Sevens – ตอนที่ 0 บทเริ่ม

บทนำ

 

ผู้ที่ยืนอยู่ใจกลางลานกว้างของคฤหาสน์คือน้องสาวของผม

 

เธอเป็นตัวตนที่สมบูรณ์แบบ

 

ถ้าจะมีใครสักคนที่ได้รับความรักจากพระเจ้า ก็คงจะเป็นเธอล่ะมั้ง

 

‘ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ได้’

 

ผมกลั้นหายใจ และจับดาบมือเดียวด้วยแขนทั้งสองข้าง โดยที่ปลายดาบกำลังสั่นอยู่

 

ไม่ใช่แค่ความอ่อนล้า แต่ความกลัวก็ปรากฏชัดบนคมดาบ

 

“ฮา…ฮ…”

 

ดาบในมือผมเป็นดาบจริง เช่นเดียวกับเรเปียร์ที่น้องสาวผมถืออยู่

การที่พวกเราจริงจังถึงขนาดใช้อาวุธ ผมคิดยังไงก็ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย

 

แต่คนที่ต้องการให้มีการต่อสู้นี้ขึ้น ก็เป็นน้องสาวของผมจริงแท้แน่นอน

 

เธอในชุดเดรสพูดขึ้นมาพร้อมกับมองผมด้วยสายตาไร้อารมณ์

 

“นี่ ยังจะสู้ต่ออีกหรือคะ ท่านพี่?”

 

แม้ตอนนี้เธอจะเรียกผมว่าท่านพี่ก็จริง แต่เธอก็ไม่เคยเรียกชื่อผมจริงๆ เลยสักครั้ง  

มีแต่จะเรียกว่า “แก” “เจ้านั่น” หรือคำอื่นๆ ที่เธอมักจะใช้เรียกแทนชื่อของผม

 

แม้กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนในที่นี้ ที่คิดว่ามันผิดปกติ

 

เธอสวมชุดเดรสสีงาช้างและรองเท้าสีแดง  

ถึงแม้เรากำลังแลกดาบกันอยู่ แต่กลับมีเพียงผมคนเดียวที่เหงื่อออกจนชุ่ม

 

ชุดของเธอดูสะอาดสะอ้าน เหมือนกำลังจะไปออกพิธี

ส่วนเรเปียร์ที่เธอถือก็ถูกทำพิเศษขึ้นโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ

 

มันถูกตกแต่งอย่างปราณีต ตัวด้ามถือก็มีอัญมณีสีเหลืองฝังไว้

เป็นอัญมณีพิเศษที่สามารถปลดปล่อยสกิลได้ และไม่สามารถผลิตเพิ่มได้อีกแล้วในยุคนี้  

 

เรเปียร์นั่น ถูกนับเป็นหนึ่งในไอเทมเวทมนต์ หรืออาวุธที่ถูกเรียกว่า ดาบมนตรา

เป็นของหายากที่แม้แต่เงิน 100 เหรียญทองก็หาซื้อไม่ได้

 

ด้วยดาบในมือที่ไม่เข้ากันกับชุด ทำให้รู้สึกขัดตากับภาพของน้องสาวตรงหน้า

 

ในปีนี้เธอจะอายุขึ้น 13 มีผมสีทองพริ้วไสว รูปร่างของเธอค่อนข้างยั่วยวนไม่สมวัย

 

ดวงตาสีฟ้าของเธอ จ้องมาที่ผมอย่างเย็นชาจนรู้สึกเสียวสันหลัง

 

กลัว ผมอยากวิ่งหนี แต่ก็ทำไม่ได้

 

“ยัง การดวลนี้ยังไม่จบ! “

 

ผมข่มความกลัวและก้าวออกไป

 

ผมเชื่อในทักษะดาบของตัวเองที่หมั่นฝึกฝนมา แม้เทียบกับผู้ใหญ่ก็มั่นใจว่าจะไม่แพ้

 

ครอบครัววอลท์…เพื่อที่จะเป็นใหญ่ในหมู่ชนชั้นสูง  

ผมจึงถูกฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่เป็นเด็ก และผมก็มั่นใจในดาบของตัวเอง

 

แต่…

 

“เฮ้อ ช้าจัง”

 

ในอดีตผมเคยเป็นอัจฉริยะ เป็นเด็กอัศจรรย์ พวกเขาคอยชื่นชมผมเสมอ

เพื่อที่จะตอบรับความคาดหวังของพ่อแม่ และครอบครัว ผมจึงพยายามอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

แต่ต่อหน้าน้องสาวที่อายุอ่อนกว่า 2 ปีของผม ความพยายามพวกนั้นก็ไร้ค่า

 

แน่นอนว่าน้องของผมเป็นเด็กผู้หญิง ทักษะดาบจึงไม่จำเป็นสำหรับเธอ

ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาเธอก็ไม่ได้ฝึกฝนมัน เพียงแค่ได้รับการสอนพื้นฐานการจับถือและฟันดาบเท่านั้น

 

แต่ ผมก็ไม่อาจเอาชนะเธอได้

 

“โอ้ย!”  

 

เราปะดาบกันนับครั้งไม่ถ้วน และบนร่างของผมก็เกิดรอยขีดข่วนขึ้นมากมาย

ในขณะที่เธอหลบดาบของผมได้อย่างชิวๆ ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย

 

ในจังหวะนั้น ดาบเรเปียร์ที่เหมือนกับแส้ของเธอก็เฉือนเข้าที่ใบหน้า แขน และท้องของผม

 

“เจ้ามีแผลร้ายแรง 3 แผลแล้วนะ ไรเอล”

 

ชื่อของเด็กผู้หญิงที่กำลังเรียกผมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า คือ เซเลส วอลท์

 

ถ้าพูดถึงผู้ที่ได้รับพรจากสวรรค์ ทุกคนจะนึกถึงน้องสาวก่อนผมเสมอ

และผมก็เป็นแค่คนเดียวที่เกลียดเธอมาก

 

หลังจากการโจมตีของผมถูกหลบได้ ผมก็สะดุดขาตัวเองล้มลงไปกองบนพื้นหญ้า

 

ทั้งตัวชุ่มไปด้วยเลือด ส่วนเสื้อผ้าก็มีแต่เหงื่อเหนียวเหนอะหนะ

 

ผมสีฟ้าของผมก็เปียกไม่เป็นทรง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมัน

ขณะกำลังพยายามจะลุกขึ้น ผมก็เห็นเท้าสีแดงของเธอกำลังพุ่งมา

 

“อั่ก! “

 

ผมยกแขนขึ้นมากัน แต่ก็รักษาสมดุลไม่ได้ ลำตัวลอยขึ้นเล็กน้อยก่อนที่ผมจะลงไปกลิ้งบนพื้นอีกรอบ

 

“น่ารังเกียจอะไรเช่นนี้”

 

“ใช่ การที่เจ้านี่คือลูกชายของพวกเรา ช่างน่าสมเพชจริงๆ “

 

ที่ๆ ผมล้มลงคือตรงหน้าพ่อกับแม่ของผม

 

พวกเราถูกล้อมรอบด้วยคนรับใช้มากมาย แต่ไม่มีใครสักคนที่คอยให้กำลังใจผม

 

‘พ่อ…แม่…ทำไมกัน…’

 

อยากจะร้องไห้ ผมกลั้นความเจ็บปวดแล้วลุกขึ้นยืน หันไปเผชิญหน้ากับเซเลสที่กำลังยิ้มรออยู่

 

“เป็นอะไรไป? นั่นคือทั้งหมดที่เจ้าทำได้แล้วเหรอ ไรเอล? “

 

เธอจงใจยั่วยุโดยการเรียกชื่อของผม

 

“ช่างน่าเศร้า ขนาดเซเลสได้เรียนเพียงแค่ผิวเผินของทักษะดาบพื้นฐานเองนะ”

 

“มันควรจะเป็นเซเลสที่สืบทอดตระกูลวอลท์ตั้งแต่แรก”

 

พ่อแม่ของผมพูดออกมาจากด้านหลัง

 

แม้จะพูดแบบนี้ แต่พวกท่านก็เคยทำดีกับผมเช่นกัน

อย่างดาบคมเดียวที่ผมถืออยู่นี้ ก็เป็นสิ่งที่พวกท่านเคยเตรียมไว้ให้ผมเมื่อนานมาแล้ว

 

‘ไรเอล เจ้าคือคนของตระกูลวอลท์ เจ้าต้องได้ถือแต่อาวุธที่ดีที่สุดเท่านั้น’

‘เหมาะมาก ไรเอล สมแล้วที่เจ้าเป็นลูกของพวกเรา’

 

พวกท่านยังคงยิ้มอย่างอบอุ่นให้ผมจนกระทั่งอายุได้ 10 ขวบ

 

หลังจากนั้น พ่อแม่ของผมก็หันไปเห่อเซเลส จนลืมผมไปสนิท

 

และไม่ใช่แค่เฉพาะครอบครัวของผม

 

แม้แต่เหล่าคนรับใช้ ที่เคยปฎิบัติต่อผมอย่างดีในฐานะทายาทของตระกูลวอลท์ ก็หันไปประจบเซเลสแทน

 

พวกเขาเอาแต่นินทาผมลับหลังว่าผมไม่มีทางสืบทอดตระกูลได้

 

ก่อนผมจะอายุ 10 ปี ทั้งตระกูล และเหล่าชาวเมืองต่างยกย่องให้ผมเป็นผู้นำคนต่อไป

 

แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว นี่ล่ะความเป็นจริง

 

“ตอนนี้ เซเลสคือผู้สืบทอดที่แท้จริงแล้ว”

 

“เฮ้อ ที่จริงพวกท่านไม่ต้องทำอะไรแบบนี้ก็ได้ แค่ไล่เด็กนั่นออกไปแต่แรกก็จบแล้ว”

 

“ทั้งๆ ที่ไม่มีโอกาสเอาชนะท่านเซเลสได้อยู่แล้ว ช่างโง่เขลานัก”

 

น้ำตาของผมเริ่มไหลออกมา

 

‘ชั้นไปทำอะไรให้รึไง ทำไมต้องเกลียดกันขนาดนี้ด้วย!? ‘

 

ขนาดกับเซเลสน้องสาวของผม ผมก็ไม่เคยรังแกเธอเลย ที่ผมทำก็แค่ปฎิบัติต่อเธอในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง

 

เซเลสไม่ชอบอะไรที่ผมทำหรือไง?

 

“ตายจริง เจ้ากำลังร้องไห้? น่าสมเพชจริงเชียว “

 

เธอเริ่มหัวเราะเหมือนกำลังสนุกอยู่

 

“เจ้าทำแบบนี้กับพี่ทำไม! พี่ไปทำอะไรให้เจ้ากัน!? “

 

เมื่อผมตะคอก เซเลสก็หุบยิ้มลง

 

“…หนวกหู ช่างหัวเจ้าสิ เจ้าจะไปอยู่ไหนก็เรื่องของเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าเกะกะลูกตาข้าอยู่ ข้าจะไสหัวเจ้าออกไปซะ”

 

“ธะ เธอพูดอะไร-“

 

เธอชี้นิ้วมือซ้ายมาทางผม

 

‘เธอจะใช้เวทมนต์!?’

 

ผมมองไปด้านหลัง เห็นพ่อแม่ และเหล่าคนรับใช้กำลังหลีกทางให้กับวิถีเวทมนต์ของเธอ

 

“บ้าเอ้ย! กำแพงน้ำแข็ง! “

 

กำแพงน้ำแข็งปรากฎขึ้นมาด้านหน้าของผม

 

มันคือเวทมนต์ธาตุน้ำที่มีคุณสมบัติเป็น ‘โล่’ เพื่อที่จะได้รับคำชม- เพื่อที่ให้พ่อแม่กลับหันมามองบ้าง

ผมจึงฝึกฝนมันด้วยตัวเอง

 

ไม่ใช่แค่ทักษะดาบ เวทมนต์ การขี่ม้า หรือแม้แต่วิชาการ…ผมก็ล้วนถูกมองว่าไร้ประโยชน์

 

“กระสุนไฟ”

 

เพื่อแสดงให้เห้นว่าเหนือกว่า เซเลสจึงเริ่มร่ายมนต์หลังจากที่ผมสร้างกำแพงเสร็จ

ตรงข้ามกับผม มันเป็นเวทมนต์ธาตุไฟซึ่งอยู่ในระดับพื้นฐานของพื้นฐาน  

และเป็นมิตรกับผู้ร่ายเวทมนต์เริ่มต้น เนื่องจากมันสร้างแค่บอลไฟขึ้นมาเท่านั้น

 

แต่กำแพงน้ำแข็งที่ผมสร้างขึ้นมาถูกบอลไฟเจาะอย่างง่ายดาย

 

เพราะว่าเธอไม่ได้ยิงบอลไฟมาแค่ลูกเดียว

 

เธอยิงเวทมนต์เดิมจากปลายนิ้วนับร้อยครั้ง แม้ความต่างของจำนวนจะมาก แต่เวทมนต์ของผมก็ชนะทางธาตุเช่นกัน  

ถึงอย่างนั้นผมกลับพ่ายแพ้ต่อเวทมนต์ขั้นต้นของเซเลส

 

“อึก หัตถ์ดิน! “

 

มีแขน 4 ข้างงอกขึ้นมาจากพื้นดินรอบตัวผมพุ่งเข้าไปโจมตีเธอ

 

“น่าเบื่อ”

 

เซเลสฉีกยิ้ม ใช้เรเปียร์ในมือฟันมือดินของผมทิ้ง

เดิมทีแล้วเรเปียร์เป็นอาวุธที่ใช้สำหรับในการแทง

แต่เธอก็ใช้พลังเวทเคลือบคมดาบแล้วฟันเวทมนต์ของผมลงโดยง่าย

 

“กระสุนดิน”

 

เพื่อเอาชนะ ผมจึงร่ายเวทมนต์ต่อไป หินพุ่งแหวกขึ้นมาจากพื้นเหมือนกระสุนปืนใหญ่  

 

แต่ผมก็ไม่มีโอกาสชนะเลย

 

“โล่”

 

ไร้การแสดงอารมณ์ เธอยังคงร่ายเวทมนต์ขึ้นด้วยรอยยิ้ม  

กำแพงเวทมนต์อย่างง่าย ที่สร้างจากพลังเวทบริสุทธิ์ป้องกันกระสุนดินของผมได้อย่างสมบูรณ์

 

ถึงจะไม่มากเท่าเธอ แต่จำนวนเวทมนต์ที่ผมยิงไปก็นับไม่ถ้วน แน่นอนว่าไม่มีสักนัดที่ไปถึงตัวเธอได้เลย

 

‘ชั้นไม่มีพลังเวทมนต์เหลือแล้ว จบสิ้นแล้วล่ะ…’

 

ผมเข้าใจว่าคงไม่มีโอกาสชนะ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องสู้กับเธอ

 

ไม่งั้นผมคงจะถูกไล่ออกจากตระกูลโดยที่่ยังไม่ได้ดิ้นรนอะไรเลย

 

เรื่องทั้งหมดนี้มันเริ่มต้นจากคำพูดของเซเลส

 

“ท่านพ่อ ปีนี้ท่านพี่จะอายุ 15 ปี และกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วนะคะ

ไม่ใช่ว่าถึงเวลาตัดสินว่าใครควรที่จะเป็นผู้นำตระกูลวอลท์แล้วหรือคะ? “

 

โดยทั่วไป ผู้ชายย่อมเป็นผู้นำตระกูลอยู่แล้ว

 

แต่พ่อแม่ก็เข้าข้างเธอ พวกท่านจึงยอมรับการดวลนี้

 

‘ผู้แพ้จะต้องออกไปจากตระกูล ตกลงไหมคะ ท่านพี่? ‘

 

เธอเกลียดผม หรือไม่เธอก็คงคิดว่าผมขัดหูขัดตานั่นแหละ แล้วการต่อสู้ของผมกับเธอก็เริ่มต้นขึ้นเช่นนี้

 

ที่จริงมันก็ใช่ว่าเป็นเรื่องที่แปลกอะไร

 

การที่ผู้หญิงจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลก็ใช่ว่าจะไม่เคยมี แต่ในกรณีของผม มันเป็นเรื่องของคติประจำตระกูล

 

ตระกูลวอลท์นั้นสืบทอดต่อกันมาด้วยผู้นำตระกูลชาย นับรุ่นสู่รุ่นจากต้นตระกูลมาร่วมสองร้อยกว่าปีแล้ว

 

แม้กระนั้น พ่อแม่ก็ยังเห็นด้วยกับคำพูดของเซเลสที่ต้องการแทนที่ผม ที่เป็นลูกชายคนโต

 

“เซเลส ไม่มีวัน ที่คนอย่างเธอจะ-! “

 

ผมพุ่งเข้าไปฟันเซเลสด้วยแรงทั้งหมด ฟันสุดแรงไปทางน้องสาวของผมที่ดูภายนอกเป็นสาวน้อยบอบบาง

 

ในสายตาคนอื่น ตัวผมคงถูกมองว่าแพ้ไปแล้วอย่างแน่นอน ลึกๆ ในใจผมก็รู้อยู่แล้ว  

แต่ผมก็ยังใส่ความทรงจำการฝึกเหวี่ยงดาบนับร้อยนับพันที่ผ่านมาลงไปในการโจมตีนี้

 

การโจมตีที่ใส่แรงทั้งหมดนี้ของผม ถ้าโดนเธอ มันจะผ่าเธอเป็นสองซีกได้เลย

 

…ใช่ ถ้าโดนล่ะนะ

 

เป็นเรื่องดีที่ผมเข้าประชิดเธอได้ เพราะนี่เป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุดที่ผมจะทำได้ในตอนนี้แล้ว

 

แต่มันก็ไปไม่ถึงเธอ

 

เธอหันข้างเพื่อหลบการฟันในแนวดิ่ง และสวนดาบกลับมาสร้างรอยแผลบนตัวผม

เช่นเคย เพื่อที่จะทรมานผม เธอจึงไม่ลงแรงมากนัก  

 

แต่มันยังไม่จบหรอก

 

“ยังหรอก! “

 

ด้วยดาบที่ปักอยู่บนพื้น ผมปล่อยมือซ้าย และสวิงดาบขึ้นมาด้วยมือขวา

รวมกับการฟันในทีแรก วิถีดาบจึงเป็นรูปตัวV

 

เซเลสเบิกตากว้าง

 

มันเป็นไพ่ตายของผมที่ฝึกขึ้นเองอย่างลับๆ

 

มันยังคงไม่โดนเธอจังๆ ได้แค่เฉียดชุดเดรสของเธอเท่านั้น

 

‘เธอหลับทันได้ยังไงกันนะ? ‘

 

มันคือไม้ตายของผม แต่เธอกลับตอบสนองได้เร็วกว่านั้น

แต่การที่มันเฉือนชุดของเธอได้ ก็นับว่ามันได้ผลแล้วล่ะนะ

 

‘โดนแล้ว ดาบของชั้นโดนแล้ว! ‘

 

หากมองจากภายนอก การที่พี่ชายถลึงตามองน้องสาวของตัวเองด้วยอารมณ์นั้นคงไม่เหมาะ

แต่เรื่องนั้นมันไม่มีความหมายเลย เพราะคู่ต้อสู้ของผมคือเซเลส

 

แค่ได้เห็นใบหน้าสวยๆ ของเธอบิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชังเพียงพริบตา ก็นับว่าคุ้มค่านัก

พวกเราก้าวถอยหลังคุมเชิง ผมยิ้มมุมปากทั้งๆ ที่หายใจไม่ทัน

 

สิ่งที่ผมทำได้เพื่อต่อต้านเธอในตอนนี้คือ

 

“ว่าไง เซเลส? “

 

เธอสั่น มองต่ำมาที่ผมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เธอต้องรู้สึกอับอายแน่ๆ

จะมีสักกี่ครั้งกันนะที่ผมเคยเห็นเซเลสน้อยสาวของผมอายน่ะ?

 

“…อย่ามีเรียกชื่อของข้า เจ้าโสโครก”

 

“…เอ๋? “

 

กว่าผมจะรู้ตัว เธอก็หายไปจากสายตาซะแล้ว แต่เสียงของเธอกลับดังมาจากทางด้านหลังผม

 

เมื่อผมหันไป กำปั้นของเธอก็พุ่งมาที่ใบหน้า

 

‘อะ อะไรน่ะ? ‘

 

ไม่รู้สึกถึงความเจ็บ เมื่อผมรู้ตัว ดาบในมือก็หายไป และผมก็ลอยอยู่บนอากาศ

สิ่งที่ผมเห็นล้วนเชื่องช้า เห็นแค่เซเลสยังคงเคลื่อนไหวด้วยความเร็วตามปกติ

 

เธอกระโดดถีบผมด้วยรองเท้าคู่สวย

 

ขณะกระเด็นอยู่ ผมก็มองเห็นเธอปล่อยเวทมนต์ไฟออกมา

 

‘แย่ล่ะ ชั้นตายแน่! ‘

 

ผมรีบรวมรวบพลังเวทเพื่่อร่ายเวทมนต์ป้องกัน แต่เวทมนต์ที่เซเลสปล่อยออกมาเป็นเวทมนต์ขั้นสูง

มันคือเวทมนต์ที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญของตัวผู้ร่ายอย่างมาก

 

เธอต้องการฆ่าผมชัดเจน

 

“พายุไฟ”

 

ในตอนที่เสียงไม่แยแสของเธอดังขึ้น ผมก็กรีดร้องออกมา

 

“ลูกบอลน้ำ! “

 

ผมรีดเร้นพลังที่เหลืออยู่เพื่อปล่อยเวทมนต์ออกมาคุมรอบตัว  

ในขณะที่พายุไฟโหมกระหน่ำเพื่อเผาตัวผมจนตาย

 

แม้ผมจะปล่อยเวทมนต์ออกมา แต่ก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะป้องกันมันได้

 

ที่ผมรู้ก็คือ เธอใช้เวทมนต์นี้เพื่อฆ่าผมอย่างแน่นอน

 

“ข-ข้าขวางหูขวางตาเจ้าขนาดนี้เลยเหรอ เซเลส!? “

 

ผมตะโกนออกไปพร้อมกับตกลงบนพื้น แรงกระแทกทำให้ผมปวดร้าวไปทั้งร่างกาย

 

ด้วยความเจ็บสะสมที่ผมมี แรงกระแทกนี้ทำให้ผมลุกไม่ขึ้น

 

ใบดาบของผมที่ปักอยู่ข้างๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงจากความร้อน

 

ถึงจะรู้ว่าต้องโดนลวกถ้าเอามือไปจับ แต่ผมก็เอื้อมไปทางมัน

 

ถึงจะไม่เกี่ยวข้องอะไรแล้ว แต่ผมก็ยังไม่อยากทิ้งมันไป

เพราะสำหรับผม ดาบตรงหน้าคือสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพ่อแม่กับผม

 

“อ-อา”

 

ผู้คนรอบๆ เฝ้ามองผมคลานไปทางดาบอย่างสังเวชโดยไม่คิดเข้ามาช่วย มีกระทั้งคนหัวเราะ

 

คนเดียวที่เดินมาทางผมพร้อมยิ้มอย่างต่ำช้า คือเซเลส

 

“เอาล่ะ ถึงข้าจะแปลกใจนิดหน่อยที่เจ้ายังไม่ยอมตายก็เถอะ”

 

เธอพูดออกมาพร้อมกับทำลายดาบตรงหน้าของผม  

อาจเป็นเพราะความร้อนหรือความเก่งกาจของเธอ ดาบของผมถูกตัดง่ายราวกับกระดาษ

 

มือของผมตกลงพื้นอย่างหมดแรง

 

ผมกำหมัดมองขึ้นด้านบนทั้งน้ำตา เซเลสยิ้มแป้นเสย และผมของเธอด้วยมือซ้าย

 

“โถ ดาบนั่นเป็นของรักของเจ้านี่นา? ช่างน่าเศร้า”

 

เธอดูมีความสุขในขณะที่มองลงมาหาผม แต่หลังจากโดนเรียกเธอก็หันไปทางพ่อกับแม่

 

“เซเลสพอได้แล้วกระมั่ง? ไหนๆ ชุดเจ้าก็ขาดแล้ว วันนี้พวกเราไปซื้อชุดเดรสใหม่ให้เจ้ากันไหม? “

“โอ้ ไอเดียดีนี่ ที่รัก”

 

ไม่มีใครสนใจผมที่ถูกทำร้าย และโดนเผา พวกเขาทำตัวราวกับผมไม่มีตัวตนอยู่

 

“ด-ได้โปรด รอก่อน! ท่านพ่อ ท่านแม่!”

 

ผมเค้นเสียงและเอื้อมมือออกไป แต่พวกท่านก็แค่ชำเลืองมองมาราวกับเห็นสิ่งสกปรก

 

มือของผมตกลงบนพื้นอีกครั้ง

 

แล้วผมก็กรีดร้องออกมาทั้งน้ำตา

 

.

.

.

 

ผมไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่มันไม่น่าจะนานนักหลังจากที่ผมหมดสติ

ที่ผมจำได้ล่าสุด คือกำลังนอนร้องไห้อยู่ในลาน แต่พอผมรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่บนเตียงซะแล้ว

 

จากผ้าพันแผลถูกพันอยู่เต็วตัว ผมคงได้รับการักษาบ้างแล้ว

 

“ใครกัน…ท่านพ่อ? เป็นไปไม่ได้หรอก”

 

ถึงจะไม่ควรพูด แต่ท่านพ่อจะไม่มาช่วยผมแน่นอน ด้วยท่าทางตอนที่เขาทิ้งผม

แถมที่นี่ก็ไม่ใช่ในคฤหาสน์ด้วย

 

ผมมองดูเพดานไม้ และแน่ใจว่าที่นี่ไม่ใช่ในคฤหาสน์

 

ใครเป็นคนช่วยผมกัน ถึงจะยังเจ็บอยู่ แต่ผมก็หันไปมองรอบๆ

 

ผมอยู่ในบ้านไม้ ไม่สิ น่าจะเป็นกระท่อมมากกว่า ผมกลับมามองเพดาน

ถึงผมจะรู้สึกตัวแล้ว แต่ร่างกายผมยังต้องการพักพ่อนต่อ

 

เอาเถอะ ผมยังไม่อยากคิดอะไรตอนนี้

 

‘เราถูกไล่ออกมาแล้วสินะ…’

 

ใบหน้าของเซเลสยังคงผุดขึ้นมา ในเวลาที่ถูกเนรเทศออกจากครอบครัว  

รอยยิ้มน่ารังเกียจของเธอที่เยอะเย้ยผม

 

ตอนนั้น…

 

“…? ใครน่ะ? “

 

รอบข้างผม เสียงเหมือนใครสักคนพูด…ไม่สิเหมือนมีคนกำลังสนทนากัน  

ผมรู้สึกแปลกๆ

 

“ไม่มีใครอยู่ ใช่มั้ย? “

 

ไม่มีใครตอบ ผมปิดตาลงพลางคิดว่าผมคงหลอนไปเอง  

 

ถึงจะไม่รู้ว่าใคร แต่ผมก็ถูกช่วยไว้แล้ว ต้องพักผ่อนสักหน่อยจะได้มีแรงกลับมา

 

ร่างกายผมรู้สึกหนัก และหนังตาก็หย่อน

 

‘ตอนนี้ เราต้องไม่คิดอะไรทั้งนั้น… ‘

.

.

.

มันค่อยๆ เริ่มขึ้นหลังจากผมหลับตาลง ผมได้ยินเสียง

 

[โอ้ โอ้ ถึงแล้ว? มาถึงแล้วจริงด้วย! ]

 

แทนที่จะเป็นเสียงที่ร่าเริง มันดูรุนแรงซะมากกว่า ทั้งหนวกหู และเป็นการหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

 

‘ค-ใคร? คนที่ช่วยเราเอาไว้รึเปล่า? ‘

 

เหมือนเขาจะไม่ได้ยิน เพราะอะไรบางอย่างผมกลับรู้สึกเหนื่อยขึ้น  

เหมือนตอนที่พลังเวทมนต์ของผมถูกใช้งาน…

 

[ท่านพ่อ ได้โปรดเงียบลงหน่อย]

 

ทีนี้เป็นเสียงเหนื่อยหน่ายของชายหนุ่ม

 

‘มีมากกว่า 1 คน? แล้วความรู้สึกไม่สบายใจนี่มันอะไร…’

 

ผมเปล่งเสียงไม่ได้ ความคิดก็ส่งไปไม่ถึงพวกเขาเลย

 

[ตามที่ผมเข้าใจจากสิ่งที่ท่านปู่พยายามบอกนะพ่อ นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เราได้คุยกัน

และผมก็สัมผัสได้ถึงผู้สืบทอดใกล้ๆ นี้ เขามีสายเลือดของพวกเราแน่นอน]

 

คราวนี้เป็นเสียงที่ดูร่าเริง

 

‘3 คน? ไม่สิ น่าจะเยอะกว่านี้’

 

นอกจากเสียงที่ดังขึ้นมา ผมสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ ว่าไม่น่าใช่แค่ 3 คน

 

[ข้าเข้าใจที่ปู่พูดนะ~ ก่อนอื่นใจเย็นๆ แล้วมายืนยันกันเถอะ]

 

ผมได้ยินเสียงใหม่ เขาพูดว่าปู่ พวกเขาคือครอบครัวงั้นเหรอ? แต่เสียงทั้งหมดดูหนุ่มมาก

อย่างน้อยพวกเขาก็ดูไม่เหมือนคนแก่เลย

 

[เอาล่ะ นี่คือการคุยกันครั้งแรกตามที่เจ้าว่า แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเราก็ไม่คืบหน้าอะไรเลย ว่ามั้ย]

 

‘อีกแล้ว นี่เป็นเสียงที่ห้าใช่มั้ย? ‘

 

อีกเสียงดังขึ้น

 

[เจ้าชอบคิดในแง่ร้ายอยู่เรื่อย ที่สำคัญข้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเขามากกว่า  

คงจะดีถ้าเขารู้สึกถึงพวกเรา แต่…มีอะไรหรือ บล็อด? ]

 

เมื่อมีคนพูดชื่อบล็อดออกมา ทำให้ผมตกใจ

 

เพราะบล็อดคือชื่อท่านปู่ของผม

 

‘นี่มัน…หมายความว่าชั้นตายแล้วสินะ’

 

ผมแทบสะดุ้งออกมาในตอนที่ผมได้ยินเสียง เริ่มเครียดแล้วสิ

 

[มันคือหลานชายของข้า! ไรเอล! ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือหลายชายของข้า! ]

 

เสียงนี้ทำให้ผมนึกถึงท่านปู่ และพลอยอมยิ้มเล็กๆ ท่านเป็นคนที่ใจดีกับหลานชายอย่างผมมากๆ

แม้แต่เสียงที่ดังออกมาก็บ่งบอกอารมณ์ของท่านได้

 

แต่เสียงของท่านปู่ก็ดูอ่อนวัยเกินไป มันไม่มีเสียงแหบของคนแก่เลย

 

หมายความว่ายังไงกันนะ? เสียงเหล่านั้นเงียบไปครู่หนึ่ง

 

[[[เรื่องจริงเหรอ!? ]]]

 

เสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน พวกเขาดูช็อกมาก

 

‘…นี่ชั้นเจออะไรอยู่กันแน่เนี่ย? ‘

 

ละแล้ว โชคชะตาของผมก็เริ่มเปลี่ยนไปในวันนั้นเอง

—-

ผมหัดแปลจากengนะครับ

 

Sevens

Sevens

อ่านนิยาย เรื่องSevens เดิมไรเอลเป็นลูกชายคนโตที่ต้องรับช่วงต่อของตระกูล แต่พอเขาอายุได้ 10 ปี พ่อแม่ก็เริ่มไม่สนใจเขา แล้วหันไปเห่อน้องสาวของเขาแทน จนวันนึงในตอนที่เขาอายุครบ 15 ปี น้องสาวของเขาก็ท้าประลองเพื่อชิงตำแหน่งผู้สืบทอด และเขาก็ได้พ่ายแพ้ หลังจากที่ฟื้นตัว เขาก็ได้รับสืบทอด พลังone for all- เอ้ย อัญมณีที่มีความทรงจำของบรรพบุรุษทั้ง 7 คน และเริ่มออกผจญภัยไปกับเพื่อนสมัยเด็ก

Comment

Options

not work with dark mode
Reset