Ranker’s Return – ตอนที่ 2

หลายวันต่อมา ฮยอนนูแวะไปซื้อของขวัญวันเกิดให้แม่ของเขาที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
 
‘อารีน่า…อารีน่า…’
 
ความคิดของเขาเต็มไปด้วยความสับสน เขาเคยพูดไว้แล้วว่าจะไม่กลับไปเล่นมันอีก แต่ความคิดเกี่ยวกับเกมอารีน่า กลับวนเวียนอยู่ในหัวของเขา เวลาที่เขามีนั้นไม่มีทางพออยู่แล้ว การเริ่มใหม่เพื่อไล่ตามผู้เล่นนั้นไม่มีทางเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่จะทำ ด้วยเหตุผลทางด้านเวลานั่นแหละ เวลาชีวิตของเขาในตอนนี้ถูกแบ่งไปกับงานพาร์ทไทม์ต่าง ๆ หลายรูปแบบ หากเขาคิดจะเล่นเกมอีกล่ะก็ เขาก็จะสูญเสียวิธีหาเงินไว ๆ จากการทำงานพิเศษนี้ไป และจะทำให้ชีวิตของเขาต้องลำบากมากขึ้น
 
“ชาแนล?” ในระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น เขาก็เดินดูสินค้าอยู่ในห้างสรรพสินค้า และบังเอิญเหลือบไปเห็นรองเท้ายี่ห้อหนึ่งที่แม่ของเขาชอบใส่มัน
 
“แพงเกินไป ฉันซื้อไม่ไหวหรอก…”
 
ราคารองเท้ายี่ห้อที่เขากำลังดูอยู่นั้นแพงเหลือเกิน จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่รองเท้าเท่านั้น ทุก ๆ อย่างมันแพงไปหมด ทั้งรองเท้า กระเป๋า เสื้อผ้า และของอย่างอื่นที่เขาเคยซื้อได้แบบสบาย ๆ เมื่อสมัยที่เขายังรวยอยู่ ตอนนี้หากเขาตัดสินใจซื้อพวกมันสักชิ้น เขาคงต้องอดตายเพราะไม่มีเงินซื้อข้าวกินแน่ ๆ
 
‘ฉันเคยซื้อของแพง ๆ พวกนี้แบบไม่ต้องคิดอะไรเลย มองว่าเงินที่จ่ายไปแทบไม่มีความหมาย แม้ว่าตอนนี้ต่อให้ฉันจะรู้ซึ้งถึงเงินที่ฉันใช้ไป แต่ฉันก็ยังไม่มีปัญญาที่จะซื้อมันอยู่ดี ครอบครัวของฉันกำลังตกที่นั่งลำบาก’ ฮยอนนูเริ่มตระหนักถึงความตกต่ำของตัวเขาและครอบครัวของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
 
“เฮ้อ~”
 
สุดท้ายแล้วฮยอนนูก็เดินออกจากร้านโดยไม่ได้อะไรติดมือกลับมาเลย ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเขามีเงินแค่แปดแสนแปดหมื่นวอนเท่านั้น ถ้าเขายังดื้นรั้นที่จะซื้ออะไรสักอย่างด้วยเงินก้อนนี้ล่ะก็ เขาจะไม่มีเงินไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลของคุณพ่อ
 
ในระหว่างที่ฮยอนนูกำลังไคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับเงินที่เขามี เสียงเสียงหนึ่งก็ดังแทรกผ่านเข้ามาในโสตประสาทของเขา “จีเฮคุณชอบอันนี้ไหมครับ?” เจ้าของเสียงนั้นเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมทั้งตัว เขากำลังสนทนากับหญิงสาวข้างกายของเขาด้วยท่าทีที่ต้องการจะเอาอกเอาใจหญิงสาวผู้นั้น
 
“ชอบสิคะโอปป้า! ขอบคุณนะ ให้ฉันจูบคุณเป็นรางวัลนะ”
 
“ไม่ดีกว่า ผมต้องการอะไรที่ดีกว่านั้น”
 
“อะไรเหรอคะ?”
 
“จากนี้พวกเราน่าจะ…เอ๊ะ? นี่นายคือ…?”  ในระหว่างที่ชายหนุ่มผู้นี้กำลังหยอกเย้าหญิงสาวข้างกายของเขาอยู่นั้น เขาก็สังเกตเห็นฮยอนนูเลยแสร้งทักทายอย่างเป็นมิตร “นี่นาย… นายคือคังฮยอนนูใช่มั้ย?”
 
ทว่าฮยอนนูกลับจำหน้าของชายผู้นี้ไม่ได้เลย “นายเป็นใครเหรอ?”
 
“หึ! จำไม่ได้งั้นเหรอ นี่นายกำลังจะบอกว่าฉันไม่ควรค่าแก่การจดจำอย่างงั้นล่ะสิ?”
 
“แล้วนายเป็นใครกันล่ะ?”
 
“ฉันเอง จุงฮันแบค ไงล่ะ”
 
“จุงฮันแบค? อ้อ!” ฮยอนนูนึกออกในทันที จุงฮันแบคคือเด็กขี้อายจอมเซ่อซ่าที่พ่อของฮยอนนูแนะนำให้เขารู้จักตอนอยู่ชั้น ม.ต้น ฮยอนนูจำได้ว่าตอนนั้นเขารู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับจุงฮันแบคผู้นี้สักเท่าไหร่ เลยไม่ได้สนิทสนมและตั้งใจเว้นระยะห่างมาโดยตลอด มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงจำจุงฮันแบคไม่ได้
 
“อะไรกัน? นี่ลูกชายอดีตประธานบริหารของเครือเฟรชวอเตอร์จำฉันไม่ได้งั้นเหรอ?” จุงฮันแบคพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแกมเยาะเย้ยด้วยเจตนาที่จงใจจะหาเรื่องเขา
 
“พูดอะไรของนายน่ะ… จู่ ๆ ก็…” ฮยอนนูรู้สึกสงสัยในท่าทีของจุงฮันแบค
 
“พูดอะไรงั้นเหรอ? หึ ๆ ๆ”
 
“…”
 
“ก็นะ อยู่ดี ๆ ได้เจอกับคังฮยอนนูชายผู้ที่ได้ชื่อว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด หลังจากที่ไม่ได้เจอมานาน มันก็ต้องรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา 555” จุงฮันแบคพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ทำให้รู้สึกรังเกียจ
 
“แล้วแต่นายเถอะ!” ฮยอนนูตัดสินใจเพิกเฉยต่อจุงฮันแบค มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปต่อปากต่อคำกับคนจำพวกนี้ การเลือกที่จะไม่สนใจเป็นทางออกที่ยุ่งยากน้อยที่สุดสำหรับเขา
 
“อ้อ…จริงสิ! ที่จริงฉันตั้งใจจะมาซื้อของที่ต้องการน่ะ แล้วนายล่ะ ว่าไง?”
 
“…?”
 
“นายก็ตั้งใจมาซื้อของเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? เอ๊ะ…หรือว่าจะไม่ซื้อ? อืม…แต่ว่าอย่างนายตอนนี้คงจะไม่มีปัญญาซื้ออะไรเลยสินะ?”
 
“นี่นายหมายความว่ายังไง!”
 
 
“หรือจะบอกว่านายยังซื้อได้กันล่ะ? ครอบครัวของนายมันล้มละลายไปแล้วนี่ ยังกล้าเสนอหน้ามาเดินในที่แบบนี้อีกงั้นเหรอ? ไม่เจียมตัวจริง ๆ เลยนะ คังฮยอนนู”
 
“นี่แก…แกรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?” ฮยองนูตกตะลึงไปชั่วขณะ จุงฮันแบครู้ถึงสถานการณ์ของครอบครัวเขาได้อย่างไร? เขาบอกเรื่องนี้แค่กับยองซานคนเดียวเท่านั้นนี่
 
ริมฝีปากของจุงฮันแบคค่อย ๆ ยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มแห่งการดูถูก เขาจ้องมองไปยังฮยอนนูด้วยท่าทีเยาะเย้ย การเจอฮยอนนูในห้างสรรพสินค้าในขณะที่กำลังซื้อของขวัญให้แฟนสาวครั้งนี้ทำให้จุงฮันแบครู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ฮยอนนูผู้น่าสมเพชที่ครั้งหนึ่งเคยละเลยต่อตัวตนของเขา
 
‘ฉันอยากจะเห็นใบหน้าของเจ้านั่นบิดเบี้ยวไปด้วยความทรมานสักครั้ง’ เรื่องราวเบื้องหลังที่ฮยอนนูไม่เคยรู้มาก่อนค่อย ๆ หลุดออกจากปากของจุงฮันแบค มันเป็นเรื่องราวที่บดขยี้จิตใจของฮยอนนูอย่างรุนแรง
 
“ฉันรู้ได้ยังไงงั้นเหรอ? หึ! นั่นก็เป็นเพราะว่าพ่อของฉันคือคนที่ทำลายครอบครัวของนายยังไงล่ะ! มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกนะที่ลูกชายอย่างฉันจะไม่รู้ จริงไหม 555”
 
“นี่แกว่ายังไงนะ!” ฮยอนนูสัมผัสได้ถึงความร้อนฉ่าในตัวเขาที่กำลังประทุขึ้นมาหลังจากฟังคำพูดเย้ยหยันของจุงฮันแบคจบ เขาไม่เข้าใจเลยว่าไอ้หมอนี่มันพูดอะไรออกมา พ่อของมันเป็นคนทำลายครอบครัวเขางั้นเหรอ? “อย่าบอกนะว่า…” มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นที่พอจะช่วยไขกระจ่างคำพูดของจุงฮันแบคได้
 
“คนที่ลอบแทงข้างหลังพ่อของฉัน…คือพ่อของแกงั้นเหรอ?” ฮยอนนูเอ่ยถามถึงสิ่งที่เขากำลังสงสัยออกมาทันที
 
“ใช่แล้ว! 555” จุงฮันแบคไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่เพียงเสี้ยววิในการปฏิเสธ “ที่ผ่านมาพ่อของฉันต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากกับการที่จะต้องพยายามเอาอกเอาใจพ่อของแก แกไม่คิดบ้างเหรอว่านี่เป็นเวลาสำหรับพ่อของฉันที่ควรจะได้รับสิ่งตอบแทน? จริงไหมฮยอนนู?”
 
“…!” ฮยอนนูรู้สึกตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
 
“ไอ้เด็กเหลือขอเอ๊ย! คนที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดอย่างแก คนที่วัน ๆ เอาแต่เดินด้วยท่าทางหยิ่งผยองอย่างแกน่ะ ควรได้ดื่มด่ำกับช่วงเวลาแบบนี้สะบ้าง! ในเมื่อแกคิดว่าตัวเองแน่นักละก็ จงลิ้มรสของมันให้เต็มที่เถอะ! 555”
 
“ดื่มด่ำ? ลิ้มรส? นี่แกตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่?”
 
“หึ! พูดอะไรงั้นเหรอ ที่ฉันตั้งใจจะพูดคือให้แกลิ้มรสความขมขื่น ความเจ็บปวด และความน่าสมเพชของการได้อมช้อนเปื้อนโคลนไว้ในปากยังไงล่ะ! จากนี้ไปฉันขอให้แกได้ใช้ชีวิตอย่างขอทานตกอับหน้าโง่คนนึง แล้วก็ตายแบบหมาจรจัดข้างถนนอยู่ในกองขยะซะเถอะ! 555 ”
 
“…”
 
“ถ้างั้นไว้เจอกันคราวหน้านะไอ้ขยะ ไม่สิ ขยะอย่างแกคงจะเน่าตายอยู่ข้างทางก่อนที่พวกเราจะได้เจอกันครั้งหน้าสะอีก ไปกันเถอะจีเฮ” จุงฮันแบคพูดไปพลางทำสีหน้าเยาะเย้ยดูถูกไปพลางเหมือนกับกำลังแสดงละครอยู่อย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจจนถึงขีดสุด
 
“ค่ะโอปป้า”
 
จุงฮันแบคหันหลังให้ฮยอนนูแล้วเดินจากไป จากนั้นเขาก็พูดกับตัวเองว่า “หึ! เจ้างั่งเอ้ย…มันคงจะสูญเสียความกล้าไปพร้อมกับครอบครัวที่ล้มละลายของมันไปแล้ว ถึงได้ทำตัวเป็นแค่สวะใจฝ่อคนนึงที่ไม่ยอมพูดตอบโต้อะไรเลยซักคำ แม้จะโดนฉันด่าว่าเป็นขยะก็ตาม…” เขาจงใจพูดออกมาด้วยเสียงที่ดังมากเพื่อที่จะให้ฮยอนนูได้ยิน
 
“แก!…ไอ้เวรเอ้ย!…” คำพูดเหล่านั้นเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความอดทนของฮยอนนูขาดผึง
 
ฮยอนนูก้าวเข้าไปดึงแขนเสื้อของจุงฮันแบคให้หันหน้ามาทางเขา แรงกระชากของฮยอนนูทำให้ร่างของจุงฮันแบคพลิกหันกลับมา จากนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือกำปั้น! ฮยอนนูต่อยเข้าที่ใบหน้าของจุงฮันแบคอย่างเต็มแรง
 
“อั่ก!”
 
“โอปป้า! กรี๊ดดดดด”
 
“อั่ก!…อั่ก!!…อั่ก!!!…” ฮยอนนูต่อยจุงฮันแบคโดยไม่ยั้งมือทำให้จุงฮันแบคร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวด
 
 
เจ้าหน้าที่ของห้างสรรพสินค้าที่เห็นเหตุการณ์จึงรีบเข้ามาห้ามฮยอนนูในทันที
 
“ปะ…ปล่อยฉันนะเว้ย! ฉันจะไม่หยุดจนกว่าไอ้สารเลวนี้มันจะตาย!” อย่างไรก็ตามฮยอนนูก็ได้สูญเสียเหตุผลและความยับยั้งชั่งใจทั้งหมดไปแล้ว เวลานี้ตัวเขากลายเป็นเพียงสัตว์ป่าที่ต่อสู้ด้วยแรงขับเคลื่อนจากสัญชาตญาณและความโกรธภายในใจเพียงเท่านั้น
 
“หยุดนะ! คนคนนั้นคือลูกชายของท่านประธานจุงนะ!”
 
“จับเขาเอาไว้!”
 
“เจ้าบ้าเอ๊ย! อยู่นิ่ง ๆ สิวะ!”
 
พนักงานห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ไม่มีใครอยู่ข้างฮยอนนูเลย แน่ล่ะก็จุงฮันแบคเป็นถึงลูกค้าระดับซุปเปอร์วีไอพี ในขณะที่ฮยอนนูเป็นเพียงแค่ชายในวัยยี่สิบกว่าปีที่สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ เท่านั้น
 
เงิน…
 
เงินของเขา…
 
‘เงิน’ เป็นคำที่ทำให้เขารู้สึกโกรธ และมันยังเป็นสิ่งที่คอยฉุดรั้งขาของเขาเอาไว้
 
‘เงิน’ สำหรับผู้คนนั้นมันมีไว้เพื่ออะไรกันแน่…?
 
“มัวทำอะไรอยู่? ยังไม่รีบแจ้งตำรวจอีกเหรอ เร็ว ๆ เข้าสิ!” จุงฮันแบคพูดไปพลางเช็ดเลือดกำเดาที่ไหลออกจากจมูกไปพลาง อย่างไรก็ตามเขายังคงไม่ลืมที่จะส่งรอยยิ้มเยาะเย้ยมายังฮยอนนูอีกครั้ง
 
***
 
หลายชั่วโมงผ่านไป ฮยอนนูที่กำลังยืนอยู่ด้านหน้าของสถานีตำรวจได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างเร่งรีบ มีบางอย่างที่เขาต้องตรวจสอบให้แน่ใจ มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการคำตอบจากบุคคลเพียงบุคคลเดียวเท่านั้น และเขาไม่ยอมฟังคำตอบนี้จากคนใคร คนไหนทั้งสิ้น
 
“ฮัลโหล”
 
“แม่ครับ ผมเอง คุณพ่อยังสบายดีไหมครับ?”
 
“พ่อของลูกยังคงนอนป่วยอยู่เลย…แล้วลูกล่ะ…สบายดีไหม?”
 
“ผมสบายดีครับ ผมจะไปโรงพยาบาลตอนวันเกิดแม่นะ แต่ว่า เรื่องธุรกิจของพ่อน่ะ เป็นคุณลุงจุงใช่ไหมครับที่ทรยศ?”
 
“นะ.. นั่นน่ะ!” แม่ของเขาเริ่มพูดตะกุกตะกักเมื่อได้ยินคำถามนี้ออกจากลูกชาย “ชะ…ใช่แล้วล่ะ ทำไมลูกถึง…”
 
“จริง ๆ ใช่ไหมครับ?”
 
“นั่นน่ะ…ฮยอนนู…คือว่า…”
 
คำตอบที่แม่ของเขาให้นั้นถูกแทรกด้วยเสียงถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า มีแต่ความโสมมและวิธีการที่สกปรกเต็มไปหมด สิ่งที่พ่อของจุงฮันแบคทำกับพ่อของฮยอนนูนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์พึงกระทำ ฮยอนนูรีบวางสายทันทีถึงแม้จะยังฟังคำพูดของแม่ไม่จบ มันยากเกินไปสำหรับเขาที่จะทนฟังเรื่องเลวร้ายแบบนี้ต่อไป คุณลุงที่ครั้งหนึ่งเคยดูเหมือนคนในครอบครัวกลับสามารถทรยศครอบครัวของเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นดูจากการที่บริษัทพัฒนาไปอย่างรวดเร็วหลังเกิดเหตุการณ์แล้ว ยังไงก็ต้องมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังอีกแน่ คงจะไม่ได้มีแค่พ่อของจุงฮันแบคเท่านั้นที่รู้เห็นเป็นใจในการกระทำครั้งนี้
 
‘ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องหาทางล้างแค้นให้ได้…ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม…’ ฮยอนนูกล้ำกลืนความคุกรุ่นของตัวเองลงไป ตัวของเขาสั่นเทาไปด้วยความโกรธแค้น มือของเขากำแน่นเสียจนมีเลือดไหลออกจากบาดแผลที่เล็บของเขาจิกลงไปบนฝ่ามือ
 
‘ไอ้พวกเศษสวะ…คอยดูเถอะ…มันจะต้องไม่จบแบบนี้แน่!’
 
ความโกรธของเขาเปรียบเสมือนภูเขาไฟที่กำลังประทุ มันทั้งดุเดือดและพร้อมที่จะทำลายสิ่งที่ขวางทางอยู่ให้มันพงพินาศ ทว่าถึงอย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ยังหาวิธีล้างแค้นไม่เจอ เขาควรจะทำอย่างไรดีล่ะ?
 
‘ทำยังไงดี ฉันควรทำยังไงดี?…’
 
การทำงานพาร์ทไทม์ตั้งแต่เช้ายันเย็นไม่ใช่คำตอบของเขา เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลของพ่อและค่าครองชีพนั้นสูงเกินกว่าที่จะทำให้เขาทำอะไรอย่างอื่นได้ เขาจะไม่มีทั้งเงินและเวลาในการไปเรียนมหาวิทยาลัย ดังนั้นก็จะไม่มีทางหางานประจำทำได้ อย่างไรฮยอนนูก็ต้องหาวิธีอื่นในการหาเงินให้มากพอสำหรับการฟื้นฟูครอบครัวของเขาให้กลับมาเป็นดั่งเดิมและแก้แค้นคนที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องตกอยู่ในสภาพนี้ให้จนได้
 
‘เขาควรทำอย่างไรดี?’ จิตใจของฮยอนนูจมอยู่ในห้วงลึกกับการสรรหาวิธีล้างแค้น และในตอนนั้นเองนั้นเองเสียงเสียงหนึ่งที่ดังมาจากร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าใกล้ ๆ กับที่เขายืนอยู่ก็ผ่านเข้าในโสตประสาทของเขา
 
“ผู้เล่นคนนั้นน่ะ เขาเซ็นสัญญาเพื่อรับค่าจ้างรายปีตั้งห้าร้อยล้านวอนเชียวนะ!”
 
“แล้วรายได้จากการสตรีมก็เกินหนึ่งพันล้านวอนไปแล้วด้วย! วิเศษไปเลย!”
 
ห้วงความคิดของฮยอนนูหยุดลงในทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเขาเต้นกระชั้นขึ้นเพราะตื่นเต้นกับการได้พบหนทางที่จะนำพาตัวเขาไปสู่เป้าหมาย
 
‘ใช่แล้ว หนทางที่เหลือคงมีแค่หนทางนี้หนทางเดียวเท่านั้น…’
 
ยังคงมีแสงแห่งความหวังดวงเล็ก ๆ ส่องทางให้กับเขาอยู่ ฮยอนนูรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งเพื่อโทรหาเพื่อนสนิทของเขาในทันที “ยองซานเหรอ? นี่ฉันเอง”
 
ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมา ฮยอนนูก็รีบพูดในสิ่งที่เขาคิดทันที “ฉันตัดสินใจได้แล้วล่ะ ฉันว่า…เกมอารีน่าน่ะ…มาเริ่มเล่นมันใหม่อีกครั้งเถอะ!”
 
ฮยอนนูผู้ซึ่งได้อันดับหนึ่งของการจัดลำดับแรงค์ ตำนานของผู้เล่นที่ไม่เคยพ่ายแพ้ ครั้งหนึ่งชื่อของเขาเคยถูกกล่าวขานจนเลื่องลือ เขาผู้ซึ่งเคยได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่เก่งกาจที่สุดในเกม ตอนนี้ผู้เล่นในตำนานเช่นเขากำลังจะกลับมาทวงบัลลังก์อันเป็นสุดยอดอีกครั้ง!

Ranker’s Return

Ranker’s Return

“คุณต้องการสร้างตัวละครใหม่หรือไม่?” เขาคือผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุด! เขาคือผู้ครองอันดับ 1 ในทุกสถิติ! เขาคือ เมลีก็อด (Meleegod) ผู้เล่นในตำนานแห่งเกมวิชวลเรียลลิตี้ชื่อดังของยุค “อารีน่า” (Arena) กว่า 2 ปีที่ชื่อของเขาถูกลบเลือน ตำนานของเขาเริ่มจางหาย ทว่าตอนนี้เขากลับมาอีกครั้ง เพื่อช่วยกอบกู้ครอบครัวที่ล้มละลายของเขา เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นหนึ่งอีกครั้ง ตำนานบทใหม่ของเขาได้เริ่มขึ้นแล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset