Sevens – ตอนที่ 13 รุ่นแรกบราซิล วอลท์

ผู้นำคนแรก บราซิล วอลท์

 

—-

 

คนเถื่อนในชุดหนังสัตว์

 

ผมยาวกระเซิงแหวกให้เห็นดวงตาสีม่วงอันป่าเถื่อนของผู้ก่อตั้งตระกูลวอลท์

 

เขาคือบุตรคนที่ 3 ของขุนนางผู้ทรงเกียรติในเมืองหลวงของอาณาจักร

 

แต่เมื่อเขาไม่ประสบความสำเร็จ และตัดขาดจากตระกูลแล้ว

เขาจึงออกบุกเบิกไปสร้างหมู่บ้านของตัวเองในเดินแดนอันห่างไกลที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน

 

ในขณะเดียวกัน เขาก็รับชนเผ่าคนเถื่อนจริงๆ ที่อยู่ใกล้อาณาบริเวณนั้นมาเป็นบริวาร และก่อตั้งตระกูลวอลท์ขึ้น

 

แน่นอนว่าเหตุผลที่เขาตัดขาดจากตระกูลก็คือ

 

[รักแรกของข้าคือตระกูลบารอน แล้วการแต่งงานมันต้องมีฐานะใกล้กันใช่มั้ยล่ะ?

ข้าก็เลยท้วงดินแดนที่นั่นมา และกลายเป็นบารอนเพื่อให้แต่งงานกับเธอได้…]

 

พอผมสลบไปก็ พบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาในห้องประชุม

 

รุ่นที่หนึ่งกำลังเล่าเรื่องราวของเขา และทุกคนรอบๆ ก็แสดงออกอย่างซับซ้อนเมื่อรู้ว่าที่มาของตระกูลพวกเขามันเกิดจากรักแรกของรุ่นที่หนึ่ง

 

[จะมากไปหน่อยรึเปล่า? เพราะเห่อหญิงเจ้าก็เลยอาสาเป็นทีมบุกเบิกดินแดน แล้วก็ก่อตั้งตระกูลขุนวอลท์ขึ้นมาเนี่ยนะ?

…ไม่แปลกใจเลยที่หลังจากเจ้าแต่งงานแล้ว เรื่องต่างๆ ก็ยังไม่ดีขึ้นน่ะ! ]

 

รุ่นที่สองเริ่มพูดถึงภรรยาของรุ่นที่หนึ่ง

 

เหมือนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่ได้ดีมาตั้งแต่เริ่มนะ

 

[พอข้าระหกระเหินกลับไปที่เมืองหลวง รักแรกของข้ากลับแต่งงานไปซะแล้ว! ข้าตรอมใจแทบตาย! ]

 

รุ่นที่หนึ่งคว้าไหล่รุ่นที่สองเอาไว้ เมื่อพวกเขารู้ตัวจึงถอยแยกกันไป

 

[หรือว่าเกณฑ์ในการหาเจ้าสาว…มันจะมาจากคุณอลิสที่ว่าน่ะ? ]

 

พอได้ยินรุ่นที่สามพูด รุ่นที่หนึ่งก็เขินเล็กน้อย

 

[แหะๆ ก็ในเมื่อข้าแต่งงานกับเธอไม่ได้แล้ว ก็เลยตั้งสเปคแบบนั้นขึ้นมาเพื่อจะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่คล้ายเธอยังไงล่ะ

ข้าเคยยกสเปคที่ว่าเป็นเกณฑ์การหาเจ้าสาวของตระกูลอยู่ครั้งนึงในงานปาร์ตี้ ทุกคนพอได้ฟังก็แหยงกันหมด  

ไม่คิดว่ามันจะได้เป็นของที่ถูกใช้จริง ข้ายังแปลกใจด้วยซ้ำที่มีผู้หญิงที่ตรงสเปคพวกนั้นอยู่จริงๆ ]

 

รุ่นที่สองกรี๊ดอัดหน้ารุ่นที่หนึ่งที่กำลังยิ้ม

 

‘ข้าจะดีใจมากเลยถ้าท่านไม่ตะโกน เพราะมันดูดพลังเวทน่ะ แล้วความจริงพวกนั้นข้าก็ไม่ได้อยากรู้เลยด้วย’

 

[แก๊ ไอ้สารเลวว!! แกคิดว่าข้าต้องเดือดร้อนแค่ไหนเพราะเรื่องที่แกทำสั่วๆ นั่นน่ะห๊ะ!?

พวกมันแต่ละคนเอาแต่พูดเรื่องเกณฑ์บ้าเกณฑ์บอพวกนั้น! เพราะแกทำให้ข้ากว่าจะได้แต่งงาน

และเพราะจู่ๆ แกก็อยากออกไปเป็นบารอน และตั้งหมู่บ้านแบบมั่วซั่วนั่นอีก ผลที่ตามมามัน….อ๊ า ก ก ก ก ! ! ]

 

รุ่นที่สองกลายเป็นบ้าไปแล้ว ผมเลยหันมาถามรุ่นที่เจ็ดที่อยู่ข้างๆ

 

“เอิ่ม นี่คือสาเหตุที่ผมต้องมาอยู่ตรงนี้เหรอ? อ้ะ แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากผมสลบไปน่ะครับ? ”

 

[ช-ใช่…ที่จริงแล้ว…]

 

ตามนั้น คนที่ทำให้เกิดการประชุมฉุกเฉินนี้ขึ้นก็คือรุ่นที่หนึ่ง

 

เนื้อหาทั้งหมดก็คือ พอได้ยินวิกฤตของตระกูลล็อคเวิด รุ่นที่หนึ่งเลยต้องการให้ไปช่วยพวกเขาล่ะ

 

รุ่นที่หกพูดขึ้นมา

 

[ใช่ แต่มันจะไม่เกิดขึ้นหรอก การให้ยืมที่ปรึกษาเซลฟี่มันเป็นไปไม่ได้  

เจ้าอยากให้เงินที่โนแวมหามาจากการขายสินทอดของตัวเองจ่ายไปเสียเปล่างั้นรึ? ]

 

พอโดนบอกแบบนั้น รุ่นที่หนึ่งก็กอดอกเคร่งเครียด

 

[นั่นก็จริง แต่แม่หนูคนนั้นคือตัวแทนรักแรกของข้าที่กำลังมาขอความช่วยเหลือนะ…พวกเจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกของข้ารึไง? ]

 

รุ่นที่ห้าพูดอย่างสงบ

 

[ข้าไม่ พวกเราไม่เคยมีอิสระในความรัก แล้วก็แต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของดินแดนมาตลอด]

 

[เย็นชาชะมัด! พวกเจ้ายังเรียกตัวเองว่ามนุษย์ได้อีกหรือไง!? คิดว่าใครที่มีบุญคุณ และให้กำเนิดพวกแกขึ้นมากันห๊ะ!? ]

 

รุ่นที่สองเปิดมาคนแรก…

 

[ท่านแม่]

 

[แม่]

 

[ใช่ แม่]

 

[หม่าม้า]

 

[แม่ข้า]

 

[ข้าติดหนี้ท่านแม่]

 

‘หวา…พวกเขาตอบเหมือนกันเด๊ะเลย’

 

[เฮ้ย พวกแก! ]

 

รุ่นที่หนึ่งยังคงงอแงต่อไป รุ่นที่สองเลยพูดใส่อย่างเย็นชา

 

[แล้วเจ้าคิดว่าข้ารู้สึกยังไงที่เห็นเจ้ากระตือรือร้นที่จะช่วยรักแรกทั้งๆ ที่มีแม่ของข้าอยู่แล้วน่ะ? ไหนจะทำให้หนูโนแวมโกรธอีก]

 

“เอ๋? เป็นงั้นหรือครับ? ”

 

รุ่นที่สองมองที่ผมอย่างงงๆ

 

[…เจ้าสลบไปตอนที่เด็กสาวอาเรียกำลังเขย่าเจ้าทั้งน้ำตาใช่มั้ยล่ะ? ]

 

‘อ่า เรานึกภาพออกอยู่’

 

ในระหว่างที่ผมถูกแบกกลับมาเช็คอาการที่บ้าน

 

บรรพบุรุษก็สามารถตรวจสอบรอบๆ ตัวผมได้ในระดับหนึ่งตลอดเวลา

 

ผมนึกภาพโนแวมที่กระวนกระวายออก นี่ขนาดเธอสงบขึ้นมากแล้วถ้าเทียบกับตอนเด็กนะ

 

“ถ้าคุณบอกให้ช่วยเธอขนาดนั้น แล้วผมต้องทำยังไงล่ะ? ”

 

รุ่นที่หนึ่งคงกำลังรอผมพูดอยู่

 

[พวกที่ขโมยมรดกไปคือกองโจรที่กบดานอยู่ในเหมืองร้างนอกเมืองเดลลีน  

ที่เจ้าต้องทำก็คือแอบย่องเข้าไปในรังโจรแล้วก็ฉกอัญมณีกลับมา ทำได้มั้ย? ]

 

เขาเอาแต่จ้องเขม็งมาที่ผมราวกับจะบอกให้ทำมันซะ แต่รุ่นที่สองกับคนที่เหลือไม่ยอม

 

[ไม่ไหวหรอก กองโจรเลยนะ? ขนาดนักผจญภัยสาวที่ชื่อเซลฟี่ยังลังเล แถมข้อมูลที่แทบไม่มีนั่นอีก มันอันตรายเกินไป]

 

รุ่นที่สามก็มีความเห็นคล้ายกัน

 

[ข้าว่านางควรไปขอร้องอัศวินหรือทหารประจำเมืองแทน ขุนนางของที่นี่ก็ควรดูแลตัวเองได้สิ]

 

ส่วนบรรพบุรุษที่เหลือก็พูดเป็นเสียงเดียว

 

ส่วนรุ่นที่เจ็ดก็บอกว่าความปลอดภัยของผมนั้นสำคัญที่สุด

 

[เดิมที ตอนนี้ไรเอลก็ไม่มีทางเอาชนะพวกโจรได้อยู่แล้ว ทั้งขีดจำกัดพลังเวท และปาร์ตี้ของพวกเขาก็มีแค่ไรเอล กับเซลฟี่ไม่ใช่เรอะ?

ถึงจะพาโนแวมไปด้วย คิดว่าเด็กสาวอย่างเธอจะช่วยต่อสู้ได้แค่ไหนกัน? ]

 

ศัตรูถูกเรียกว่ากองโจร ดังนั้นพวกเขาต้องมีจำนวนมากอยู่แล้ว

 

ไม่ทราบจำนวนศัตรู ส่วนฝั่งเราก็ไม่รู้ว่าจะรวมคนได้แค่ไหน? ปัจจัยที่ไม่แน่นอนมีมากมาย และเหล่าบรรพบุรุษส่วนใหญ่ก็ต่อต้าน  

 

กระนั้น

 

[ข้าต้องการช่วยเธอ! ข้ามองข้ามความรู้สึกนี้ไม่ได้หรอก! ยิ่งการที่เธอมาขอให้ไรเอลช่วย….นี่มันโชคชะตาชัดๆ! ]

 

[ไม่ใช่ เจ้าก็แค่คิดไปเองต่างหาก]

 

พอรุ่นที่สี่พูดแบบนั้น รุ่นที่หนึ่งก็หงายตกเก้าอี้ไป  

ผมรู้สึกเสียใจกับรุ่นที่หนึ่งนะ แต่ถ้าคุณบอกให้ผมบุกรังโจรมันก็เกินไปหน่อย

 

ครั้งเดียวที่ผมเคยสู้กับคนก็คือตอนที่ดวลกับเซเลส

 

แต่ก็ไม่รู้ว่าจะนำไปเทียบกันได้ไหมนะ

 

รุ่นที่หนึ่งเริ่มพึมพำกับตัวเอง

 

[นั่นสินะ สายเลือดข้าเองนี่หว่า ต่อให้พวกเจ้าขึ้นเป็นเคานต์แล้วยังไงฟ่ะ สุดท้ายมันก็เหมือนเดิมนั่นแหละ]

 

เปรี๊ยะ…เหมือนมีเสียงอะไรสักอย่างดังก้องกังวาลไปทั่วห้อง

 

[เออ ข้าขอโทษ ข้ามันโง่เองที่คาดหวังกับพวกเจ้า และหวังเล็กๆ กับเจ้าไรเอลที่มีสายเลือดราชวงศ์ ว่าจะทำอะไรได้สักอย่าง

แต่ก็นั่นแหละ…สุดท้ายยังไงพวกเจ้ามันก็ แ ค่ ลู ก ห ล า น ข อ ง ข้ า พวกเจ้าย่อมเจียมตัวเองเป็นธรรมดาล่ะนะ]

 

ต่อหน้ารุ่นที่หนึ่งบอกแบบนั้น บรรพบุรุษทุกคนดูหงุดหงิดสุดๆ

 

“เอ๋ เอ่อ…ท-ทุกคนครับ? ”

 

[…พ-พวกข้าทำได้อยู่แล้ว แค่ไม่มีโอกาสเท่านั้นเอง ]

 

พอรุ่นที่สี่พูดแบบนั้น รุ่นที่สองก็เห็นด้วย

 

[อย่าเอาพวกข้าไปรวมกับเจ้า หากเอาจริงกะอีกแค่โจรกองสองกอง พวกมันจะถูกกวาดล้างไปก่อนเจ้าจะรู้ตัวด้วยซ้ำ]

 

รุ่นที่สามพูดอย่างมีน้ำโห

 

[เจ้านี่มันดูถูกพวกเราชัดๆ เห็นแบบนี้ข้าก็เคยนำทัพบดขยี้กองโจรมานับไม่ถ้วนแล้วนะ? มันไม่เหมือนยุคของเจ้าสักหน่อย ผู้ก่อตั้ง]

 

รุ่นที่หนึ่งชงต่อ

 

[ไม่ ไม่ อย่าร้อนตัวไปสิ สุดท้ายแล้วเจ้าก็ไม่ได้ทำอะไรนี่? พวกเจ้าทั้งหมดบอกว่าเคยร่วมสงคราม

แต่ที่จริงก็เอาแต่มองจากด้านหลังแล้วก็ปล่อยให้ลูกไล่จัดการทั้งหมดไม่ใช่เรอะ?

มันก็ไม่เลว เพราะพวกเจ้าเป็นขุนนางนี่นะ ถ้าเอาตัวเองไปนำทัพจริงๆ จะไปถ่วงแข้งขาคนอื่นเสียเปล่า]

 

พอฟังจบ รุ่นที่ห้าก็จ้องไปที่เขา

 

[อะไรของเจ้า? พวกเรานำทัพข้างหน้าต่างหาก แค่เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้มัน  

อีกอย่าง ไม่ใช่พวกเราแต่เป็นไรเอลต่างหากที่ต้องไปสู้กองโจรไม่ใช่รึ? ข้ายังไม่ได้พูดด้วยซ้ำว่าเขาทำมันไม่ได้น่ะ]

 

รุ่นที่หกก็เช่นกัน

 

[การถูกเรียกว่าขี้ขลาดเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่จริงๆ แต่ครั้งนี้ไรเอลคือคนที่ลงมือ

และข้าคิดว่ามันยากสำหรับเขาตอนนี้ โอ๊ะ ข้าไม่เคยพูดว่าเขาจะทำไม่ได้นะ]

 

รุ่นที่หนึ่งเสริมต่อ

 

[ข้าไม่ได้จะมีเรื่องสักหน่อย อย่าจ้องเขม็งกันแบบนั้นสิ  

และก็จริงที่พวกเขาบอกว่าเจ้ามันอ่อนแอ อ้อ ข้าไม่ได้พูดถึงพวกเจ้านะ อย่าเข้าใจผิดล่ะ]

 

ขณะที่พูด เขาก็ยิ้มกริ่ม กวาดตามองทุกคน

 

รุ่นที่เจ็ดลุกขึ้นยืนแล้วชี้หน้ารุ่นที่หนึ่ง

 

[แล้วไง ต่อให้เราทำเจ้าก็จะไม่เข้ามาช่วยนี่! ไหนจะไม่ยอมร่วมมือกับไรเอลแล้วเจ้ายังมีหน้าสั่งเขาไปช่วยคนอื่นอีกเนี่ยนะ!? ]

 

รุ่นที่หนึ่งทุบโต๊ะ

 

เมื่อเสียงป้างดังขึ้นก็ทำให้ทุกคนเงียบลง

 

[ถ้าเขายอมช่วยแม่หนูอาเรีย ข้าทุ่มสุดตัวอยู่แล้วโว้ย! สกิลที่ข้ามีและวิธีการใช้มัน ข้าจะยกให้ไรเอลมันทั้งหมดนั่นแหละ! ]

 

พอได้ยินแบบนั้น ใบหน้าหงุดหงิดของทุกคนก็กลับมาเป็นปกติ

 

เมื่อได้เห็นความแน่วแน่ของเขา ผมขนลุกเลยล่ะ

 

รุ่นที่หนึ่งเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ รุ่นที่สี่จึงพูดต่อ

 

[เอาล่ะ ในเมื่อรุ่นที่หนึ่งจะยอมยื่นมือเข้าช่วยไรเอลแล้ว พวกเราก็สามารถแก้ไขปัญหาสำคัญอันนี้ได้เสียที]

 

[…เอ๋? ]

 

รุ่นที่หนึ่งถูกเมินทิ้ง และรุ่นที่สามก็ส่งยิ้มมาให้ผม

 

[วิเศษไปเลยเนอะไรเอล? ในที่สุดเจ้าก็จะได้ใช้สกิลแล้ว]

 

“ค-ครับ…อ-เอ่อ…อะไรกันครับเนี่ย? “

 

พอผมถามว่าเกิดอะไรขึ้น รุ่นที่ห้าก็ตอบด้วยเสียงเบื่อๆ

 

[ก็แค่มีคนพยายามยั่วยุพวกเรา เราก็เลยใช้เรื่องที่ว่าย้อนกลับไปต้อนตัวเขาเอง  

ทีนี้ข้าก็สงสัยว่าเขาจะกลับทำพูดรึเปล่า คุณคงไม่ใช่พวกงี่เง่าแบบนั้นสินะ รุ่นที่หนึ่ง? ]

 

[ล-ลูกผู้ชายพูดไม่คืนคำหรอก! ]

 

ได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับไปยังห้องส่วนตัวของแต่ละคน

 

รุ่นที่หกเตือนผมถึงสิ่งที่จะต้องทำ

 

[ไรเอล พอเจ้าตื่นแล้วก็อย่าลืมถามข้อมูลเพิ่มจากอาเรีย และทวงสกิลกับรุ่นที่หนึ่งล่ะ มันคงจะยุ่งไม่น้อย]

 

เหล่าบรรพบุรรุษกลับห้องไปอย่างยิ้มแย้ม

 

“..ค-ครับ? ”

 

[พ-พวกมันหลอกข้า…]

 

รุ่นที่หนึ่งทำหน้าเศร้า ส่วนผมก็เริ่มคิดถึงสถานการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง

.

.

.

[งั้นข้าจะเริ่มอธิบายสกิลแล้วนะ? ]

 

พอทุกคนไปหมดแล้ว ผมก็ถูกลากมาที่ห้องของรุ่นที่หนึ่ง

 

ห้องนี้ถูกนำมาจากที่ที่เขาเคยอยู่ แต่สำหรับผมมันคือกระท่อมล่ะ

 

“ครับ เดิมทีสกิลจะเป็นของเฉพาะคนใช่มั้ยครับ? แล้วข้าจะใช้มันได้ยังไง…”

 

เขาอธิบาย

 

[มันเป็นสกิลออริจินอลที่ถูกเก็บในอัญมณี พอคนอื่นมาใช้มันก็จะใช้ได้แค่ระดับผิวเผิน

หรือถ้ามีพรสวรรค์ก็อาจจะดีกว่านั้นหน่อย ส่วนเจ้าข้ากำลังจะสอนนี่ล่ะ]

 

ถ้าเป็นสกิลที่ถูกเก็บไว้ในอัญมณี มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะใช้มันให้มีประสิทธิภาพในระดับเดียวกับเจ้าของสกิล

 

แต่สำหรับกรณีอัญมณีล้ำค่าดูจะต่างออกไป

 

[เจ้ารู้จักสกิลของข้าแล้วใช่มั้ย? ]

 

“ข้าได้ยินมาว่ามันคือ เต็มพิกัด”

 

สกิลของรุ่นที่หนึ่งนั้นเรียบง่าย และมีประสิทธิภาพ

 

[คุณสมบัติของสกิลคือการยกระดับความสามารถพื้นฐานของเจ้า แค่จำไว้ว่ามันทำให้แข็งแกร่งขึ้นราว 10-20 % ก็พอแล้ว]

 

“ครับ”

 

รุ่นที่หนึ่งคงเข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับผมที่จะบุกรังโจร เขาจึงยอมบอกเกี่ยวกับสกิลของตัวเอง  

 

ถึงเขาจะแปลกๆ แต่ก็ยังเป็นขุนนาง และเขาคงรู้สึกว่าเรื่องนี้อาจจบไม่สวย

 

กระนั้นเขาก็ยังพยายามส่งผมไปช่วยคนที่คล้ายรักแรกของเขาเอง

 

[คำเรียกใช้ คือ [ทะลายขีดจำกัด] มันจะลบขีดจำกัดร่างกาย และทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น อืม…รวมถึงการฟื้นฟูในตอนต่อสู้ด้วยนะ]

 

“ฟื้นฟูหรือ? ”

 

[ใช่ ข้าก็ไม่รู้รายละเอียดมาก แต่ปกติแล้วเมื่อเจ้าใช้ร่างกายเกินขีดจำกัด มันจะเป็นการพังตัวเจ้าเองใช่มั้ยล่ะ]

 

การที่เขาพูดเรื่องแบบนี้เป็นปกติ หมายความว่าเขาต่างหากที่ไม่ปกติน่ะ

 

‘ที่จริง…เราก็ไม่เคยมองเขาเป็นคนปกติอยู่แล้วนี่หว่า’

 

รุ่นที่หนึ่งจ้องเขม็งมาที่ผม

 

[เจ้าคิดอะไรแปลกๆ อยู่รึเปล่า? ]

 

“ม-ไม่มีหรอกครับ! “

 

[งั้นต่อนะ ข้าจะให้เจ้าใช้สกิลเสริมพลังนี้ในการข้ามขีดจำกัดของตัวเอง แต่สำหรับเจ้าตอนนี้น่าจะอยู่ได้ราว…สามนาทีเรอะ? ]

 

“เอ๋? นั่นมันจุดสำคัญเลยไม่ใช่เหรอ!? อย่าเดาสุ่มๆ เอาว่าสามนาทีสิครับ! ”

 

ข้อจำกัดในการใช้สกิล ดูท่าจะมาจากความสามารถร่างกายของผมเองที่ทนมันไม่ไหว

 

[ฟังซะ ถ้าเจ้าใช้มันกับตัวเองก็จะได้ความแข็งแกร่ง แต่ถ้าใช้กับคนที่บาดเจ็บมันจะทำให้แผลหายเร็วขึ้น

เพราะสกิลนี้ไปเร่งการฟื้นฟูยังไงล่ะ! ]

 

มันเป็นสกิลที่เจ๋งมาก

 

ถึงจะดูธรรมดา แต่ถ้าคิดอย่างรอบคอบแล้วมันเป็นสกิลที่มองข้ามไม่ได้เลย

 

[ทำไมเจ้าไม่ลองใช้มันสักหน่อยล่ะ? ]

 

“…ลองหรือครับ? “

 

ดังนั้น การฝึกของผมกับรุ่นที่หนึ่งจึงเริ่มขึ้น

.

.

.

เมื่อผมลืมตาขึ้นมาก็พบกับเพดานของบ้านเช่า

 

ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยร่างกายที่เฉื่อยชา

 

ข้างๆ โนแวมคอยพยาบาลผมอยู่

 

“ท่านไรเอลคะ!? “

 

“โนแวม…ข้าสลบไปกี่วันหรือ? ”

 

ผมต้องการเวลาสักหน่อย

 

“ใกล้จะเช้าแล้วค่ะ ถึงจะไม่เต็มวันแต่ท่านก็สลบไปนานมาก ข้าเป็นห่วงจริงๆ นะคะ”

 

“เรื่องนั้นขอโทษทีนะ แต่เธอช่วยเรียก…อาเรีย ล็อคเวิดมาที่นี่ได้ไหม คุณเซลฟี่ก็ด้วย พวกเธอยังไม่ได้ออกไปปราบกองโจรใช่รึเปล่า? ”

 

ผมคิดว่าคุณอาเรียกับคุณเซลฟี่น่าจะยังอยู่ในเมือง

 

จากที่คุณเซลฟี่ปฎิเสธเธอในคาเฟ่

 

และถึงจะเหมือนทอมบอยแค่ไหน ขุนนางหญิงอย่างอาเรียก็ไม่น่าจะไปบุกรังโจรคนเดียว

 

“…ท่านไรเอล การปราบปรามโจรเป็นหน้าที่ของเจ้าเมืองหรือกองทหารนะคะ”

 

ผมเข้าใจสิ่งที่เธอจะพูด และท่าทางอันจริงจังของเธอที่ต้องการหยุดผม

 

แต่ผมก็มีเหตุผลของตัวเองอยู่

 

‘นี่เป็นโอกาสในการทำให้รุ่นที่หนึ่งยอมรับเรา แล้วก็…’

 

[หนูโนแวมเป็นเด็กสาวที่ดีจริงๆ เธอเข้าใจงานของขุนนางเป็นอย่างดี เอาล่ะ ไรเอล…ถึงเวลาใช้ความเชี่ยวชาญของพวกข้าแล้ว]

 

รุ่นที่สามพูดกับผม

 

ใช่แล้ว การจัดการกับศัตรูถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่ปวดหัวมากสำหรับเจ้าเมือง

 

ในประวัติศาสตร์ของผู้นำตระกูล…ตั้งแต่รุ่นที่สามลงมามักจะถูกรังควาญด้วยปัญหาพวกนี้เป็นประจำ

 

“โนแวม นี่เป็นเรื่องที่ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าขอโทษ แต่ข้าจะไปช่วยพวกเขาเอาอัญมณีกลับมาจากกองโจรเอง เจ้าช่วยรออยู่ที่บ้านได้ไหม? ”

 

“ทำไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าท่านจะเข้าช่วยเหลือ ข้าก็จะไปกับท่านด้วย ถึงแบบนั้นเราก็ยังไม่รู้แม้แต่ขนาดของกองโจรเลยนะคะ”

 

ใช่ เราไม่รู้

 

ทั้งขนาด อุปกรณ์ และความสามารถของพวกโจร

 

งั้นเราก็แค่ต้องออกไปหามัน

 

[ก่อนอื่นหาข้อมูลเรื่องขนาดกองโจรก่อนเถอะ ที่ตั้งฐานของพวกมันถูกรู้อยู่แล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

และเจ้าต้องรู้เหตุผลที่เจ้าเมืองไม่ยอมส่งกำลังไปปราบพวกมันด้วย มีเรื่องที่ต้องทำมากมายเลยล่ะ]

 

ผมพูดกับโนแวม

 

“โนแวม ได้โปรดให้ข้ายืมกำลังด้วยเถอะ…นี่คือสงครามที่เราเอาชนะได้”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น เธอก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

 

 

 

 

Sevens

Sevens

อ่านนิยาย เรื่องSevens เดิมไรเอลเป็นลูกชายคนโตที่ต้องรับช่วงต่อของตระกูล แต่พอเขาอายุได้ 10 ปี พ่อแม่ก็เริ่มไม่สนใจเขา แล้วหันไปเห่อน้องสาวของเขาแทน จนวันนึงในตอนที่เขาอายุครบ 15 ปี น้องสาวของเขาก็ท้าประลองเพื่อชิงตำแหน่งผู้สืบทอด และเขาก็ได้พ่ายแพ้ หลังจากที่ฟื้นตัว เขาก็ได้รับสืบทอด พลังone for all- เอ้ย อัญมณีที่มีความทรงจำของบรรพบุรุษทั้ง 7 คน และเริ่มออกผจญภัยไปกับเพื่อนสมัยเด็ก

Comment

Options

not work with dark mode
Reset