Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก – ตอนที่ 63

​ตอนที่ 63 ฟาร์มาและการทดสอบระบบสืบพันธุ์

 

นี่ก็ล่วงเลยมาถึงเดือนพฤษภาคม ปีจักรวรรดิ 1147 หลังจากที่ฟาร์มากลับมาจากบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ เขาแทบจะลืมไปว่านี่ก็เกือบครึ่งปีแล้วตั้งแต่การเปิดตัวโรงอาบน้ำสาธารณะของจักรวรรดิแห่งแรก ปัจจุบันโรงอาบน้ำถึงห้าแห่งก็ได้ทำการก่อสร้างเสร็จสิ้นจนสามารถเปิดได้เรียบร้อยตามที่จักรพรรดินีได้รับสั่งให้สร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่ฟาร์มาผู้มีผลงานอันยิ่งใหญ่เมื่อครั้งเหตุการณ์กาฬมรณะ

 

เขาถูกเชิญให้เข้าไปใช้โรงอาบน้ำกลางแจ้งซึ่งตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเล็กๆ เขตชานเมืองของเมืองหลวง โดยมีระเบียงหินปูนสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งผ่านการตกตะกอนมาตลอดหลายปีที่สามารถมองวิวจากจุดนั้นได้ไกลสุดสายตา น้ำร้อนที่ไหลออกมาถูกเติมเต็มอยู่ภายในบ่อนั้นได้สะท้อนเข้ากับแสงแดดเป็นสีน้ำเงินทำให้เกิดภาพที่สวยงามน่าตื่นตา

 

แน่นอนว่าบางส่วนของโรงอาบน้ำถูกปกคลุมไปด้วยโดมขนาดใหญ่ซึ่งเหลื่อมมาถึงบริเวณลานหินขั้นบันไดบางส่วนเผื่อในกรณีที่เกิดฝนตกขึ้น และยังมีบ่อในร่มอีกจำนวนมากเป็นทางเลือก เรียกได้ว่าเป็นการก่อสร้างที่ถูกคิดคำนวณมาเป็นอย่างดีแล้ว

 

 

(ทำไมรู้สึกว่ามันเหมือนกับปามุกคาเลของเฮียราโปลิสจังเลยนะ)

 

ฟาร์มาได้แต่รู้สึกทึ่งกับภาพที่เห็น

 

“เป็นไงบ้างล่ะ ฟาร์มาแค่เห็นก็รู้แล้วใช่ไหมว่ามันยอดเยี่ยมขนาดไหน”

 

จักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟซึ่งกำลังแช่น้ำในร่างเปลือยเปล่าอยู่ข้างๆ เขากำลังเริ่มอวดโฉมบ่อน้ำพุร้อน แห่งใหม่ของเธอ แน่นอนว่าเธอก็ยังคงมีร่างกายอันวิจิตรเช่นเดิม

 

 

(ดูตาของเธอที่กำลังส่องประกายขณะคุยนั่นสิ)

 

“พ่ะย่ะค่ะ บ่อน้ำพุร้อนของฝ่าบาทแห่งนี้ช่างเต็มไปด้วยภาพของธรรมชาติที่แสนงดงามจริงๆ”

 

ข้ารับใช้ที่อยู่ข้างหลังของเธอก็กำลังขัดแผ่นหลังให้กับพวกเขาอยู่ ขณะนั้นก็มีสายตาหลากหลายคู่ที่จ้องมองไปยังฟาร์มาซึ่งเป็นเพศชายเพียงผู้เดียวในที่แห่งนี้ ซึ่งทำให้เขาอึดอัดพอสมควรเลยทีเดียว

 

 

(แล้วทำไมเราต้องกลับมาแช่บ่อเดียวกับองค์จักรพรรดินีอีกแล้วล่ะเนี่ย..! มันต้องมีสาเหตุบ้างสิว่าทำไมเธอถึงลากเรามาด้วยตลอดแถมไม่ใช่ว่าอีกสามแห่งที่เหลือเราก็ต้องไปแช่กับเธออีกนะ…?)

 

ฟาร์มาถึงกับกลืนน้ำลาย

 

เขาควรจะเบนสายตาไปทางไหนดี ท่าทางของเขาที่แสดงออกมาจะทำให้คนอื่นรู้สึกสงสัยเอาไหม สืบเนื่องจากมาองค์จักรพรรดินีบอกว่าจะไม่ทำแบบเหตุการณ์ครั้งก่อนอีกแล้วเพราะคงไม่สนุก เธอจึงได้จัดเตรียมเซอร์ไพรส์ชุดใหญ่กว่าเดิมมารอรับเขาแทน

 

 

“ว้าว ความแตกต่างระหว่างสีฟ้าเข้มของน้ำกับหินสีขาวสดใสนี่ช่างงดงามจริงๆ ช่างเป็นทัศนียภาพที่น่าจดจำจริงๆ เพคะ ฝ่าบาท!”

 

เขาได้ยินเสียงที่แสนจะคุ้นเคย

 

 

(นี่แหละนะเซอร์ไพรส์ที่เธอเตรียมมา…)

 

ใช่แล้วไม่ใช่เพียงฟาร์มาแค่คนเดียวที่จักรพรรดินีเชิญ ในครั้งนี้เอเลนก็ได้รับเชิญด้วย จากครั้งก่อนปฏิกิริยาของฟาร์มาที่บ่อน้ำพุร้อนนั้นดูจะไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่ เธอจึงได้ทำการเชิญแขกคนอื่นๆ มาด้วยและก็เป็นไปตามคาดกับเสียงชมที่ได้รับ ราวกับมันตอบสนองความต้องการที่จะได้ยินของเธออย่างชัดเจน

 

 

(นี่สินะเหตุผลที่เธอเรียกเรามาด้วย ปล่อยผมไปเถอะครับ แบบนี้มันเป็นการล่วงละเมิดทางเพศกันชัดๆ เลย!)

 

 

“อ้าว แว่นเริ่มจะมีฝ้าขึ้นซะแล้วสิ!”

 

 

(ก็ต้องแบบนั้นแหงอยู่แล้วสิ ไม่ใช่ว่าเธอตั้งใจแต่แรกหรอกเหรอ?)

 

เอเลนเอาแต่กังวลว่าเรื่องของฝ้าที่ขึ้นอยู่บนแว่นของเธอ

 

 

“เจ้านี่ก็ตลกดีนะ เอเลโอนอร์”

 

จักรพรรดินียิ้มให้กับเอเลน

 

 

“ไม่ขนาดนั้นหรอกเพคะ แต่อย่างไรกระหม่อมก็ต้องขอบพระทัยสำหรับคำชมนั้นจริงๆ …!”

 

 

(เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เรียกว่าชมได้เหรอ)

 

ฟาร์มาย่อตัวลงแช่ภายในน้ำมากกว่าเดิม เอเลนดูท่าจะเพลิดเพลินอยู่กับบ่อน้ำพุร้อนมากจริงๆ เพราะเธอเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจถึงการมีอยู่ของฟาร์มาเลยในขณะนี้

 

“แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าควรรู้ไว้หน่อยนะเอเลโอนอร์ หน้าอกของเจ้านี่ดูเหมือนมันจะไม่ประมาณตนเอาเสียเลยนะ”

 

 

“ว้าย ฝ่าบาท พระองค์มองไปตรงไหนกันเพคะ!”

 

 

“ก้อนเนื้อแน่นๆ แบบนั้นมันจะให้ความรู้สึกแบบไหนกันนะ ไหนเอามาให้เราลองหน่อยซิ”

 

หากให้เทียบหน้าอกอันอวบอิ่มของเอเลนที่ราวกับได้รับพรจากเทพธิดา หน้าอกของจักรพรรดินี้นั้นแม้จะเล็กกว่าแต่ก็มีรูปทรงที่ดีและได้ทรงกว่า ถึงจะบอกแบบนั้นก็ใช่ว่าเธอจะไม่เกิดความอิจฉาเสียหน่อย จักรพรรดินีได้ทำการจ้องมองหน้าอกของเอเลนขณะถูมือไปมา

 

[Note : Hehe boi]

 

 

“ว้าย!! อย่านะเพคะฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย!!”

 

“จับไปก็ใช่มันจะเล็กลงเสียหน่อยนี่ อื้ม…ยอดเยี่ยมจริงๆ”

 

“ถึงมันจะไม่ได้เล็กลงก็เถอะเพคะ!!!”

 

เอเลนที่รู้สึกว่าหากปล่อยไปนานกว่านี้อาจจะอันตรายเอาได้จึงได้ลุกขึ้นยืนเพื่อหนี จังหวะนั้นเองฟาร์มาก็รีบหันหน้าหนีให้กับภาพที่ตนเห็นอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่พ้นต้องมาสบตา ลอตเต้ซึ่งก็แช่อยู่ในบ่อนี้ด้วยเช่นกัน

 

 

(อ๊ะ จะว่าไปก็มีอีกคนนี่นา!)

 

ลอตเต้นั้นมีความรู้สึกอายที่จะต้องมาเผยร่างกายของตนหลังจากเข้ามายังห้องแช่รวม นอกจากนั้นเธอยังรู้สึกกลัวการที่ต้องเข้ามาแช่น้ำกับจักรพรรดินีอีกต่างหาก เธอจึงได้แต่หลบอยู่ภายในมุมหนึ่งของบ่อขณะคิดถึงร่างกายของตนที่ยังไม่เจริญเติบโตอย่างเต็มที่จนขาดความมั่นใจ

 

ลอตเต้ขณะนี้ได้รวบผมขึ้น จนเผยให้เห็นถึงต้นคอของเธอซึ่งมีความน่าดึงดูดทางเพศที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

 

 

“ลอตเต้จัง ทำไมไปแช่อยู่มุมนั้นคนเดียวล่ะ? มาทางนี้สิ”

 

 

“นั่นสิ แบบนั้นฟาร์มาจะไปพอใจได้อย่างไรกันใช่ไหมล่ะ?”

 

จักรพรรดินีล้อเล่นกับลอตเต้ก่อนจะแสดงรอยยิ้มบริเวณมุมปาก

 

 

“มูว ไม่ไหวหรอกค่ะ!”

 

ความอายของลอตเต้นั้นเกินกว่าที่คิดไว้ ถึงฟาร์มาจะบอกให้สงบสติลงก็คงจะไม่ไหว

 

 

“ว่าแต่การเติบโตของชาร์ล็อตเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? พวกเจ้าก็อยากเห็นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”

 

“โถ่ ฝ่าบาทไม่เอาสิเพคะ ยังไงกระหม่อมขอตัวก่อนนะเพคะ!”

 

ลอตเต้ที่กำลังตื่นตระหนก ได้รีบหนีออกจากบ่อแช่อย่างรวดเร็ว

 

(ให้ตายสิ! คนพวกนี้คิดอะไรกันอยู่นะ ไม่ว่าจะทางสายตาหรือทางเสียงก็ไม่แพ้กันเลย!)

 

ฟาร์มาผู้ไม่รู้จะเอาสายตาไปมองตรงไหนดีก็แทบจะเป็นบ้าเลย

 

 

“ฟาร์มาทำไมเจ้าเอาแต่มองไปมาแล้วหน้าแดงแบบนั้นเล่า?”

 

จักรพรรดินีหยอกล้อฟาร์มาอย่างอารมณ์ดี

 

 

“กระหม่อม ไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับปัญหา…..”

 

เสียงภายในใจของฟาร์มากำลังคร่ำครวญออกมา

 

 

“เจ้าทำตัวไม่ถูกอย่างงั้นหรือ”

 

 

“การได้มาแช่น้ำในบ่อรวมแบบนี้ กระหม่อมไม่ค่อยจะคุ้นชินนักพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“… พอพูดถึงบ่อน้ำพุร้อนกันแล้ว บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าไปพบมามันเป็นเช่นไรหรือ?”

 

จักรพรรดินีลดเสียงของเธอลงขณะที่นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้และถามกับฟาร์มา

 

เรื่องที่เขาค้นพบบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์นั้น เขาได้ทำการรายงานให้กับจักรพรรดินีและซาโลม่อนไปแล้ว แน่นอนว่าเอเลนก็ด้วย ถึงจะไม่บอกที่ตั้งจริงๆ ของมันก็เถอะ แต่มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่มนุษย์ธรรมดาจะเดินทางไปถึงที่แห่งนั้นได้

 

 

“แล้วเจ้าเดินทางไปยังอีกฟากของบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์นั้นสำเร็จหรือไม่?”

 

“พ่ะย่ะค่ะ ถึงจะเพียงแค่ครู่เดียว”

 

ฟาร์มาเป็นคนโกหกไม่เก่ง จึงตอบไปตามตรง

 

“อย่างเราจะสามารถเข้าไปยังสรวงสวรรค์นั้นได้หรือเปล่านะ?”

 

“กระหม่อมขออภัยที่ต้องทูลว่า ต่อให้เป็นฝ่าบาทก็คงไม่อาจข้ามไปยังอีกฝั่งได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”

 

“โถ่ อย่าพูดอะไรเย็นชาแบบนั้นสิ”

 

ฟาร์มาปฏิเสธความหวังของเธอ เธอจึงทำได้เพียงนั่งงอนแก้มป่องกับคำพูดนั้น

 

 

“ต่อให้เป็นกระหม่อมก็ไม่ต่างหรอกพ่ะย่ะค่ะ เพราะหลังจากที่กระหม่อมเข้าไปแล้ว ไม่นานนักกระหม่อมก็ถูกส่งกลับมายังโลกแห่งนี้ทันที”

 

ฟาร์มาพูดขณะคิดว่าจักรพรรดินีจะต้องผิดหวังกับเรื่องนี้มากแน่ๆ

 

 

“…แม้กระหม่อมจะอธิบายให้ละเอียดไม่ได้ แต่มันเป็นสถานที่ที่เหมือนกับห้องห้องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

 

ถึงจะบอกไปว่าห้องนั้นเป็นสถานที่ทำงานในอดีตของฟาร์มา ก็คงจะไม่เข้าใจอยู่ดี

 

 

“แล้วทำไมเจ้าไม่ถ่ายรูปมันเอาไว้ล่ะ? ไม่คิดจะใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยหน่อยหรือไง?”

 

“นั่นสิ ไว้โอกาสหน้ากระหม่อมจะทำเช่นนั้นก็แล้วกัน…”

 

เขาไม่คิดว่าควรจะแสดงภาพของห้องปฏิบัติการของอีกโลกหนึ่งให้ใครได้เห็น

 

(อ๊ะ พอพูดถึงรูปภาพ ถ้าหยิบเอาพวกพีซีหรือสมาร์ทโฟนมาด้วยน่าจะดีนะ)

 

หากจะนำมันออกมาจากห้องปฏิบัติการก็น่าจะต้องคลุมไว้ด้วยห่อพลาสติกอีกทีเพื่อป้องกันน้ำที่จะเข้าภายในตัวเครื่อง

 

สำหรับพวกสารที่ฟาร์มานำออกจากห้องปฏิบัติการมาด้วยนั้น พอมันมาถึงโลกใบนี้มันก็เปลี่ยนเป็นสมบัติลับภายในทันที และเขาได้แช่พวกมันไว้ที่โกดังของคฤหาสน์เดอ เมดิซิส จนกว่าเขาจะตัดสินใจได้แล้วว่าสามารถรับมือกับมันได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ โดยระหว่างนี้เขาก็จะค่อยๆ ทำการทดลองกับมันไปทีละน้อยแทน

 

“นี่ฟาร์มา”

 

จักรพรรดินีจ้องไปที่ฟาร์มาด้วยสีหน้าที่จริงจัง

 

 

“ฮ่ะ?”

 

 

“เจ้าไม่คิดจะกลับไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วจริงๆ งั้นหรือ?”

 

“…คือว่าเรื่องนั้น…”

 

ในโลกใบนั้นมันไม่เหลือที่สำหรับฟาร์มาแล้ว หากฟาร์มาสามารถช่วยยาคุทานิเอาไว้ได้ เขาอาจจะไม่ตายจากการทำงานหนัก และจะเกิดอะไรขึ้นกับอัตตาของฟาร์มาในตอนนี้กันนะ เขาจะหายไปหรือเปล่าหากเป็นแบบนั้น นั่นคือสิ่งที่เขาคิด

 

(เราจะเป็นยังไงต่อไปกันนะ เราจะกลับไปช่วงเวลาก่อนหน้านั้นได้หรือเปล่า? ยังไงเราก็ตายไปแล้ว ถ้าเราช่วยยาคุทานิได้…บางทีมันก็อาจจะไม่ส่งผลอะไรกับอดีตของเราเองก็ได้ เพราะตัวเราแยกออกมาจากร่างนั้นโดยสมบูรณ์นี่นา อัตตาของเราตอนนี้ก็อยู่ที่โลกนี้แล้วด้วย?)

 

ถ้าทำแบบนั้นได้ จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้และโลกเดิมของเขากันนะ เสียดายที่ฟาร์มาไม่อาจจะจมอยู่กับความคิดนั้นได้นานเพราะตอนนี้มีสายตาของจักรพรรดินีกำลังจ้องมองมาที่เขา

 

“เอาเถอะ เราก็ไม่คิดหรอกว่าตัวเองจะหยุดในสิ่งที่เจ้าเลือกแล้วได้ แต่หากเจ้าจำเป็นต้องกลับไปจริงๆ ขอให้ช่วยชะลอมันลงเสียหน่อยเถิด เราอยากจะให้เจ้าอยู่ที่โลกใบนี้นานที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้”

 

 

“กระหม่อมจะน้อมรับคำขอของฝ่าบาทไว้พ่ะย่ะค่ะ”

 

ฟาร์มาไม่สามารถพูดอะไรกลับไปได้และหรี่ตาลง นั่นคือสิ่งที่เธอมักจะพูดกับเขาอยู่เป็นเสมอ และหวังไว้ให้เขาอยู่กับเธอได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

 

“เรื่องเครียดๆ ก็จบลงไปแล้ว ทีนี้ก็มาเรื่องส่วนตัวกันบ้างเถอะ เจ้าคิดถึงคู่แต่งงานของเจ้าได้บ้างแล้วหรือยัง เรายังไม่เห็นรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยนะ”

 

“เดี๋ยวสิ พระองค์หมายความว่าอย่างไรกัน?”

 

ฟาร์มาถึงกับสะดุ้ง เพราะเขาไม่อยากจะไปคิดถึงเรื่องละเอียดอ่อนแบบนั้นเลย

 

 

“บรูโนยังไม่ได้เลือกคู่ให้กับเจ้างั้นหรือ ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยก็เถอะ เพราะเราได้ยินมาว่ามีคำขอถูกส่งมากองเป็นภูเขาเลยนี่”

 

 

(ไอเรื่องที่คำขอแต่งงานถูกส่งมาจนกองเป็นภูเขานั่นมันอะไรกันน่ะ ใครเป็นคนไปบอกเธอกันเนี่ย?)

 

ฟาร์มาที่ได้ยินเรื่องนี้ก็ได้แต่รู้สึกสงสัย เพราะดูเหมือนจะมีแค่ตัวเขาเพียงคนเดียวที่ไม่เคยได้ยินหัวข้อเรื่องนี้มาก่อนเลย

 

“เราเข้าใจว่าเจ้านั้นพยายามทำหน้าที่ในฐานะแพทย์โอสถอย่างเต็มที่ เราก็แค่สงสัยว่าหากเจ้าแต่งงานไปแล้วจะเป็นเช่นไร…เอาเถอะเราก็แค่สงสัยเท่านั้นเอง”

 

ในยุคสมัยนี้ปัญหาเรื่องการสืบทอดของคนภายในตระกูลชนชั้นสูงนั้นนับเป็นปัญหาที่ใหญ่พอสมควร เรื่องดังกล่าวจึงต้องผ่านการตัดสินใจของผู้เป็นพ่อและแม่อยู่เสมอ

 

การจะคิดถึงเรื่องการแต่งงานกับคนที่ตนรักอาจจะดูเป็นเรื่องเพ้อฝันไปบ้าง

 

ปัจจุบันตัวบรูโนอาจจะพยายามปัดเรื่องนี้ด้วยเหตุผลว่าฟาร์มายังไม่อยากจะแต่งงาน แต่จักรพรรดินีก็อยากจะเตือนฟาร์มาเอาไว้

 

“เจ้าก็อยู่ในวัยที่เหมาะจะแต่งงานแล้วนะ”

 

(จะใช่เหรอ มันจะไม่เร็วไปหน่อยหรือเปล่า?)

 

ว่ากันว่าช่วงอายุที่เหล่าชนชั้นสูงจะเริ่มแต่งงั้นกันนั้นอยู่ที่ 13 ปี และสำหรับผู้ชายนั้นอาจจะไม่มีช่วงอายุที่จำกัดสำหรับการแต่งงาน แต่ดูท่าทางจักรพรรดินีจะปรารถนาให้ฟาร์มารีบแต่งงานเสียเหลือเกิน

 

“พี่ชายของกระหม่อมยังไม่แต่งงานเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นกระหม่อมคิดว่าอยากจะให้พี่ชายของกระหม่อม……”

 

“พี่ชายเจ้าก็ส่วนพี่ชายเจ้า เจ้าก็ส่วนเจ้าสิ และหากเจ้าหาคู่ที่เหมาะสมไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวเราจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้เอง เราจะสรรหาหญิงสาวที่งดงามซึ่งเปี่ยมไปด้วยความสามารถและนิสัยที่ดีให้เอง! เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”

 

(เวรกรรม! งานเข้าแล้วสิ!)

 

 

“อ่ะ – อ่ะ – เอ่อ กระหม่อมก็หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้นฝ่าบาทจะยังกรุณา”

 

ฟาร์มาพยายามเลี่ยงมันโดยการตอบไปผ่านรอยยิ้มของเขา

 

 

“นั่นไม่ใช่เรื่องน่าขันนะ คิดดูสิว่ามันจะดีขนาดไหนหากตื่นเช้าขึ้นมาพบกับภรรยาและบุตรของเจ้าเอง แน่นอนว่าเด็กที่เกิดมานั้นคงจะมีพลังแห่งเทพไปต่างจากตัวเจ้าและเขาคงจะกลายเป็นหนึ่งในสมบัติแสนล้ำค่าของทางจักรวรรดิ”

 

(ตอนนี้เรามีปัญหาแล้วสิ นี่เราต้องมาเลือกคู่แต่งงานเอาตอนอายุ 12 เนี่ยนะ ตอนนี้เรายังไม่สามารถจะรับผิดชอบคนอื่นได้เลยแท้ๆ)

 

สถานการณ์ของฟาร์มาในตอนนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องการแต่งงาน แต่ยังมีเรื่องอื่นให้คิดอีกเป็นกอง ไม่ว่าจะเรื่องตัวตนของเขาที่จะอยู่ในอีกนานแค่ไหน เขาไม่รู้ว่าตนจะอยู่ในร่างของฟาร์มาได้ถึงเมื่อไหร่ อาจจะเป็นสถานการณ์ที่ปกติสำหรับโลกที่มีค่าเฉลี่ยอายุขัยของมนุษย์สั้นกว่าญี่ปุ่นที่ฟาร์มาเคยอยู่ จึงจำเป็นต้องรีบมีบุตร แต่เขาก็อยากจะคิดเรื่องนี้ให้มากกว่านี้เสียหน่อย ถึงตอนนี้จะมีจักรพรรดินีอยู่ตรงหน้าเขาก็ตาม

 

“ถึงตามกฎของจักรวรรดิแล้วจะสามารถมีภรรยาได้เพียงคนเดียว แต่สำหรับเจ้าเราคิดว่าควรจะหาไว้อย่างน้อยสองหรือสามคนนะ เรื่องนี้เราสามารถปิดตาข้างหนึ่งได้อยู่แล้ว เพื่อเป็นหลักประกันสำหรับการสืบทอดสกุลของเจ้า ถึงอาจจะมีหนึ่งในนั้นไม่พอใจอยู่บ้างก็เถอะ”

 

ครั้งนี้เหมือนจะไม่ใช่คำขอแต่เป็นคำสั่ง มันมีไว้เผื่อในกรณีที่ฟาร์มานั้นหายสาบสูญไปจากการเดินทางข้ามไปอีกโลกผ่านบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ เขาจำเป็นจะต้องทิ้งลูกหลานที่มีสายเลือดของเทพโอสถเอาไว้ให้ได้มากที่สุด นั่นคือสิ่งที่จักรพรรดินีกล่าวกับเขาอย่างตรงไปตรงมา

 

 

(คนคนนี้ สมกับเป็นจักรพรรดินีจริงๆ ถึงจะบอกว่าต้องแต่งงานเพื่อทิ้งเชื้อสายลูกหลานของเราเอาไว้ก็เถอะ….)

 

 

ฟาร์มารู้สึกหดหู่ใจขึ้นมา องค์จักรพรรดินีจะรู้สึกถึงความรู้สึกของเขาไหมนะ?

 

 

“เมื่อเวลานั้นมาถึงการจะทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองเอาไว้น่ะ มันไม่เกี่ยวกับการตัดสินใจอะไรทั้งนั้นแหละ แต่มันคือหน้าที่ของชนชั้นสูง เจ้าจงจำเอาไว้”

 

“กระหม่อมทราบถึงบัญชาของพระองค์แล้ว แต่กระหม่อมเพียงสงสัยว่าตนนั้นจะมีร่างกายภายในเหมือนกับคนอื่นหรือเปล่า บางทีร่างกายของกระหม่อมอาจจะไม่สามารถมีบุตรได้ หรือหากแม่ของบุตรคนนั้นเกิดตั้งท้องขึ้นมา นางก็อาจจะมีอันตรายถึงชีวิตเลยก็ได้”

 

หากฟาร์มาจะทำเรื่องนั้นโดยไม่คิดถึงความเสี่ยงใดๆ เลย เขามองว่ามันคงจะเป็นการไร้ความรับผิดชอบมากจนเกินไป

 

ไม่เพียงแต่เขาจะทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เขายังทำร้ายชีวิตเด็กที่จะเกิดมากด้วย ตัวเขาอยากจะมีครอบครัวกับคนที่ตนมีความรู้สึกพิเศษให้และยอมรับซึ่งกันและกัน หากไม่เป็นแบบนั้นก็คงจะเรียกว่าครอบครัวไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ฟาร์มาเชื่อ

 

 

“ในอดีตที่ผ่านมาก็เคยมีกรณีที่เทพผู้พิทักษ์ได้ทิ้งเชื้อสายของตนไว้อยู่บ้าง ถึงตอนนี้จะไม่เหลือเชื้อสายของคนเหล่านั้นแล้วก็เถอะ”

 

 

(ถ้าแบบนั้นก็แปลว่า เราสามารถมีลูกได้สินะ)

 

 

“แล้วพลังแห่งเทพได้ตกทอดมาถึงลูกเขาหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

“โอกาสที่จะสืบทอดพลังมานั้นมีสูงเลยทีเดียว นั่นแหละเป็นเหตุผลที่เราพยายามบอกกับเจ้าเรื่องนี้”

 

เมื่อพ่อและแม่ต่างมีพลังแห่งเทพที่แข็งแกร่งทั้งคู่ บุตรที่เกิดมาย่อมมีโอกาสสืบทอดพลังอันยอดเยี่ยมนั้นสูงตาม

 

 

“แต่เราก็เข้าใจเจ้าที่อาจจะรู้สึกเหมือนถูกบังคับนะ ถ้าเช่นนั้นกับเอเลโอนอร์ล่ะเจ้าคิดว่าอย่างไร?”

 

จักรพรรดินีมองดูใบหน้าของฟาร์มาในระยะใกล้กว่าเดิม เอเลนนั้นมีทั้งพลังแห่งเทพที่แข็งแกร่ง ครอบครัวของเธอก็มีคุณสมบัติที่พร้อม อีกทั้งเธอยังเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ยอดเยี่ยม จักรพรรดินีก็มีความประทับใจในด้านดีต่อเธอ

 

“มิสบอนฟัวถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเลยนะ ทั้งช่วงอายุและอื่นๆ อีกมากมาย ถือว่าเข้ากับเจ้าเลยทีเดียว”

 

พอมีชื่อของคนที่อยู่ข้างหลังเขาขึ้นมาฟาร์มาก็ถึงกับสะดุ้ง ก่อนที่เขาจะพูดกับจักรพรรดินีด้วยเสียงกระซิบแทน

(เอเลนจะไม่ได้ยินเอาเหรอพ่ะย่ะค่ะ มาพูดในที่แบบนี้)

 

“นั่นสินะเราได้ยินมาว่าเจ้าก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับชาร์ล็อตด้วยนี่ แถมเจ้าทั้งสองถึงช่วงวัยนั้นกันทั้งคู่แล้วนี่”

จักรพรรดินีที่เห็นปฏิกิริยาของเธอก่อนหน้านี้ก็อดอมยิ้มไม่ได้ตัวเธอนั้นสังเกตถึงความสัมพันธ์ของฟาร์มากับลอตเต้อยู่แล้วจึงได้พูดขึ้นมา

 

“ฝ่าบาท!”

“ฟุฟุฟุ ไม่ดีหรือ หวังว่าปีหน้าเราจะได้เห็นภรรยาของเจ้านะ ช้าสุดคือภายในปีหน้าเท่านั้นจำไว้….ชักเริ่มกระหายน้ำแล้วสิงั้นเราขอตัวก่อนก็แล้วกัน”

 

จักรพรรดินียิ้มให้กับเขาก่อนจะหันกลับไปแล้วลุกขึ้นจากบ่อแช่ หากฟาร์มามีภรรยาและอาศัยอยู่ภายในจักรวรรดิแล้วจักรพรรดินีบอกกับเขาว่าหากต้องการจะไปยังบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถได้เลยเธอจะไม่รั้ง

 

“ฟาร์มาคุง”

เอเลนที่พยายามรักษาระยะห่างกับฟาร์มาขณะที่เขาสนทนาส่วนตัวกับจักรพรรดินี มาหาฟาร์มาด้วยการว่ายน้ำเข้ามาโดยเห็นได้ชัดเลยว่าสีหน้าของเธอมีอาการซีดเผือด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สดใสอยู่แท้ๆ

หรือเธออาจจะได้ยินเรื่องที่เขาพูดเกี่ยวกับการแต่งงานของทั้งสองก็ได้

 

“เป็นอะไรเหรอเอเลน สีหน้าเธอดูไม่ค่อยดีเลยนะ ถ้าหากแช่นานเกินไปอาจจะส่งผลเสียต่อเธอได้นะ ทางที่ดีควรลุกออกไปได้แล้ว”

 

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก นี่นายน่ะร่างกายของนายดูโปร่งใสขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า ถ้าฉันจำไม่ผิดก็หลังจากนายไปที่บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม”

เอเลนแสดงความกังวลออกมา

“มันโปร่งใสขนาดไหนเหรอมากกว่าคนปกติมากหรือเปล่า”

 

“คือ…แบบว่า ก็….”

 

“ไม่ต้องคิดมากหรอก พูดความจริงมาเถอะ”

 

“ฉันว่าหากนายออกไปข้างนอกหลายคนก็น่าจะสังเกตเห็นได้ไม่ยาก ไม่สิถึงเป็นภายในห้องก็น่าจะพอเห็นได้บ้างแหละ”

 

(นี่มันเป็นปัญหาใหญ่เลยนะพอได้ยินแบบนี้….แย่แล้วสิ)

 

แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านร่างเขาช่างรุนแรง หากเขาพยายามข้ามโลกอีกสักสองหรือสามครั้งบางทีร่างของเขาอาจจะหายไปเลยก็ได้ความกังวลนั้นได้ผ่านเข้ามาในหัวของฟาร์มา ถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงจะไม่สามารถอยู่ที่จักรวรรดิแห่งนี้ได้อีกแล้วนี่เป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับฟาร์มาเลย

“อาจจะเป็นเพราะพลังแห่งเทพที่มีอยู่มากจนเกินไปนั่นก็ได้เพราะสำหรับนายไม่ว่าจะใช้มันไปเท่าไหร่มันก็ไม่มีวันจะลดหรือน้อยลงเลยนี่นา…”

จะให้ไปปิดชีพจรแห่งเทพก็ใช่จะทำได้เพราะมันคงจะไม่เป็นผลกับร่างของฟาร์มา

(ความกังวลยิ่งมากขึ้นกว่าเดิมแล้วสิ…)

 

ฟาร์มาที่ได้เพลิดเพลินกับน้ำพุร้อนเสร็จก็กลับมาที่ร้านขายยาเพื่อหาทางแก้ปัญหาตัวโปร่งใสอีกทั้งยังต้องคิดเรื่องที่จักรพรรดินีฝากอย่างจริงจังอีกเรื่องที่เขาจะต้องรีบหาคู่ให้ได้ภายในปีหน้าและยังต้องแต่งงานกันอีก

 

“ท่านกังวลอะไรอยู่เหรอคะ”

 

ลอตเต้ถามด้วยความไร้เดียงสา เพราะเธอไม่ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลย

 

“ไม่มีอะไรหรอก “

 

(อย่างแรกเลยคือ จะเป็นไปได้ไหมที่เราจะสามารถให้กำเนิดเด็กได้ด้วยร่างตอนนี้ จะดีจริงๆ เหรอที่จะให้มีผู้สืบทอดยีนเหนือมนุษย์นี้ มันจะอันตรายเกินไปไหมนะ)

 

ไม่ใช่แค่ผลที่จะเกิดกับเด็กเท่านั้น แต่นั่นรวมไปถึงตัวแม่ของเด็กด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาอยากจะแต่งงานให้ช้ากว่านี้เสียหน่อย อีกทั้งร่างกายของฟาร์มาในตอนนี้เรียกได้ว่าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว บางทีลูกที่เกิดออกมานั้นอาจจะเป็นลูกผสมก็ได้

 

“หรือเราจะต้องตรวจสอบภาวะเจริญพันธุ์ของเพศชายกับตัวเองด้วยไหมนะ? “

 

ถึงเขาไม่มีความตั้งใจที่จะแต่งงาน แต่อย่างน้อยก็อยากจะรู้จักกับร่างกายของตัวเองให้มากกว่านี้

 

แม้แต่ในชีวิตก่อนของเขา เขาก็เคยทำกระบวนการนี้กับตัวเองมาแล้ว ถึงแม้ร้านขายยาตอนนี้จะไม่มีอุปกรณ์ครบถ้วนก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ต้องได้ข้อมูลขั้นต้นไปก่อนน่าจะดี

 

 

“ดูท่าคงจะต้องเก็บตัวอย่างอสุจิของตัวเองเพื่อตรวจสอบด้วย “

 

หากจะใช้วิธีการสอดเข็มเข้าไปในลูกอัณฑะของตัวเองคงจะมีปัญหาหลายๆ อย่างตามมาแน่ ดังนั้นคงต้องใช้วิธีตามธรรมชาติแทนในการเก็บตัวอย่าง

หากมีลอตเต้กับเอเลนช่วยด้วยงานคงจะเร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ประเด็นคือเราจะถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ เอาไหมนี่สิ

 

(ไม่ๆ นี่เราคิดอะไรอยู่เนี่ย ขืนทำแบบนั้นขึ้นมาได้ถูกมองว่าเป็นพวกโรคจิตกันพอดี!)

 

เนื่องจากจะใช้วิธีการทางธรรมชาติแทน เลยต้องรอประมาณสองวันเพื่อผลลัพธ์ดังกล่าว

 

ฟาร์มาได้ทำการปิดร้านขายยาในตอนเย็น และเริ่มจัดการกับตัวอย่างอสุจิในห้องปฏิบัติการบนชั้นสี่ของร้านในเย็นนั้นเลย เขาเลือกที่จะจัดการมันหลังจากปิดร้าน ด้วยเหตุผลด้านความสบายใจเพื่อจะได้ไม่ต้องมี เอเลน ลอตเต้ หรือพนักงานคนอื่นเข้ามาเห็น

 

“เฮ้อ มาเริ่มเลยก็แล้วกัน “

 

เขาได้เปลี่ยนโหมดของตัวเองเข้าสู่ร่างนักวิจัย ขั้นแรกคือการนำตัวอย่างที่ได้มาจากร่างของเขาเข้าไปตรวจสอบผ่านกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งผ่านสารละลายน้ำเกลือซึ่งถูกเจือจางด้วยเครื่องหมุนเหวี่ยง

 

“ตอนนี้ก็คงทำได้แค่การทดสอบน้ำอสุจิแบบง่ายไปก่อน “

 

ฟาร์มากำลังตรวจสอบปริมาณของน้ำอสุจิและความเข้มข้นของมันผ่านกล้องจุลทรรศน์ ตัวอสุจิกำลังเคลื่อนไหวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ โดยเขาได้ทำการตรวจสอบลักษณะการเคลื่อนไหวของมันด้วย เนื่องจากเขาชินกับงานทดลองแบบนี้อยู่แล้ว ประสิทธิภาพของงานทดลองจึงราบรื่นจนน่ากลัว

 

 

“อสุจิของเราจะมีอยู่สักเท่าไหร่กันนะ “

 

เนื่องจากฟาร์มายังเด็กอยู่ ปริมาณอสุจิจึงน้อยกว่าผู้ใหญ่เป็นธรรมดา

 

 

“ส่วนอัตราการรอดชีวิตของอสุจิก็..… “

 

อสุจิที่ยังมีชีวิตอยู่จะถูกย้อมสีด้วยวิธีการที่เรียกว่าอีโอซินเพื่อใช้ในการสังเกตถึงปริมาณของอสุจิที่มี และใช้ในการคำนวณในกระบวนการต่อๆ ไปเพื่อไม่ให้เสียเวลาอีก

 

“ดูเหมือนทั้งอัตราการรอดชีวิตกับการเคลื่อนไหวจะไม่มีปัญหาอะไร งั้นส่วนต่อมาก็…ต้องมาดูความผิดปกติภายในดีเอ็นเอของอสุจิ เพราะหลังจากที่เราขึ้นไปบนอวกาศร่างกายของเราอาจจะได้รับความผิดปกติจากรังสีก็ได้ “

 

หากในสภาพแวดล้อมเช่นนี้เขามีเครื่องวิเคราะห์จีโนมก็คงจะสามารถได้ผลการทดสอบของอสุจิที่ละเอียดได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขาไม่มีสิ่งนั้นอยู่ก็คงต้องใช้วิธีการตรวจสอบอย่างอื่นแทน

 

“เพราะเราไม่มีไฟฟ้าดังนั้นจะใช้การทดลองจำพวกเทคนิควัดการขาดกันของดีเอ็นเอด้วยไฟฟ้าก็ไม่ได้ด้วย จะทำยังไงดีนะ? “

 

 

ท้ายที่สุดก็มาจบด้วยวิธีการที่เรียกว่า ฮาโลสเปิร์มเทส วิธีการนี้จะเป็นการย้อมสีของสเปิร์มด้วยสารละลายซึ่งทำให้เกิดวงแหวนสีม่วงอมฟ้าขึ้นมารอบๆ ส่วนหัวของตัวอสุจิ ตัวอสุจิที่ดีเอ็นเอได้รับความเสียหายนั้นจะไม่ปรากฏวงแหวนดังกล่าวขึ้นมา หลังจากทำขั้นตอนนี้เสร็จเขาก็ตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้

 

“ผลที่ได้หลังจากการย้อมคือไม่เกิดการแตกตัวกันของดีเอ็นเอภายใน ปกติสินะ “

 

เขาไม่รู้ว่าร่างกายของเขานั้นลึกๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่โครงสร้างโครมาตินของดีเอ็นเอเขาถือว่าปกติดีในตอนนี้ เขารู้ตัวดีว่าจริงๆ แล้วร่างกายของเขานั้นถือว่าผิดปกติ แต่ตอนนี้ผลการทดสอบออกมาว่าส่วนนี้ยังปกติดี ฟาร์มาก็ได้แต่โล่งใจ

 

“จากตรงนี้ เราก็สามารถทำความเข้าใจเพิ่มขึ้นได้ จากกระบวนการสร้างตัวอ่อนลูกผสมระหว่างมนุษย์กับสัตว์เอาอีกที “

 

นอกจากนี้ยังมีวิธีการยืนยันภาวะเจริญพันธุ์โดยการเตรียมไข่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกหนู ก่อนจะทำการฉีดอสุจิขอมนุษย์เข้าไปภายในนั้นซึ่งเรียกว่าการผสมเทียม (ICSI) เพื่อดูพัฒนาการของมันว่าสามารถไปถึงกระบวนการสร้างตัวอ่อนได้หรือไม่ แน่นอนว่าเนื่องจากอสุจิดังกล่าวเป็นของมนุษย์โดยปกติแล้วจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำการผสมพันธุ์เข้ากับไข่ของหนูได้และไม่มีทางจะให้กำเนิดครึ่งมนุษย์หนูขึ้นมา กระบวนการผสมเทียมดังกล่าวมักจะไปหยุดตรงที่ช่วงเริ่มการพัฒนาของตัวไข่เท่านั้น

 

แต่ที่ญี่ปุ่นในปัจจุบันนั้นมีกฎห้ามการปลูกถ่ายตัวอ่อนที่อยู่ภายในมดลูกหลังการปฏิสนธิไปแล้ว ถึงก่อนหน้านี้มันจะทำได้ก็ต่อเมื่อเป็นการทดลองการทำงานของอสุจิเพียงเท่านั้นก็เถอะ

 

“เห็นทีต้องจบที่ตรงนี้ก่อนสินะ ตอนนี้ก็ใช่ว่าเราจะมีหนูซะด้วย กลับบ้านเลยก็แล้วกัน “

 

เขาไม่อยากที่จะต้องมาเก็บตัวอย่างอสุจิอีก เขาจึงได้ทำการใส่สารแขวนลอยตัวอสุจิที่เหลือในหลอดแก้ว ก่อนจะปิดช่องเปิดมันด้วยเปลวไฟ แล้วจุ่มลงไปที่ไนโตรเจนเหลวเพื่อแช่แข็ง เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอในการนำไปทดลองด้านอื่นๆ หลังจากนี้

 

พอฟาร์มาเสร็จงานก็ทำการเปิดประตูของปฏิบัติการออกและทันใดนั้นเอง

 

 

(จริงสิ เราต้องถอดเสื้อกาวน์ออกก่อนจะออกจากห้องด้วย)

 

เขาปลดกระดุมด้านหน้าของเสื้อคลุมสีขาว แล้วถอดมันออก ในวินาทีนั้นโศกนาฏกรรมก็ได้อุบัติขึ้น

 

เบื้องหน้าของฟาร์มาคือลอตเต้ที่กำลังกรีดร้องออกมา

 

 

“กรี๊ด! ท่านฟาร์มาได้โปรดสวมอะไรไว้ข้างใต้นั้นด้วยค่ะ! “

 

“เดี๋ยว ลอตเต้! นี่มองไปตรงไหนอยู่เนี่ย!? “

 

 

พอพูดถึงเรื่องการเก็บตัวอย่างอสุจิแล้ว เหมือนว่าเขาจะจดจ่อกับการทดลองมากจนเกินไป เลยทำให้เขาลืมใส่กางเกงกลับเข้าไปที่เดิม

 

 

“นี่ท่านไปทำอะไรมากันคะ ถึงได้แต่งตัวแบบนั้น!? “

 

ฟาร์มาที่ถอดชุดคลุมยาวของเขาออกได้เผยให้เห็นท่อนล่างอันเปลือยเปล่า

ทางด้านของลอตเต้นั้น เธอกลับมาที่นี่เพียงเพราะว่าลืมของเอาไว้บริเวณชั้นบันได นี่มันเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายเท่าที่จะเป็นได้แล้ว

 

 

“เดี๋ยวก่อน มันมีเหตุผลอยู่นะ! คือผมแค่จะเก็บตัวอย่างอสุจิ….…”

 

เพราะฟาร์มาไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ภายในร้านแล้วจึงได้หมกมุ่นอยู่กับการทดลองอย่างเต็มที่ โดยสวมเพียงแค่เสื้อคลุมยาวตัวเดียวและปล่อยให้ท่อนล่างของเขารับลมอย่างเต็มที่

 

(ถ้าเราจะอธิบายว่าอสุจิคืออะไรมันก็มีคำจำกัดความที่ทำให้เล่าได้ยากด้วย…ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปก็มีแต่ต้องยอมรับความเจ็บปวดสินะ…)

 

ยิ่งไปกว่านั้นนี่มันครบสูตรองค์ประกอบของเหล่าโรคจิตเลยนะ เสื้อคลุมตัวเดียวกับท่อนล่างอันเปลือยเปล่า

 

ไม่แปลกใจเลยหากเขาจะถูกลากตัวไปส่งให้กับตำรวจแล้วถูกบอกว่า

“คุณตำรวจคะ หมอนี่แหละค่ะ”

 

 

“กรี๊ด! ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเลยค่ะ! “

 

ลอตเต้รีบวิ่งหนีกลับไปยังคฤหาสน์ทันทีโดยไม่แม้จะหันกลับมามอง หลังจากวันนั้นฟาร์มารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากและไม่รู้จะมองหน้าลอตเต้อย่างไรดี

———

​Note : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลกายในช่องว่างแห่งมิติไร้ซึ่งที่สิ้นสุด ที่ซึ่งเหล่าผู้เคยต่อสู้ฝ่าฟันกับชีวิตของตนดำรงอยู่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าที่นี่คือแห่งหนใด พื้นที่กว้างใหญ่เป็นอนันต์เปรียบเสมือนดั่งสุสาน มีผู้พิทักษ์ไร้นามคอยปกป้องอยู่ เหล่าผู้ล่วงลับต่างหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของตนเป็นนิรันดร์ วันหนึ่งผู้พิทักษ์สุสานได้เลือกคน คนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของคนผู้นั้นขึ้นมา ผู้พิทักษ์ตนนั้นได้ดึงเอาความทรงจำของร่างดังกล่าวออกมาจากสุสานก่อนจะโยนมันเข้าไปในห้วงอวกาศ มันได้ล่องลอยไปในจักรวาลอันห่างไกลและท้ายที่สุดมันก็ถึงยังจุดหมาย บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งภายในร่างของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตจากฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset