Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก – ตอนที่ 79

ตอนที่ 79 การบำบัดด้วยยีนและการเรียกตัวจากเอลิซาเบท

 

ก่อนที่ฟาร์มาจะเริ่มทำการรักษาน้องชายคนที่สองของเอ็มเมอริค เขาจำเป็นต้องยืนยันก่อนว่าการบำบัดด้วยยีนผ่านกรรมวิธีตัดต่อทางจีโนมของCRISPR-CAS9 ทำงานได้อย่างถูกต้องหรือไม่ในสิ่งมีชีวิตทดลอง ทุกขั้นตอนในการรักษาต้องผ่านการศึกษาที่ละเอียดอ่อน

 

ในขั้นแรกเขาประสบความสำเร็จในการแก้ไขจีโนมของเซลล์เพาะเลี้ยงที่นำกลับมาจากห้องปฏิบัติการต่างโลก

 

นอกจากนั้นเขายังได้ทำการทดลองกับพืชดู โดยการเขียนจีโนมของดอกกุหลาบสีเหลืองใหม่ทำให้มันกลายเป็นดอกกุหลาบสีน้ำเงิน

 

ดอกกุหลาบสีน้ำเงินที่ได้มาเขาก็นำไปทำเป็นช่อดอกไม้แล้วส่งให้กับ เอเลน ลอตเต้ และโซอี้

 

 

“เอ๋ นี่มันอะไรกัน! ไม่เคยเห็นดอกกุหลาบแบบนี้มาก่อนเลย”

 

 

“นอกจากนี้มันยังมีเอนไซม์ที่ปล่อยสารเรืองแสงออกมาด้วยดังนั้นหากนำมันเข้าในที่มืดคุณก็จะเห็นมันเรื่องแสงออกมาได้”

 

“หมายความว่ายังไงกัน!? กุหลาบเรืองแสงงั้นเหรอ?”

 

 

ทั้งสามรู้สึกยินดีที่ได้รับของขวัญที่เหนือจินตนาการนี้

 

“ท่านฟาร์มาคะ! ถ้าเป็นแบบนี้เราเอามันไปปลูกมันที่สวนของคฤหาสน์จะดีไหมคะ”

 

 

ฟาร์มาส่ายหัวเมื่อลอตเต้เข้ามาถามเขาด้วยความตื่นเต้น

 

 

“ที่ผมเอาตัดเอามาให้เป็นช่อดอกไม้ก็เพราะผมไม่อยากให้ใครปลูกมันนี่แหละ”

 

ไม่ว่ามันจะปลอดภัยหรือไม่ เขาก็ไม่อยากจะปล่อยพืชที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรมเข้าสู่ระบบนิเวศน์

 

“ทั้งที่สวยขนาดนี้แท้ๆ นะ หรือว่าเซนต์ด้านความงามของฟาร์มาคุงจะไม่ได้สนใจดอกไม้แสนงดงามที่กำลังจะตายพวกนี้เลยนะ…”

 

“มันไม่ได้เกี่ยวกับความงามหรอก ก็แค่มาตรการรักษาความปลอดภัยให้พวกสัตว์ป่าน่ะ”

 

เอเลนพึมพำออกมาอย่างเสียใจ ก่อนที่ฟาร์มาจะตอบกลับไป

 

“เอาเป็นว่าขั้นตอนในการทดลองกับพืชก็เสร็จสิ้นแล้ว เรามาเริ่มทดลองกับสัตว์กันต่อเลยดีไหม”

 

ขั้นตอนต่อไปของเขาคือการทดสอบกับสัตว์

 

“นายจะมาทดลองกับสัตว์เนี่ยนะ ถึงมันจะจำเป็นก่อนจะเอาไปใช้กับมนุษย์ก็เถอะ แต่สัตว์พวกนั้น…ต้องมาสังเวยให้กับมนุษย์เราฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดีนะ”

 

ดูเหมือนเอเลนที่เป็นคนรักสัตว์จะไม่ค่อยเต็มใจทำตามนัก

 

 

เดิมทีการทดลองกับสัตว์จะต้องดำเนินการในสถานที่เพาะพันธุ์โดยเฉพาะ และต้องใช้สัตว์ที่เลี้ยงในสภาพแวดล้อมแบบเดียวกันในการทดลอง อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้ไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าว และไม่มีสัตว์ที่มีพันธุกรรมเหมือนกันซึ่งเหมาะสำหรับการทดลอง ดังนั้นแทนที่จะใช้พันธุวิศวกรรมเพื่อทำลายยีนของสัตว์ทั่วไปเพื่อทำให้พวกมันป่วย ฟาร์มาต้องรักษาสัตว์ที่ป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรมแทน

 

 

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ครั้งนี้ผมจะรักษาสัตว์ที่เดิมมีโรคทางพันธุกรรมอยู่แล้ว แต่จะไปหาซื้อก็คงยากเพราะงั้นไปขอความช่วยเหลือจากคุณโจเซฟินกันเถอะ”

 

“อ๋อ เด็กที่เป็นสัตวแพทย์คนนั้น! เอาสิฉันว่าก็เหมาะกับการทดลองของเราพอดีเลยนะ”

 

ฟาร์มาและเอเลนจำโจเซฟีน แบริเออร์ ซึ่งเป็นนักเรียนและสัตวแพทย์ขั้นหนึ่งได้

 

 

“พอพูดถึงเรื่องนี้ ผมจำได้ว่าเธอก็มาเข้าคลาสบรรยายวันนี้ด้วยนี่นะ”

 

สีหน้าของเธอนั้นมีความสุขมาก ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติหากมองจากคนนอก คงจะเป็นเรื่องยากที่จะหาโอกาสเข้าไปพูดคุยกับศาสตราจารย์ชื่อดังอย่างฟาร์มาที่มักจะถูกรายล้อมด้วยเหล่านักเรียนเสมอ และหากนักเรียนสักคนหนึ่งถูกเขาคนนั้นเรียกตัวไปพบก็ย่อมรู้สึกยินดีเป็นธรรมดา

 

 

เมื่อฟาร์มาถามโจเซฟีนว่ามีสัตว์ที่มีลักษณะเฉพาะในบรรดาสัตว์ป่วยที่เธอดูแลอยู่หรือไม่

 

 

“จะว่าไป ก็มีอยู่นะคะ ศาสตราจารย์อยากไปดูหรือเปล่าคะ”

 

โจเซฟีนตอบกลับเหมือนนึกขึ้นได้ว่ามีสัตว์ที่เข้าเงื่อนไข

 

“เป็นสัตว์ของทางราชสำนักเหรอครับ? คาดไม่ถึงเลยนะครับว่าจะเป็นสัตว์ของฝ่าบาท”

 

 

ฟาร์มาชะงักกับเรื่องที่คาดไม่ถึงนี้ สถานที่นัดพบกับโจเซฟีนคือคอกม้าของราชวงศ์

 

 

เนื่องจากเอเลนและเอ็มเมอริคไม่สามารถเข้าไปในวังได้ พวกเขาจึงไม่สามารถติดตามมาได้ มันเป็นคอกม้าที่สวยงามและสะอาดสะอ้าน จนไม่แน่ใจว่านี่คือคอกม้าหรือห้องส่วนตัวในโรงแรมหรู หรือที่นี่แม้แต่ม้าก็เป็นดารากับเขาได้นะ นั่นคือสิ่งที่ฟาร์มาคิด

 

“คุณม้าพวกนี้อาศัยอยู่ในสถานที่ที่ดีจังเลยนะคะ จนฉันเชื่อด้วยซ้ำถ้าบอกว่าที่นี่เป็นที่พักสำหรับมนุษย์อย่างเรา”

 

ลอตเต้ผงะและกระซิบข้างหูของฟาร์มา เมื่อฟาร์มาและลอตเต้เดินไปรอบ ๆ คอกม้าขนาดใหญ่ พวกเขาก็เห็นโจเซฟีนกำลังตรวจอาการของม้าอย่างขยันขันแข็ง เขาเรียกเธอขณะที่ดูการทำงานของเธอไปด้วย

 

 

“คุณโจเซฟีนก็เข้าออกวังได้เหมือนกันสินะครับ”

 

“ใช่ค่ะ แต่ฉันก็ไม่ใช่สัตวแพทย์หลวงหรอกนะคะ เพราะจะให้ฉันทำหน้าที่นีคนเดียวก็คงไม่ได้ แต่อย่างน้อยหน้าที่หลักๆ ของฉันก็คือการตรวจดูม้าพวกนี้แหละค่ะ”

 

โจเซฟีนสวมชุดสัตวแพทย์ที่มีตราเกือกม้าของจักรวรรดิและหมวกขนนก กำลังตอบคำถามของฟาร์มาในขณะที่กำลังลูบไล้ม้าไปด้วย เนื่องจากราชสำนักเลี้ยงม้ามากกว่า 300 ตัว กล่าวกันว่าสัตวแพทย์หลวงเพียงลำพังไม่อาจดูแลม้าสัตว์เหล่านี้ได้ทั้งหมด จนต้องไปยืมมือแมวมาช่วย

 

 

“ศาสตราจารย์ทางนี้ค่ะ”

 

โจเซฟีนนำทางพวกเขาไปยังคอกม้าที่สวยงามเป็นพิเศษ ม้าขนสีทองมองออกมา

 

 

“มันเป็นม้าที่สวยมากเลยค่ะ ม้าของคฤหาสน์ตระกูลเมดิซิสก็สวยเหมือนกัน แต่ขนของเด็กคนนี้เป็นสีทองดูน่าทึ่งมากจนทำให้รู้เลยว่าถูกดูแลมาเป็นอย่างดี!”

 

ลอตเต้ดูแล้วก็ถอนหายใจออกมาเพราะขนของมันนั้นเห็นได้ชัดเจนว่าถูกแปรงเป็นอย่างดีด้วยความระมัดระวัง

 

 

“ก็เพราะเป็นม้าของฝ่าบาทนี่คะ”

 

ลอตเต้กับฟาร์มาที่อยากลองสัมผัสก็รีบชักมือกลับมาทันทีเพราะไม่อยากจะสร้างเรื่องอะไรขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ก่อนที่โจเซฟีนจะอธิบายสายพันธุ์ม้าของจักรพรรดินีให้พวกเขาฟัง

 

 

“ม้าอันสง่างามของจักรพรรดินีเอลิซาเบทมีถิ่นกำเนิดในโอลด์เฟลอร์ซึ่งเกิดจากการผสมข้ามพันธุ์กับม้าพันธุ์โพนิโลที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ลักษณะของหัวมีรูปร่างที่ดี ใบหูยาว และมีลำตัวที่เรียวยาว อีกทั้งขนที่ยาวก็สวยงามเช่นกัน พวกมัน มีความสง่างามและว่องไวมากแล้วก็มีร่างกายที่แข็งแรง อย่างไรก็ตามพวกมันก็มีข้อเสียอย่างหนึ่งคือพวกมันมีความภาคภูมิใจในตัวเองสูงมาก ว่ากันว่าพวกมันจะภักดีต่อเจ้านายของตนเพียงคนเดียวเท่านั้น สัตวแพทย์ที่จะเข้าไปดูแลยังจัดการมันได้ยากเลยค่ะ ขนาดตัวฉันเองมันยังไม่ยอมให้จับง่ายๆ เลย”

 

ฟาร์มาไม่รู้เรื่องม้ามากนัก แต่ตามที่คาดไว้ว่ามันคือม้าของจักรพรรดิ มันสวยงามมากแม้แต่ในสายตาของมือสมัครเล่น ม้าของจักรพรรดินีส่งเสียงร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งอาจเป็นเพราะมันเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยเข้ามาในนี้ก็เป็นได้

 

“เพราะฉันเป็นคนแบบนี้ พอได้มาดูแลเจ้าตัวนี้ก็เกิดอาการประหม่าขึ้นอยู่บ่อยๆ ถึงขนาดมีครั้งหนึ่งที่ฉันไม่ระวังแล้วโดนมันเตะด้วยขาหลังเข้า ก็ทำเอาซะกระดูกหักเลยค่ะ”

 

 

โจเซฟีนยักไหล่แล้วพูดขณะที่จำความรุนแรงของขาคู่นั้นได้เป็นอย่างดี มันเป็นงานที่ยากอย่างแน่นอน ฟาร์มารับรู้ถึงภาระที่เธอต้องแบกไว้ได้อย่างชัดเจน

 

 

“ขนาดสัตวแพทย์ก็ยังโดนสัตว์ทำร้ายได้สินะ…”

 

โจเซฟีนพยักหน้าให้กับคำพูดนั้น ก่อนจะตะโกนออกมาว่า “ถึงแล้วค่ะ!”

 

“โดยปกติแล้วฉันก็ต้องใช้ศาสตร์แห่งเทพในการป้องกันตัวเองต้องรับมือกับสัตว์ที่ค่อนข้างอันตราย ถ้าจะให้พูดการกัดจากพวกมันนี่แหละค่ะที่เราจะเจอได้บ่อยที่สุด”

 

พอฟาร์มามองไปที่มือของโจเซฟีนหลังจากเธอถอดถุงมือออก ก็พบว่ามือนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น

 

“โห…น่านับถือมากเลยค่ะ ท่านโจเซฟีน”

 

ลอตเต้ทำสีหน้าเจ็บปวดกับแผลนั้นแทนออกมา

 

 

“ว่าแล้วก็อยากจะขอยาทาแผลสักหน่อยได้ไหมคะ แผลจะได้หายไวๆ ด้วย”

 

พอฟาร์มาถามว่าเธอต้องการการรักษาเผื่อในกรณีฉุกเฉินไหม เธอก็ยิ้มอย่างเขินอายออกมาก่อนจะพูดว่า “ฉันสามารถรักษาตัวเองได้ค่ะ หากถึงตอนนั้น”

 

 

“นอกเรื่องกันมาเยอะแล้วสิคะ เอาเป็นว่านี่แหละค่ะสิ่งที่ฉันอยากจะให้ศาสตราจารย์เห็น”

 

 

โจเซฟีนพาฟาร์มามาดูลูกม้าตัวสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งอยู่ในคอกเดียวกับม้าของจักรพรรดินี

 

“ว้าว ขาวไปหมดเลยค่ะ!”

 

ลอตเต้มองเห็นขนสีขาวบริสุทธิ์ของมันและตกใจในความงามของมัน ม้าตัวนั้นเป็นสัตว์ที่ฟาร์มาตามหา

 

(แบบนี้นี่เอง โรคผิวเผือกสินะ)

 

 

 

“โรคผิวเผือกแต่กำเนิด”

 

 

 

เมื่อฟาร์มาตรวจดูด้วยตาของเขา แน่นอนว่ามันเป็นโรคผิวเผือกแต่กำเนิด (หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าผิวเผือก) และมีดวงตากลมโตสีแดงที่ดูจะพร่ามัว

 

 

“สายตาของม้าตัวนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ ถ้าเกิดให้วิ่งไปไหนมาไหนมันจะไม่ชนข้าวของไปทั่วเหรอครับ?”

 

“ก็ตามที่ท่านบอกค่ะสายตาของมันมองเห็นอะไรได้น้อยมาก สัตวแพทย์อย่างเราก็ช่วยเหลืออะไรในเรื่องนี้ไม่ได้ด้วย”

 

โจเซฟีนเองก็ดูเหมือนจะรับรู้ถึงอาการตาพร่ามัวของมันเช่นกัน

 

“บางที มันอาจจะมีแนวโน้มเป็นโรคมะเร็งผิวหนังด้วยก็ได้นะครับ เห็นทีว่าผมคงต้องพามันไปรักษาตัวที่มหาวิทยาลัยแทน แต่จะให้พามันออกไปจากที่นี่ก็…”

 

 

“ม้าของทางราชสำนักไม่สามารถนำออกไปข้างนอกได้ง่ายๆ นี่คะ”

 

 

“งั้นก็มีแต่ต้องขนของมาที่นี่แทนสินะ”

 

วันรุ่งขึ้นฟาร์มาก็ได้เตรียมที่จะใช้CRISPR-CAS9มารักษา ขั้นตอนแรกเขาจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักเพื่อกำหนดปริมาณยาที่จะใช้ ก่อนจะทำการบำบัดด้วยยีนกับลูกม้าของทางราชสำนัก โดยต้องระวังถึงผลข้างเคียงที่จะตามมาด้วยเพราะการรักษาโดยการแก้ไขจีโนมนั้นจะต้องทำเป็นส่วนๆ ไป วันนี้อาจจะเป็นขาหน้า ต่อไปอาจจะเป็นขาหลัง และอื่นๆ จนครบ แน่นอนว่าในครั้งนี้เขาก็เลือกที่จะใช้มือของตนเองในการนำยีนแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของมันเพื่อให้ยีนเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ได้โดยตรง และมันไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับม้าเลยแม้แต่น้อย

 

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปหลังจากทำทุกขั้นตอนเสร็จ

 

ฟาร์มากำลังเฝ้าดูอาการของมันโดยใช้ดวงตาวินิจฉัย ผลที่ได้ก็คืออาการยังคงที่ และเพราะเขาไปที่นั่นทุกวัน ม้าตัวนั้นจึงเริ่มชินกับเขามากยิ่งขึ้น

 

แล้วฟาร์มายังได้แจ้งให้กับเอเลนและเอ็มเมอริคที่ไม่สามารถเข้ามาในวังให้ได้ทราบถึงอาการในแต่ละวันด้วย โดยเฉพาะทางเอ็มเมอริคที่ดูจะจดบันทึกอาการ ข้อมูลที่สงสัย อย่างละเอียด สอบถามทุกอย่างที่เขาอยากรู้จากฟาร์มาเท่าที่เป็นไปได้

 

ยิ่งเป็นแบบนี้ เขาก็ยิ่งได้เห็นความกระตือรือร้นกับงานของโจเซฟีน เธอต้องมาที่คอกม้านี้ทุกวัน แถมพอเสร็จงานก็ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอีก แน่นอนว่าเธอไม่ได้ละเลยความรอบคอบในการทำงานลงเลย ไม่นานจากนั้นเธอก็สังเกตเห็นว่าดวงตาสีแดงของม้าตัวนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินคราม ขนสีเกาลัดเริ่มงอกออกมายาวขึ้น

 

 

 

“ศาสตราจารย์ ทำไมสีตาและขนตามร่างกายของมันเปลี่ยนไปคะ แถมสายตาที่ดูจะแย่นั้นก็ดีขึ้นในทุกๆ วันเลย”

 

พอเธอลองควบมันแล้ววิ่ง ดูเหมือนมันจะวิ่งได้ดีขึ้นกว่าเดิม แถมไม่ชนสิ่งกีดขวางแล้วด้วย

 

 

ฟาร์ม่าจึงอธิบายกลไกการรักษา

 

“ลูกม้าตัวนี้เกิดมาพร้อมกับยีนที่ไม่ทำงานอย่างถูกต้องที่เรียกว่า ไทโรซิเนส ซึ่งใช้ในการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน การรักษาก็เสร็จแล้วคาดว่าพอเมื่อถึงฤดูหนาวขนของมันจะงอกกลับมาเป็นสีเดิมแทนที่จะเป็นสีขาวแล้วครับ”

 

จนถึงขณะนี้ยังไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรงอะไรออกมาให้เห็น

 

 

ผลข้างเคียงที่น่าเป็นห่วงที่สุดของการรักษานี้คือการเกิดมะเร็ง ซึ่งการติดตามผลโดยฟาร์มาและโจเซฟีนน่าจะสามารถจัดการในส่วนนี้ได้

 

 

“ศาสตราจารย์เมดิซิส ยาอะไรที่คุณใช้กับเด็กคนนี้เหรอคะ ยาที่ทำให้ถึงขนาดนี้…”

 

 

“เอาไว้มาเรียนวิชาเฉพาะตอนปี 3 ก็แล้วกันนะครับ เพราะการรักษานี้ก็อยู่ในขั้นทดลองด้วย”

 

“เข้าใจแล้วค่ะ ท่านกำลังจะบอกว่ามันเป็นวิธีการรักษาที่ยังไม่เคยมีมาก่อนสินะคะ”

 

 

โจเซฟีนที่ได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มจดบันทึกอย่างขยันขันแข็ง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นชั้นเรียนฝึกอบรมนอกหลักสูตรของโจเซฟีนเลย

 

 

 

“ท่านฟาร์มา อยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ ฝ่าบาทเรียกตัวท่านเข้าพบครับ”

 

ในวันนั้นเอง ผู้ช่วยคนสนิทของจักรพรรดินีก็เรียกฟาร์มาเข้าพบ หลังทราบว่าฟาร์มาเข้าวังมา ดูเหมือนเธอมีเรื่องอยากจะคุยกับเขา

 

 

สถานที่ที่ฟาร์มาถูกเรียกตัวมาคือลานประลองสำหรับฝึกฝนศาสตร์แห่งเทพที่ริมสวนขนาดใหญ่

 

 

เป็นสนามประลองที่โอ่โถงซึ่งสลักอาคมไว้โดยรอบบริเวณ ถึงฟาร์มาจะรู้ว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่ภายในวังแต่มันเป็นก็สถานที่ลับและนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ ว่ากันว่าที่นี่เป็นสนามประลองที่จักรพรรดินีมักจะใช้ในการฝึกฝนประจำวันของเธอ อาคมที่สลักเอาไว้ภายในสนามประลองนั้นทางมหาวิทยาลัยเทียบไม่ได้เลย

 

 

(หรือฝ่าบาทจะกำลังฝึกศาสตร์แห่งเทพของเธออยู่นะ?)

 

ขณะที่เขากำลังคิดเรื่องพวกนี้อยู่ จักรพรรดินีที่แต่งตัวอย่างเรียบง่ายก็ปรากฏตัวขึ้นบริเวณลานประลองโดยถือคทาของตัวเองเอาไว้อยู่ เนื่องจากปกติแล้วเธอมักจะสวมชุดที่ดูหรูหรา พอได้พบการแต่งตัวด้วยชุดรัดรูป กระโปรงสั้นจึงดูแปลกใหม่สำหรับฟาร์มามาก

 

 

ฟาร์มาโค้งคำนับอย่างช้าๆ บริเวณหน้าทางเข้าลานประลอง

 

“ดูฝ่าบาทจะอารมณ์ดีนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

“แน่นอนสิ นี่ก็นานมากแล้วนะฟาร์มาคิดว่าฝีมือเราเป็นเช่นไรบ้างล่ะ พักนี้ได้ยินว่าเจ้าแอบเข้าๆ ออกๆ วังของเราบ่อยๆ เลยนี่ เราก็ได้แต่รอว่าวันไหนเจ้าจะมาเข้าเฝ้าเราสักทีนะ”

 

จักรพรรดินีพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี

 

พอได้ยินเธอบอกแบบนั้นลมหายใจของเขาก็เริ่มติดขัด เหงื่อเริ่มไหลออกมาจากหน้าผาก จากที่เขาเห็นเธอน่าจะเพิ่มเสร็จจากการฝึกศาสตร์แห่งเทพ บุคลิกของเธอนั้นสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย การออกมาขยับร่างกายออกแรงจะสามารถผ่อนคลายให้เธออารมณ์ดีขึ้นได้

 

“คือ…ต้องขอขอบพระทัยฝ่าบาท ถึงแม้จะช้าไปบ้าง แต่กระหม่อมก็ขอขอบพระทัยสำหรับทุนวิจัยที่ฝ่าบาทสนับสนุนสาขาของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เอาเถอะ ถ้าเรื่องนั้นเราได้จดหมายจากเจ้ามาแล้ว ไม่เป็นไรหรอก ยิ่งไปกว่านั้นเรามีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้าเสียหน่อย”

 

 

“เรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

 

“ตรงนั้นอาจจะไม่เหมาะนะเราย้ายที่กันก่อนไหม”

 

ฟาร์มาตามจักรพรรดินีในขณะที่เดาว่าเรื่องนี้อาจจะสำคัญจนไม่สามารถคุยตรงนี้ได้

 

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

ฟาร์มาเดินตามหลังจักรพรรดินีไม่กี่ก้าว ก่อนจะเดินขึ้นไปบนลานประลองแล้วเธอพูดถึงเรื่องที่นึกขึ้นได้ออกมา

 

“จะว่าไปฟาร์มาเราก็มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะถาม ความคืบหน้าในการเลือกคู่ของเจ้าไปถึงไหนแล้ว?”

 

“ตอนนี้กระหม่อมยุ่งมาก เลยอยากจะขอเวลาอีกสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ก้าวของฟาร์มาเริ่มกระตุก มันเป็นหัวข้อที่เขาไม่อยากจะได้ยินมากที่สุดขณะนี้

 

 

“แล้วเจ้าจะเลิกยุ่งได้ตอนไหนกันล่ะ หือ! จะทำงานไปจนตายเลยหรือไงกัน”

 

ฟาร์มาพยายามส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรออกมา

 

“อย่างที่กระหม่อมได้บอกก่อนหน้านี้ว่า กระหม่อมไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา หากคบหากับหญิงสาวปกติอาจจะส่งผลเสียต่อพวกเธอก็ได้ ดังนั้นกระหม่อมเลยอยากจะให้ฝ่าบาทพักเรื่องนี้ไว้สักครู่หนึ่ง…”

 

ในขณะที่เขากำลังพยายามแก้ตัว จักรพรรดินีก็ก้าวขึ้นไปบนลานหินขนาดใหญ่แล้วไปยืนอยู่ที่ใจกลางนั้น ก่อนจะชักคทาของเธอออกมา ทันใดนั้นศาสตร์แห่งเทพที่ถูกสลักอาคมไว้โดยรอบก็ตอบสนองต่อพลังจากคทานั้นแล้วสร้างโดมขนาดใหญ่ขึ้นมารอบลานประลอง

 

น่าจะเป็นศาสตร์แห่งเทพชนิดหนึ่งที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับลานประลองนี้ ดูจากที่เป็นลานหินก็น่าจะเป็นของศาสตร์แห่งเทพธาตุดิน

 

 

 

“เรื่องนั้นช่างมันก่อนแล้วกัน แต่นานๆ ทีเจ้าก็มาช่วยเป็นคู่มือของเราหน่อยสิ”

 

พอฟาร์มารู้สึกตัวก็พบว่าผู้ติดตามของเธอที่มีมาจนถึงตอนนี้ได้หายไปหมดแล้ว

 

ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัว คนพวกนั้นก็รีบหนีออกจากที่นี่ไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

“คู่มือของฝ่าบาท….กระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

(ไม่มีทางน่า…จะให้ต่อสู้กับคนระดับนี้ กับฝ่าบาทเนี่ยนะ?)

 

 

 

“นำคทาของเจ้าออกมาเสีย”

 

ฟาร์มารู้สึกเหมือนว่างานจะเข้าแล้ว

 

ฝ่ายตรงข้ามคือผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้คงจะเหนือจินตนาการของเขาไปมากเลยทีเดียว

 

 

———

Note 1 : ตอนนี้สั้นสบาย…แต่อยากอ่านต่อ

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลกายในช่องว่างแห่งมิติไร้ซึ่งที่สิ้นสุด ที่ซึ่งเหล่าผู้เคยต่อสู้ฝ่าฟันกับชีวิตของตนดำรงอยู่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าที่นี่คือแห่งหนใด พื้นที่กว้างใหญ่เป็นอนันต์เปรียบเสมือนดั่งสุสาน มีผู้พิทักษ์ไร้นามคอยปกป้องอยู่ เหล่าผู้ล่วงลับต่างหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของตนเป็นนิรันดร์ วันหนึ่งผู้พิทักษ์สุสานได้เลือกคน คนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของคนผู้นั้นขึ้นมา ผู้พิทักษ์ตนนั้นได้ดึงเอาความทรงจำของร่างดังกล่าวออกมาจากสุสานก่อนจะโยนมันเข้าไปในห้วงอวกาศ มันได้ล่องลอยไปในจักรวาลอันห่างไกลและท้ายที่สุดมันก็ถึงยังจุดหมาย บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งภายในร่างของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตจากฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset