Sevens – ตอนที่ 12 รักแรก

รักแรก

—-

 

หลังกลับมาจากการล่า ผมที่โซเซก็ช่วยขายชิ้นส่วนมอนสเตอร์ที่รวบรวมมาได้ และมุ่งหน้าไปที่กิลด์ต่อ

 

ปกติแล้วทางกิลด์จะไม่รับชิ้นส่วนมอนสเตอร์ใดๆ

 

แต่สำหรับหินสีแดงก้อนเล็กที่ได้รับจากแกนกลางมอนสเตอร์ หินเวทมนต์ทั้งหมดจะถูกจัดการโดยกิลด์

 

หินเวทมนต์….จัดเป็นแหล่งพลังงานที่มีค่า โดยกิลด์เป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ไว้

 

นักผจญภัยเลยขายวัสดุหรือวัตถุดิบให้กับพ่อค้า และขายหินเวทให้กับกิลด์ แล้วทางกิลด์ก็หากำไรจากธุรกิจหินเวทอีกที

 

แน่นอนว่าธุรกิจหินเวทได้รับความสนใจอย่างมาก

 

และด้วยการบริหารของกิลด์เองก็กอบโกยกำไรไปมหาศาล

 

แต่ธุรกิจที่ว่ากลับไม่มีผลกระทบต่อพ่อค้าธรรมดาส่วนใหญ่

 

เพราะพวกเขาไม่มีเหตุผลพอที่จะไปเสี่ยงต่อต้านระบบการค้าผูกขาดขนาดยักษ์ของกิลด์ล่ะ

 

พอคิดเพลินๆ ผมก็มารอคิวอยู่ในแถวของคุณฮาวกิ้นซะแล้ว

 

ส่วนคุณเซลฟี่ที่โดนเลือดก็อบลินเปรอะกำลังใช้ห้องอาบน้ำข้างกิลด์อยู่

 

ผมยืนเข้าแถวอยู่กับโนแวมที่กำลังพูดด้วยความเป็นห่วง

 

“ท่านไรเอลแน่ใจนะคะว่าไม่เป็นไร? หน้าคุณยังซีดอยู่เลย”

 

“ข้าสบายดีหน่า นี่ก็ดีขึ้นมากแล้ว อีกอย่างพอเสร็จตรงนี้พวกเราก็จะกลับกันแล้วด้วย…”

 

ผมพยายามให้เธอไม่ต้องเป็นห่วง แต่สุดท้ายก็กลับเป็นแบบนี้อีกจนได้

 

[อย่างที่ข้าคิดเลย เจ้ามันปวดเปียก]

 

ผมได้ยินเสียงที่มีความสุขของรุ่นที่หนึ่ง เมื่อเห็นผมในสภาพอ่อนแอ

 

‘ไม่ใช่ อย่าลิมสิว่ามันเป็นความผิดของพวกคุณน่ะ’

 

รุ่นที่เจ็ดพูดกับรุ่นที่หนึ่งที่กำลังยิ้มแย้ม

 

[แล้วใครกันนะ ที่หน้าแดงแจ๋จนถึงเมื่อกี้น่ะ? ]

 

[ม-ไม่ใช่ข้านะ! ]

 

[จะไม่ใช่เจ้าได้ยังไง! เพราะพูดไว้ซะจริงจัง ขุดหลุมฝังให้ตัวเองแท้ๆ ]

 

ผมนึกถึงภาพของรุ่นที่เจ็ดฉีกยิ้มในหัว

 

แต่ถ้าจะให้ดี คุณน่าจะนึกถึงพลังเวทของผมอีกสักหน่อยนะ

 

“ท่านไรเอล ผิวซีดอีกแล้….พรุ่งนี้พักกันเถอะค่ะ วันนี้ท่านทำเกินตัวไปมากเลย ข้าจะบอกคุณเซลฟี่ แล้วก็…”

 

“ก็ได้ ขอโทษทีนะ…”

 

ผมควรจะโกรธพวกบรรพบุรุษ ที่ใช้พลังเวทของผมทันทีที่เริ่มฟื้นตัวซะดีมั้ยเนี่ย?

 

“เชิญท่านต่อไปครับ…เดี๋ยว พ่อหนุ่มไรเอล!? หน้าเจ้าซีดมากเลย! ”

 

ผมทำให้คุณฮาวกิ้นเป็นห่วงซะแล้ว

 

“ข-ข้าไม่เป็นไร”

 

“นั่นไม่ใช้หน้าของคนที่ไม่เป็นอะไรแน่ๆ…เฮ้อ แล้วคุณเซลฟี่ไปไหนล่ะครับ? “

 

หลังจากที่คุณฮาวกิ้นรีบปั่นงานเอกสารจนเสร็จ พวกเราก็กลับที่พัก และผมก็นอนสลบไปทันที

.

.

.

วันถัดมาจากการออกล่ามอนสเตอร์คือวันหยุด

 

ในขณะที่การเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์คือการขัดเกลาความสามารถของนักผจญภัย

การใช้เวลาพักผ่อนก็ถือว่าสำคัญไม่แพ้กัน

 

เหมือนพวกเรา นักผจญภัยที่ออกไปล่ามอนสเตอร์ใกล้ๆ เมืองเป็นประจำ ก็จะมีวันหยุดของตัวเอง

 

ซึ่งถ้าเอาแต่ล่าสไลม์เพียงอย่างเดียว รายได้จะน้อยเกินไป

 

สำหรับครั้งนี้ที่พวกเราจัดการก็อบลินได้ถือว่ารายได้ไม่เลว แต่ด้วยสภาพของผมทำให้วันหยุดที่ว่ากลายเป็นแบบนี้

 

คือการอยู่แต่ในบ้านเช่า และโนแวมก็คอยพยาบาลผม

 

“อย่าที่ข้าคิด ความเหนื่อยล้าจาการต่อสู้ถือเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ครั้งหน้าเรามาหาพรรคพวกที่จะช่วยลดภาระของคุณกันเถอะค่ะ ท่านไรเอล”

 

ผมอยากจะบอกโนแวมว่าห่วงผมมากไปแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้  

 

ซึ่งเหล่าบรรพบุรุษก็มีความเห็นแบบเดียวกับเธอ

 

ในตอนนั้น การที่เวทมนต์ของผมสามารถจัดการก็อบลินทั้งเจ็ดตัวลงได้

 

ก็เพราะมีแนวหน้าที่แข็งแกร่งอย่างคุณเซลฟี่อยู่ด้วย

 

เธอเข้าปกป้องพวกเราทันที และไม่ยอมปล่อยให้พวกมันสักตัวเข้ามาใกล้

การที่ได้เธอคอยล่อไว้ให้ผมถึงใช้เวทมนต์ได้

 

ที่ห้องนั่งเล่น ผมนั่งลงบนโซฟาเก่าๆ ที่ผิวลอกจนเห็นไส้ใน และเหม่อมองเตาผิงที่ไม่ได้จุดไฟ

 

ผมกำลังคิดหนัก

 

‘ถ้าจะหาคนเพิ่ม ก็ควรจะเป็นคนที่สู้ระยะประชิดได้สินะ? ถึงจะทับกับตำแหน่งของเราก็เถอะ’

 

ด้วยผมกับโนแวม ไม่ว่าจะรับสมาชิกแบบไหนมาก็ดีทั้งนั้น

 

ไม่ว่าจะเป็นนักธนู หรือต่อให้พวกเราทั้งสามคนสู้ในระนาบเดียวกัน ปาร์ตี้ก็จะสมดุลอยู่ดี

 

“ตามที่คุณเซลฟี่บอกคือขั้นต่ำสามคนงั้นเหรอ”

 

“ใช่แล้วค่ะ ถ้ามัวแต่จุกจิกเรื่องนี้ก็จะไม่จบสักที ทำไมเราไม่ลองหาใครสักคนมาก่อน มันน่าจะโอเคไปสักพักนะคะ”

 

“พลังของจำนวนคนสินะ? ”

 

พอผมพูดจบ ก็ได้ยินเสียงของรุ่นที่ห้าที่พูดไม่บ่อยนัก

 

เพิ่งได้ยินเสียงเขาก็จริง แต่วันนี้คงจะเป็นตาของรุ่นที่ห้าล่ะ

 

[ก็ไม่ผิดหรอก แต่ข้าคิดว่าไรเอลควรจะเข้าใจหลักเรื่องสมาชิกที่เหมาะสมเสียก่อน]

 

‘สมาชิกที่เหมาะสม? ’

 

[การวมกองกำลังให้ใหญ่ขึ้นเป็นเรื่องที่สำคัญก็จริง แต่เจ้าจะรักษามันไว้ได้รึเปล่าล่ะ?

พวกเขาเป็นคนที่จำเป็นต้องมีจริงๆ หรือ? แล้วเจ้าจะพัฒนากองกำลังนั้นไปทางไหน?

มีเรื่องที่ต้องพิจารณาเป็นภูเขา ไหนจะความสามารถ บุคลิก ลักษณะเฉพาะ สถานการณ์…

ความยากของการเป็นผู้นำคน มันไม่เกี่ยวกับขนาดของกองกำลังหรอกนะ]

 

ผมมองไปที่โนแวม

 

ที่กำลังเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปทางครัว เธอน่าจะไปชงชา

 

ผมคุยกับรุ่นที่ห้าด้วยเสียงกระซิบ

 

“คุณคิดว่าคนแบบไหนที่พวกเราควรหาเข้าปาร์ตี้หรือครับ? ”

 

[คิดว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นสำหรับเจ้าตอนนี้ซะสิ แต่คนที่มีความสามารถย่อมมีความต้องการสูงอยู่แล้ว

ข้าสงสัยว่าเจ้าจะได้คนที่หวังมาเข้าปาร์ตี้หรือเปล่า]

 

‘อย่างที่คิด มันยากสินะ’

 

“ถ้าร่วมปาร์ตี้กันชั่วคราวแล้วค่อยเรียนรู้นิสัยของเขาจะดีกว่ามั้ยครับ? ”

 

[ทำไมเจ้าไม่ไปถามนักผจญภัยเซลฟี่ที่รู้เรื่องพวกนั้นเสียล่ะ? ในที่นี้ไม่มีคนที่มีความรู้สำหรับการเป็นนักผจญภัยหรอก]

 

“ใช่ ก็จริงครับ…”

 

‘ความรู้เรื่องนักผจญภัย…รุ่นที่หนึ่งกับรุ่นที่สองดูจะพึ่งพาได้กว่าสินะ’

 

รุ่นที่หนึ่งกับสอง คือคนที่เปลี่ยนดินแดนทุรกันดารให้เป็นหมู่บ้านของตระกูลวอลท์ขึ้นมาแทน

 

ถึงจะไม่ใช่นักผจญภัย แต่ความสำเร็จของพวกเขาก็ไม่ต่างกันนัก

 

ถึงรุ่นที่สองจะเป็นคนพูดแทน แต่รุ่นที่หนึ่งคือคนที่มีสกิลที่เหมาะสมกับเรื่องนี้มาก

 

ส่วนสกิลของรุ่นที่สองเอง จะแสดงผลควบคู่ไปกับทักษะอื่นมากกว่า

 

ทำให้สกิลของรุ่นที่หนึ่งน่าจะเป็นสกิลเดียวที่ผมสามารถใช้ได้

 

“ทางที่เร็วที่สุดก็คือให้รุ่นที่หนึ่งคอยช่วยข้างั้นหรือครับ? ”

 

[ถูกต้อง มันคือสกิลที่เรียบง่ายแต่มีประโยชน์ ข้าก็เคยใช้มันจึงรู้ดี นอกจากใช้ง่ายแล้ว ถ้าใช้คู่กับสกิลของรุ่นที่สอง

ความสามารถของการต่อสู้ของเจ้าจะเพิ่มขึ้นในทันทีเลยล่ะ]

 

สกิลของรุ่นที่หนึ่งเป็นประเภท [เพิ่มความสามารถ]

 

และชื่อของมันคือ [เต็มพิกัด] [Full Over]

 

สกิลที่ใช้ในการเพิ่มความสามารถเพื่อเอาชนะศัตรู

 

ใช้ง่าย และอรรถประโยชน์สูง บรรรพบุรุษทุกคนก็ใช้มันมาตลอด

 

[มันขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง…แต่ในทุกรุ่น พวกเราก็ใช้มันได้เลยน่ะ]

 

พอมาเป็นอัญมณี สกิลก็จะมีเจตจำนงค์ของตัวเอง

 

มันอัดแน่นด้วยความทรงจำและตัวตนของบรรพบุรุษในอดีต หรือก็คือตัวบรรพบุรุษนั่นแหละที่เป็นสกิล

 

หมายความว่าถ้าพวกเขาไม่อนุญาต ผมก็ไม่สามารถใช้สกิลนั้นได้

 

[ส่วนสกิลของข้ามันเกินตัวเจ้า ไม่ใช่ว่าข้าเกลียดเจ้านะ เพราะสำหรับเจ้าตอนนี้สกิลนี้จะเป็นแค่ภาระเท่านั้น  

ถ้าเจ้าเพิ่มพลังเวทอย่างต่อเนื่องก็คิดว่าเป็นไปได้อยู่…]

 

“ปัญหาคือไม่รู้ว่าต้องทำยังไงน่ะสิ ข้ารู้แค่ว่ามันจะเพิ่มขึ้นเองตามการเจริญเติบโต”

 

อีกวิธีเพิ่มพลังเวทก็คือใช้งานมันไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าทฤษฎีนี้มันได้ผลจริงหรือเปล่าล่ะ

 

ส่วนตัวผมคิดว่ามันมีผลอยู่บ้าง แต่ถึงไม่ทำอะไรพลังเวทก็จะเพิ่มตามการเติบโตอยู่ดี

 

แล้วก็ยังมีความเชื่อเรื่องการล้มมอนสเตอร์จะทำให้พลังเวทเพิ่มขึ้นอยู่ด้วย

 

แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่ผมรู้จักยืนยันมันได้เลย

 

[ถ้าเจ้ารู้ว่าสกิลของตัวเองคืออะไร อาจมีทางอื่นอยู่อีกก็ได้ อดทนสักหน่อยไหม? ]

 

“เฮ้อ…”

 

‘ถึงเราจะมีอัญมณีสกิลอยู่ แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเลย…’

 

พอโนแวมกลับมาพร้อมน้ำชา บทสนทนาจึงจบลงตรงนั้น

.

.

.

วันถัดมา

 

หลังจากโนแวมกับผมมาพบคุณเซลฟี่ พวกเราก็ถูกบอกถึงการเปลี่ยนกำหนดการ

 

พอรับคำร้องจากิลด์เสร็จ พวกเราก็มุ่งหน้าไปที่คาเฟ่ประจำของเหล่านักผจญภัย

 

ที่เป็นแบบนี้ คงเพราะที่นี่อนุญาตให้นำอาวุธเข้ามาได้นั่นเอง

 

พอมาถึงที่นั่งริมหน้าต่าง พวกเราก็นั่งลงและสั่งชา ส่วนคุณเซลฟี่ก็สั่งขนมหวานด้วย

 

“เข้าเรื่องเลยนะ พวกเจ้ายังจำเรื่องที่ข้าบอกให้หาคนเพิ่มได้มั้ย?

มันเกี่ยวกับเรื่องนี้แหละ…ข้าอยากให้เจ้าคิดอย่างรอบคอบ และอย่าเพิ่งชักชวนใคร”

 

“คุณหมายความว่ายังไงหรือครับ? ”

 

คุณเซลฟี่เริ่มอธิบายเหตุผล

 

พอประเมินความสามารถของพวกเราแล้ว ข้อสรุปของเธอก็คือให้เราระวังในการเลือกสมาชิกเพิ่ม

 

“พวกเจ้ามีความสามารถมากกว่าพวกหน้าใหม่ปกติเกินไปน่ะสิ ถ้าไม่นึกถึงความปวกเปียกเหนื่อยง่าย

ไรเอลก็นับว่ามีความสามารถพอจะเป็นนักผจญภัยแนวหน้าของเดลลีนได้แล้ว  

และโนแวมที่ข้าเห็นเธอร่ายเวทมนต์ศักสิทธิ์ได้ด้วยมือเดียว…เธอก็เป็นระดับท็อปของเดลลีนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”

 

ผมเอียงคอให้กับคำอธิบายของเธอ

 

คงเพราะเมืองเดลลีนเป็นเมืองที่ง่ายสำหรับการเป็นนักผจญภัย

มาตราฐานนักผจญภัยของเมืองเดลลีนจึงต่ำกว่าปกติ เมื่อเทียบกับภาพรวมของนักผจญภัยทั้งหมดล่ะ

 

แต่ถ้าไม่คิดถึงเรื่องนั้น นักผจญภัยแนวหน้าของที่นี่ก็ย่อมเหนือกว่ามาตรฐานปกติอยู่ดี

 

‘ถ้าพวกเราเก่งพอ ไม่ใช่ว่าจะสมาชิกได้ง่ายขึ้นงั้นเหรอ…? ”

 

“มันไม่ดีหรือครับ? ”

 

คุณเซลฟี่ทำหน้าลำบากใจ

 

“มันไม่แย่หรอก…แต่มันไม่ดีถ้าเจ้าต้องการเลี่ยงปัญหาน่ะสิ ข้าไปสืบเกี่ยวกับที่มาของพวกเจ้ามานิดหน่อยน่ะ”

 

คุณเซลฟี่สืบเรื่องตระกูลของผม…ไม่สิ เธอแค่ดูว่าพวกเรามาจากที่ไหน ทำให้เธอรู้ว่าสถานการณ์ของพวกเราเป็นยังไงมากกว่า

 

แน่นอนว่าเธอคงไม่ได้สืบอย่างละเอียด และไม่ใช่ว่าเพราะเธออยากรู้เฉยๆ

 

“อ-เอ่อ ที่จริงพวกเราไม่ได้ตั้งใจจะโกหกหรือมีลับหลังอะไรนะครับ”

 

ผมพยายามอธิบาย แต่คุณเซลฟี่ก็ยกมือขึ้นมาห้ามเสียก่อน

 

“ข้าก็บอกแล้วไงว่ามันไม่ได้แย่ คติของข้าคือต้องการจะทำงานของตัวเองและรับผิดชอบมันให้ดีที่สุด ถึงบทลงโทษในการผิดสัญญาจะน่ากลัวด้วยก็เถอะ

ข้าจึงแค่จะบอกเจ้าว่าให้ทำอะไรอย่างรอบคอบ เพราะด้วยสถานการณ์และความสามารถของพวกเจ้าต่างหาก”

 

เหมือนว่าผมยังคงคิดตื้นเกินไปเกี่ยวกับเครือข่ายของนักผจญภัย ไม่คาดคิดเลยว่าเธอจะตรวจสอบได้เร็วขนาดนี้

 

โนแวมฟังคำพูดของเธอด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“พวกเจ้าจะอยู่ที่เดลลีนนี้สักพักใช่ไหมล่ะ? มันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เมื่อสุดท้ายเจ้าก็จะไปที่อื่นอยู่ดี

ดังนั้นจงระวังในการเลือกพวกพ้องให้ดี ให้แน่ใจว่าเป็นคนที่เจ้าจะเชื่อใจได้ ไม่งั้นจะเสียใจภายหลังที่โดนพวกคนไม่ดีหลอกเอานะ”

 

พวกคนไม่ดีที่ว่าคงหมายถึง พวกที่อยู่ได้ด้วยการเกาะนักผจญภัยกับหลอกคนปกติไปวันๆ

 

เป็นตัวถ่วงปาร์ตี้ และโผล่ออกมาแค่ตอนได้รางวัล

 

เรียกอีกอย่างว่าพวกต้มตุ๋นล่ะนะ

 

“ตอนนี้ มันเป็นเรื่องของพวกเจ้าในอนาคต…”

 

ก่อนที่คุณเซลฟี่จะพูดจบ ประตูคาเฟ่ก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างเร่งรีบพร้อมเสียงกระดิ่ง

 

และเสียงฝีเท้าก็ตรงมาทางเรา

 

โนแวมกับผมยืนขึ้นมองไปทางพวกเขา และพวกเขาก็มองมาทางเราเช่นกัน

 

“เซลฟี่…”

 

เมื่อได้ยินเธอเรียก คุณเซลฟี่ก็ประหลาดใจและพึมพำออกมา

 

แต่เสียงของรุ่นที่หนึ่งก็พูดออกมาพร้อมกับเธอด้วย

 

“คุณหญิงอาเรีย…”

 

[คุณอลิส! ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้…]

 

“หะ อะไรนะ…”

 

“ท่านไรเอลคะ? ”

 

โนแวมหันมาทางผมที่กระซิบกับตัวเอง เธอลดไม้เท้าลงเพราะดูพวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร

 

ผมรีบนั่งลงและมองไปทางพวกเขา

 

ผู้หญิงที่คุณเซลฟี่เรียกว่าคุณหญิง และรุ่นที่หนึ่งเรียกว่าอลิสนั้น เป็นเด็กผู้หญิงผมแดงที่อยู่วัยเดียวกับเรา

 

ดวงตาหรี่ของเธอมีสีม่วง และเธอหอบหายใจอย่างหนัก แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ดูเป็นเด็กผู้หญิงที่มีพลังเหลือล้น

 

อาจเป็นเพราะเสื้อผ้าของเธอค่อนข้างบาง มันจึงแนบไปกับผิวของเธอ

 

แต่การที่คุณเซลฟี่เรียกเธอว่า คุณหญิง ทำให้รู้สึกแปลกๆ

 

ถึงเธอจะดูสวยและใส่เครื่องประดับอยู่บ้าง แต่ก็ยังอยู่ห่างไกลกับการเป็นชนชั้นสูงนะ

 

“ขอร้องล่ะ เซลฟี่ ให้ฉันยืมพลังของเธอเถอะนะ”

 

“ไม่เอาล่ะ…ตอนนี้ข้ากำลังทำงานอยู่นะ…”

 

คนรอบๆ เงียบเสียง และมองมาทางโต๊ะของพวกเรา แล้วพวกเขาก็เริ่มซุบซิบว่าเกิดอไะรขึ้น

 

“ปัญหาความรักง้้นรึ? ”

 

“เจ้าเด็กผมมฟ้านั่นน่าอิจฉาชะมัด”

 

“เดี๋ยวนะ นั่นมันอาเจ๊เซลฟี่นี่? ”

 

‘ทำไมพวกเขาถึงจ้องมาล่ะ เราไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย’

 

ผมอดทนต่อสายตาที่จ้องมาด้วยเหตุอะไรสักอย่าง และเงี่ยหูฟังสิ่งที่พวกเธอคุยกัน

แต่รุ่นที่หนึ่งก็บ่นพร้อมกันไปด้วย

 

ทำให้พลังเวทของผมถูกดูดไปเรื่อยๆ

 

“[อัญมณี] ของตระกูลล็อคเวิดถูกขโมยไปแล้ว! มันเป็นมรดกสำคัญที่ตกทอดมาหลายรุ่น! ได้โปรดช่วยฉันเอากลับมาทีค่ะ! ]

 

เด็กผู้หญิงอาเรียดูเหมือนจะร้อนใจจนเสียขวัญไปซะแล้ว ผมมองไปทางโนแวมที่อยู่ข้างๆ

 

“หมายความว่าไงเหรอ? ”

 

“อืม…เธออาจจะมาจากตระกูลที่คุณเซลฟี่เคยรับใช้มาก่อนล่ะมั้งคะ? ข้าก็เคยคิดอยู่ว่าเธอเหมือนอัศวิน ไม่คิดว่าเธอจะเป็นจริงๆ นะคะเนี่ย”

 

คุณเซลฟี่แก้คำพูดของโนแวม

 

“ไม่ ข้าไม่ใช่อัศวินหรอก แต่พ่อข้า…เอ้ย! คุณหญิง ข้าไม่ใช่คนของตระกูลลล็อคเวิดแล้ว

แล้วข้าก็ยังอยู่ระหว่างงานด้วย การที่คุณมาขอแบบนี้มันค่อนข้างลำบากใจน่ะ”

 

เมื่อคุณเซลฟี่ขอโทษ ใบหน้าของคุณอาเรียก็มืดมนลง

 

เธอจ้องตาผมแล้วอ้อนวอนอย่างเต็มที่

 

“พวกคุณสองคนเป็นผู้ว่าจ้างของเซลฟี่สินะคะ? ฉันขอเพียงไม่นาน ได้โปรดให้เธอมากับเราเถอะ!

มันเป็นของสำคัญที่ฉันจะต้องนำกลับมาให้ได้…อัญมณีล็อคเวิด มันสืบทอดมาเกินสองร้อยปีแล้วค่ะ!

ฉันจะตอบแทนทุกอย่างเลย ได้โปรดให้เซลฟี่มากับฉันเถอะนะคะ! ”

 

โนแวมลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

 

“ฉันเข้าใจว่าคุณรีบ แต่พวกเราก็มีเหตุผลของตัวเองเหมือนกันค่ะ คุณเซลฟี่ตกลงสัญญาไว้กับพวกเราเป็นเวลาสามเดือน

แล้วทางเราก็เจียดเงินทุนจ่ายค่าจ้างไปแล้ว ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณ แต่ได้โปรดกลับไปเถอะ…

แล้วก็ ในตอนนี้ฉันเห็นคุณเป็นแค่คนที่ใช้คนอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาของตัวเองเท่านั้นนะคะ”

 

เมื่อเธอพูดแบบนั้น คุณเซลฟี่ก็เอาหน้าฟุบโต๊ะและไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

ส่วนคุณอาเรียก็ช็อกไปเลย

 

ถึงจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่ตอนนี้…

 

[คุณอลิส! คุณอลิสในตอนนั้น…รักแรกของข้ามันยังไม่จบ! ]

 

จู่ๆ รุ่นที่หนึ่งก็ฮึกเหิมขึ้นมาซะงั้น และพลังเวทของผมก็ถูกดูดไปมากขึ้นอีก

 

‘เดี๋ยวก่อนสิ นี่มันมากกว่าครั้งที่แล้วอีกนะ อาการเวียนหัวมัน…’

 

หัวผมหมุนไปมหด

 

รุ่นที่สองเริ่มเข้ามาห้าม

 

[เฮ้ย! ไรเอลเซแล้ว! เขาจะล้มแล้ว! ใจเย็นหน่อยสิฟะ! ]

 

[ข้าหยุดตรงนี้ไม่ได้! ชีวิตวัยเยาว์ของข้า ชีวิตหนุ่มสาวของข้า ถ้าคุณอลิสไม่ได้ตายไปล่ะก็…]

 

ผมได้ยินแบบนั้นจากอัญมณี แล้วผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย

 

ในขณะเดียวกัน เพราะถูกโนแวมปฎิเสธเธอ คุณอาเรียจึงจับไหล่ผม

 

“ขอร้องล่ะค่ะ ฉันยอมทุกอย่าง ให้เซลฟี่มากับฉันเถอะ…มันเป็นของสำคัญสำหรับฉันจริงๆ ”

 

เธอน้ำตาซึม และอ่อนวอนกับผมอย่างสิ้นหวัง แต่ผมไม่อาจตอบเธอได้

 

เธอน่าจะไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ เลยเขย่าผมไปมา ทำให้หัวผมเขย่าตามไปด้วย…

 

“ได้โปรดเอามือออกไปเถอะค่ะ! ท่านไรเอลคะ? ท่ า น ไ ร เ อ ล ! ? ”

 

“เอ๋อ? อะไร…ว้ า ย ย ! “

 

“เดี่ยวสิ! ทำไมอยู่ๆ เจ้าถึงหมดสติได้ล่ะ!? “

 

เมื่อภาพดำมืดไปหมด ผมก็คิดกับตัวเอง

 

‘ม-มันไม่ใช่ความผิดของข้านะ…’

 

 

 

 

เรื่องสรรพนาม เพราะส่วนใหญ่มันมีแต่ you you you you  

ผมก็เลยใช้สัมผัสที่ 6 ในการแปลค่อนข้างเยอะ

 

ถ้าแปลกๆ ขออภัยด้วยนะคับ

 

 

Sevens

Sevens

อ่านนิยาย เรื่องSevens เดิมไรเอลเป็นลูกชายคนโตที่ต้องรับช่วงต่อของตระกูล แต่พอเขาอายุได้ 10 ปี พ่อแม่ก็เริ่มไม่สนใจเขา แล้วหันไปเห่อน้องสาวของเขาแทน จนวันนึงในตอนที่เขาอายุครบ 15 ปี น้องสาวของเขาก็ท้าประลองเพื่อชิงตำแหน่งผู้สืบทอด และเขาก็ได้พ่ายแพ้ หลังจากที่ฟื้นตัว เขาก็ได้รับสืบทอด พลังone for all- เอ้ย อัญมณีที่มีความทรงจำของบรรพบุรุษทั้ง 7 คน และเริ่มออกผจญภัยไปกับเพื่อนสมัยเด็ก

Comment

Options

not work with dark mode
Reset