื่อหนิงเถานึกถึงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นกับซูหยา เขาก็ทำไม่ได้

แหวน แหวน …

ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของหนิงเถาก็ดังขึ้น

“มันมาจากผู้หญิงที่ชื่อหลินเมื่อคืนใช้ไหม?” จี๋หมิงขยับเข้าใกล้หนิงเถาอย่างตื่นเต้น

หนิงเต่าหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วดูว่าเป็นหมายเลขของใครที่โทรมา ปรากฏว่ามันคือเจียงเฮาที่เป็นคนโทรมา

“โอ้! ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นคนดีเช่นกัน เธอมีขาที่ดีและมีใบหน้าที่สวย แต่เธอก็ค่อนข้างมีนิสัยดุร้ายไปบ้างเท่านั้น” จี๋หมิงเองก็เห็นว่าเป็นใครโทรมา ดังนั้นเขาจึงได้แสดงความคิดเห็นของตัวเองออก

หนิงเถาที่ได้ฟังแบบนั้นก็กลอกตาไปที่จี๋หมิง จากนั้นเขาก็ได้เดินออกจากครัวและรับโทรศัพท์ “สวัสดีเฮา! เกิดอะไรขึ้น?”

“ฉันมีอะไรบางอย่างที่จะถามนาย นายสะดวกที่จะเจอกันไหม?” เจียงเฮาถามออกมา

“ ได้! ไม่มีปัญหาแล้วจะให้ฉันไปเจอเธอที่ไหนละ? เพราะฉันเองก็มีเรื่องอยากจะคุยกับเธอเหมือนกัน” หนิงเตาเองก็ต้องการปรึกษาเรื่องของซูหยาพอดี

“ฉันอยู่ที่กลางเมือง งั้นฉันจะรอนายอยู่แถวนี้ก็แล้วกัน ” เจียงพูดจบก็ได้วางสายไป

หนิงเถาวางโทรศัพท์แล้วตะโกนไปที่ห้องครัว “จี๋หมิง!  ฉันจะออกไปซักพักนายช่วยดูแลพวกเด็กๆด้วย “

จี๋หมิงที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหาร ก็ได้ตะโกนออกมาจากห้องครัวว่า “โอเค! นายรู้ตัวไหมว่าพูดมากกว่าแม่ของฉันอีก!”

หนิงเถาทำเพียงยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะเดินไปที่ประตูด้วยสีหน้าไม่ดีนัก

“ลุงหนิง! ลุงต้องพาพี่สาวซูหยากลับมาให้ได้นะ!” หลี่เสี่ยวหยูที่เห็นว่าหนิงเถากำลังจะออกไปข้างนอกอีกครั้ง เธอก็ได้วิ่งมาพร้อมกับร้องไห้

หนิงเถาที่เห็นแบบนั้นพยักหน้าและพูดว่า “ไม่มีปัญหา ช่วงที่ลุงไม่อยู่ที่นี้หนูก็อย่างดื้อกับลุงจี๋หมิงละเข้าใจ้ไหม? “

“เข้าใจแล้วค่ะ” หลี่เสี่ยวหยูตอบออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม

หนิงเถาออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซันไชน์ เขาไม่เห็นแท็กซี่จนกว่าเขาจะไปถึงชุมชนแห่งความสุข

คนขับเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างแข็งแรงและแต่งตัวแบบสบายๆ

หนิงเถาเข้ามาในรถแล้วบอกคนขับถึงปลายทางที่เขาจะไป

จากนั้นรถก็เริ่มเคลื่อนและมุ่งหน้าไปยังตัวเมือง ภูเขาได้พุ่งผ่านหน้าต่างและลดระดับลง

หนิงเถานั่งอยู่ที่เบาะหลังกำลังคิดเกี่ยวกับซูหยา เขาสัญญากับผู้อำนวยการโจวว่าจะช่วยดูแลลูกๆของเธอ แต่เพียงไม่กี่วันเขาไม่เพียงแต่ดูแลซูหยาไม่ดีแม้แต่ผู้อำนวยการโจวก็ยัง “หนีไปจากบ้าน” ทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้สึกผิด

“ชายหนุ่ม! คุณมีเรื่องไม่สบายใจอยู่ใช้ไหม?” คนขับรถแท็กซี่ได้ทำลายความเงียบในรถ

หนิงเถารวบรวมความคิดของเขากลับมาและสบตาของอีกฝ่ายผ่านกับกระจกมองหลัง “แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมมีเรื่องไม่สบายใจ” เขาถามกลับด้วยเสียงเรียบๆ

สายตาที่มองผ่านกระจกมองหลังคนขับรถแท็กซี่นั้นดูเรียบง่ายเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะมีรอยยิ้มแปลกๆแสดงออกมา “ฉันเป็นคนที่มองคนออกค่อนค้างดี และอีกอย่างฉันก็เป็นพวกที่เก่งในการสังเกตคนอื่น ทำไมคุณไม่ลองดูว่าฉันพูดถูกหรือเปล่า”

หนิงเถารู้สึกตื่นตระหนก “โอเค! คุณลองพูดสิ”

ในขณะนั้นจมูกของเขาสั่นเล็กน้อยและเริ่มใช้ทักษะดมกลิ่น ในทันใดเขาได้กลิ่นที่คุ้นเคย เป็นที่แน่ชัดว่าคนขับรถแท็กซี่เป็นคนที่บุกเข้าไปในห้องของซูหยาเมื่อคืนที่ผ่านมา!

“เพื่อนคนหนึ่งของคุณหายไปใช้ไหม? และตอนนี้คุณเองก็กำลังพยายามหาเธออยู่?” คนขับรถแท็กซี่พูดอย่างลึกลับ โดยไม่รู้ตัวว่าตัวตนที่แท้จริงของตัวเองนั้นถูกหนิงเถามองออกแล้ว

“คุณรู้ได้ยังไง?” หนิงเถาไม่ได้บอกเรื่องที่เขารู้ตัวตนของอีกฝ่าย เขาทำเพียงเล่นไปตามบทที่อีกฝ่ายว่างเอาไว้

คนขับแท็กซี่ที่เห็นแบบนั้นก็พูดว่า “คุณไม่ต้องรู้ว่าฉันรู้ได้ยังไง? คุณรู้เพียงแค่ว่าถ้าคุณต้องการให้เพื่อนของคุณปลอดภัย คุณแค่ต้องทำตามที่ฉันพูด”

ทันใดนั้นหนิงเถาก็ได้เอื้อมมือคว้าไหล่ของคนขับรถแท็กซี่และถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “ ซูหยาอยู่ที่ไหน? บอกฉันมา!”

ทันใดนั้นรถแท็กซี่ก็ได้มาหยุดอยู่ที่ป้ายหยุดฉุกเฉินที่ด้านข้างถนน

คนขับรถแท็กซี่มองกลับไปที่หนิงเถาโดยขู่ว่า “คุณควรสงบสติอารมณ์ดีกว่า! ถ้าคุณไม่ต้องการให้เพื่อนของคุณได้รับอันตรายไปด้วย”

หนิงเถาที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้มองคนขับรถแท็กซี่ด้วยสายตาที่พร้อมจะฆ่าอีกฝ่ายได้ตลอดเวลา

คนขับรถแท็กซี่ทำเป็นมองไม่เห็นสายตานั้น ก่อนที่เขาจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากชั้นวางถัดจากที่นั่งของเขา และยื่นออกไปที่หนิงเถาและพูดว่า “ลองดูนี้ก่อน”

หนิงเถาได้ปล่อยไหล่ของคนขับรถแท็กซี่แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

ในนั้นเป็นวิดีโอที่กำลังเล่นอยู่ มันมีแสงไฟสลัวและซูหยาถูกผูกไว้กับเก้าอี้เหล็กที่มีเศษผ้าอยู่ในปากของเธอ เธอเต็มไปด้วยเลือดและดูตึงเครียดมาก

ชายสวมหน้ากากปิดหน้าเดินมาหาเธอและเอื้อมมือไปดึงผ้าขี้ริ้วออกมาจากปากของเธอ

ซูหยาที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็พยายามพูดขึ้น “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย ฉันอยู่ใน … “

ก่อนที่ซูหยาจะพูดจบ เธอก็ถูกชายสวมหน้ากากเอาเศษผ้าใส่กลับเข้าไปในปากของเธอ

“วู … แสวงหา … ” ซูหยาต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอก็ทำไม่ได้

จากนั้นวิดีโอก็จบลง

แตก! โทรศัพท์ระเบิดในมือของหนิงเถา ก่อนที่ชิ้นส่วนพวกนั้นหล่นจากมือของเขาไป

คนขับรถแท็กซี่พูดเบาๆว่า “ฉันเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไงในขณะนี้ แต่ฉันยังแนะนำให้คุณใจเย็นๆ ไม่อย่างนั้นเพื่อนของคุณจะหายไปจากโลกนี้เข้าใจไหม?”

หนิงเถาพยายามหยุดความโกรธของเขาลงและถามว่า “เพื่อนของฉันอยู่ที่ไหนตอนนี้?”

“ ฉันคิดว่าคุณควรถามเราในสิ่งที่เราต้องการมากกว่า” คนขับแท็กซี่พูดต่อว่า “เพื่อนของคุณได้ขโมยของจากเจ้านายของฉันไป ตราบใดที่คุณนำมันมาให้ฉัน ฉันสัญญาว่าจะปล่อยให้เพื่อนของคุณเป็นอิสระ”

หนิงเถารู้ว่าพวกนั้นต้องการอะไร แต่เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ “ฉันไม่รู้ว่าแกกำลังพูดถึงอะไร? เพื่อนของฉันได้ขโมยอะไรไปจากเจ้านายของแก”

ทันใดนั้นเสียงคนขับรถแท็กซี่ก็กลายเป็นเย็นชามากขึ้น “อย่าแกล้งทำเป็นว่าคุณไม่รู้! ถ้าคุณต้องการให้เพื่อนของคุณมีชีวิตอยู่ คุณควรจะมอบมันให้ฉัน!”

หนิงเถาพยายามหาเบาะแสเกี่ยวกับของสองสิ่งนี้ ถึงแม้ว่าจะรู้แค่ชื่อก็ยังดี น่าเสียดายที่คนขับรถแท็กซี่เองก็ไม่รู้เกี่ยวกับของสิ่งนี้มากนัก เขาหยุดไปซักพักก่อนที่เขาจะพูดต่อว่า “ตอนนี้ฉันไม่มีสิ่งที่แกต้องการ ทำไมแกไม่ให้เวลาของฉันไปหาของนั้นก่อน โดยที่แกเป็นคนกำหนดเงื่อนไขมาว่าจะเอายังไง ไม่ว่าจะเป็นกรอบเวลา สถานที่ แกบอกมาได้ ฉันจะพยายามหาของและไปให้ตรงเวลา “

“ดี! อย่างน้อยคุณก็รู้ว่าควรทำตัวยังไง! คุณรอรับโทรศัพท์ก็พอ แต่ฉันอยากจะบอกเอาไว้ก่อนว่าอย่าโทรหาตำรวจ ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ลงจบลงไม่สวยอย่างแน่นอน!” คนขับแท็กซี่พูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง

หนิงเถาไม่ได้พูดอะไรก่อนที่เขาจะเปิดประตูออกจากรถ แต่เมื่อเขากำลังจะปิดประตูเขาก็พูดจาข่มขู่เช่นกัน “ฉันเองก็อยากจะเตือนนายและเจ้านายของนายถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนของฉันหรือพวกนายทำร้ายเธออีกครั้ง พวกนายต้องขอร้องให้ฉันรีบฆ่าพวกนายเร็วๆจะดีที่สุด”

ดูเหมือนวาคนขับรถแท็กซี่จะไม่คิดแบบนั้น เขาทำเพียงแสดงรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา ก่อนที่จะขับรถจากไป

หนิงเถาเองก็ไม่ได้เดินจากไปทันที เขาได้มองดูรถแท็กซี่คันนั้นจากไปสายตาที่โหดเหี้ยม

OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYSELF

OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYSELF

บทนำ นักศึกษาแพทย์ที่ยากจนคนหนึ่งได้เข้าไปช่วยชีวิตสุนัขสีดำที่ได้รับบาดเจ็บจากบนถนนโดยไม่ตั้งใจ แต่เขาไม่คิดว่านั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวมหัศจรรย์พันธ์ลึก และทำให้เขาได้รู้จักกับคลินิกลึกลับอย่างคลินิกนภา ตัวคลินิกเองยังมีกฎที่เป็นข้อบังคับที่ว่าถ้าหากเขาไม่สามารถจ่ายค่าเช่าได้ตรงเวลา จำนวนชีวิตน้อยๆของเขาจะต้องถูกหักออกไปทดแทนในส่วนที่ขาดไป เพื่อความอยู่รอดหนิงเถาผู้ที่พึ่งจะก้าวเข้ามาเป็นผู้ฝึกตนมือใหม่และโลกใบใหม่นี้ จะต้องพยายามหาความดีและความชั่วเพื่อนำมาเป็นค่าเช่า นี่เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มธรรมดาผู้หนึ่งที่ได้รับหน้าที่เป็นทั้งนักบุญและปีศาจ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset