Sevens – ตอนที่ 17 ทลายขีดจำกัด

ทลายขีดจำกัด

 

[จัดมันเลย ไรเอล! ]

 

พอได้ยินเสียงของรุ่นที่หนึ่ง ผมก็ยิ้มต่อหน้าขวานที่กำลังพุ่งเข้ามา

 

ถ้าชายร่างใหญ่มองหน้าผมอยู่ คงคิดว่าผมเป็นบ้าล่ะ…

 

แต่การต่อสู้นี้รู้ผลแล้ว

 

“ทลายขีดจำกัด”

 

ถ้าเต็มพิกัด คือสกิลที่เพิ่มความสามารถให้แบบอัตราคงที่ 

สกิลทลายขีดจำกัด ก็จะทำให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกายตัวเองได้

 

แต่มันก็มีผลสะท้อนจากการใช้สกิลนี้อยู่ สกิลเต็มพิกัดจึงถูกใช้รักษาร่างกายไปพร้อมๆ กันด้วย

 

หลังจากเปิดใช้งานสกิล ผมก็รู้สึกถึงเวลารอบตัวที่ช้าลงมาก และประสาทสัมผัสของผมก็ดีขึ้น

 

ผมใช้มือซ้ายชักดาบสำรองขึ้นมา และปัดการโจมตีด้วยดาบทั้งสองเล่ม

 

เมื่อเหล็กปะทะกัน ประกายไฟก็พวยพุ่ง และแรงปะทะก็สะเทือนไปทั่วร่างกายของผม

 

ผมไม่สนใจผลกระทบนั้น และบิดตัวออกแรงเตะไปที่กระโหลกของเขา

 

“อะไร-”

 

เขาเซถอยลงไปคุกเข่า เพราถูกเตะเข้าที่หัว

 

“สกิลของเจ้าดีเป็นบ้า ข้าอิจฉาจริงๆ ”

 

ชายร่างใหญ่ใช้ขวานค้ำเพื่อยืนขึ้นมา

 

ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลของสกิลอื่น หรือเขาแค่แข็งแกร่งกันแน่

 

เขายังคงเหวี่ยงขวานซ้ายทีขวาทีใส่ผมพร้อมกับคำรามเสียงดังไปด้วย

 

แต่มันไม่ใช่เสียงที่เอาไว้ข่มขวัญศัตรู

 

คงเพราะเขาเห็นผมเคลื่อนไหวแปลกไป และการโจมตีเผด็จศึกของตัวเองก็ไร้ผล

 

เขาเลยกระวนกระวาย

 

“แก ไอ้เจ้าสัตว์ประหลาด! ”

 

โหดร้ายจริงๆ ที่เรียกคนที่ตัวเองแพ้ว่าสัตว์ประหลาดเนี่ย ผมใช้ดาบคู่ปัดการโจมตีและเตะออกไปอีกรอบ

 

ดาบในมือผมเริ่มร้าว

 

คราวนี้ที่ท้อง  

 

เขาเข่าทรุด และมองมาที่ผมด้วยใบหน้าเหลือจะเชื่อ

 

“ทำไมกัน? ข้ามีทั้งบัพความเร็วและพละกำลัง กับคนที่อ้อนแอ้นราวผู้หญิงเช่นเจ้า ทำไมกัน…”

 

เขามีพลังและผลของสกิลที่มากกว่าผมแน่ๆ

 

แต่ผมเร็วกว่า

 

แน่นอนว่าถ้าผมใส่พลังเวทเข้าไปเพิ่ม ก็จะเพิ่มพลังได้ตามที่ใจอยาก

และผมก็ผ่านการฝึกมาแล้ว เขาจึงไม่ได้เหนือกว่าผมมากนัก

 

พลังของเขามันก็แค่ของชั่วคราว และมีจุดอ่อนในด้านเทคนิคการต่อสู้

 

ผมใช้สกิลตรวจดูรอบๆ อีกครั้ง และพบว่าโจรทั้งหมดถูกจับกุมแล้ว

 

เหลือแค่ชายร่างใหญ่ตรงหน้า

 

พอผมเดินเข้าหา เขาก็ทิ้งขวานไปและยกมือยอมแพ้ แล้วก็ยื่นข้อเสนอให้ผม

 

“ด-เดี๋ยวก่อน! ข-ข้าชักจะถูกใจเจ้าแล้ว! ถ้ามีเจ้าอยู่ข้าก็จะทำความฝันนั้นให้เป็นจริงได้!

ให้ข้าเป็นลูกน้องเจ้าเถอะ? หรือจะให้พวกข้าเป็นทหารให้ก็ได้ ข้ายอมทำทุกอย่างเลย”

 

จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเป็นคนละคน และแสดงท่าทียอมแพ้

 

ขวานที่เขาทิ้งไปก็อยู่นอกระยะหยิบจับของเขาด้วย

 

แต่รุ่นที่หนึ่งก็พูดขึ้นก่อน

 

[เฮ้ย ไอ้นี่มันเจ้าเล่ห์วุ้ย มันคงแสดงประจบแบบนี้บ่อยๆ แหง…]

 

ชายร่างใหญ่คงสังเกตว่าผมละสายตาไปครู่นึง เขาจังควักมีดที่ซ่อนไว้ออกมาและตั้งท่าใช้สกิล

 

อัญมณีในมือซ้ายของเขาส่องแสง

 

และเขาก็ยิ้มแสยะมาทางผม

 

“ควายเผือกเอ้ย! ”

 

[…คนพวกนี้มันซ่อนอาวุธกันอันสองอันเป็นปกติน่ะ]

 

รุ่นที่ห้าพูดอย่างเบื่อหน่าย

 

[ถ้าเจ้าพูดเร็วๆ กว่านี้หน่อยจะตายหรือไงห้ะ? ]

 

[เจ้าโง่หรือไง? ไรเอลมีเวลาเหลือเฟืออยู่แล้ว]

 

ขณะที่ฟังพวกเขาคุยกัน ผมก็ออกลูกเตะไปแล้ว

 

เพราะถูกผมเตะเสยคาง สกิลที่เขาใช้จึงพลาดเป้าไป

 

เมื่อผมไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางนักผจญภัย

 

ดูจากสีหน้าของพวกเขา คงคิดว่าผมจะเสร็จการโจมตีทีเผลอเมื่อกี้แหง

 

ผมคิดว่าระวังตัวเองพอแล้ว แต่ที่จริงมันก็ยังไม่พอล่ะนะ

 

‘เราถูกช่วยไว้จากสกิลของรุ่นที่หนึ่ง และตัวสกิลทลายขีดจำกัดเองก็พิเศษมาก’

 

ถึงจะมีเงื่อนไข และใช้ต่อเนื่องไม่ได้ แต่สกิลทั้งหมดก็ล้วนมีประโยชน์

 

ผมปลดสกิลแล้วมองไปยังชายที่หมดสภาพตรงหน้า

 

[ไรเอล ข้าว่าก่อนอื่นเจ้าจัดการเรื่องของในมือซ้ายก่อนดีกว่านะ…]

 

ตามคำของรุ่นที่ห้า ผมเดินเข้าไปกระชากผ้าที่พันมือซ้ายของชายร่างใหญ่และดึงอัญมณีออกมา

 

อัญมณีแปล่งประกายสีแดง

 

‘รู้สึกเหมือนอัญมณีอันนี้จะเจ๋งกว่ายังไงไม่รู้สิ’

 

ผมมองเทียบกับอัญมณีที่ตัวเองห้อยอยู่บนอก

 

อัญมณีขี้บ่น และทำให้ผมใช้สกิลได้ลำบากขึ้น

 

ในขณะที่อัญมณีสีแดงไม่เรื่องมาก สอนวิธีใช้ และอนุญาตให้ใครก็ได้ใช้สกิลได้อย่างอิสระ

 

ถ้าถามว่าผมจะเลือกอัญมณีเม็ดไหน ก็คงสีแดงล่ะนะ

 

[…มันเจ็บจี๊ดนะเฮ้ย]

 

รุ่นที่หนึ่งคงเดาได้ว่าผมคิดอะไรอยู่จึงพูดออกมา

 

โนแวมกับคุณล็อคเวิดวิ่งมาทางผม

 

ส่วนหัวหน้าโจรก็ถูกมัดโดยนักผจญภัย

 

“ท่านไรเอล…เป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ”

 

โนแวมยิ้มอย่างมีความสุขทั้งน้ำตา

 

คุณล็อคเวิดมองผมอย่างกระวนกระวาย

 

เธอเหมือนต้องการจะพูดบางอย่าง และมองอัญมณีในมือผม แต่เพราะเธอไม่ได้ทำอะไรเลยจึงไม่กล้าพูดออกมา

 

‘เธอเป็คนงุ่มง่ามสินะ’

 

ผมได้ยินเสียงจากนักผจญภัยรอบๆ

 

“ไอ้หยางานเข้าแล้ว”

 

“เลือดทะลักออกมาเลย เป็นเพราะผลสะท้อนของสกิลงั้นเหรอ? ”

 

“ถ้ายังไม่ตายก็ไม่เป็นไรหรอก เฮ้ย มายกเขาไปเร็ว”

 

ผมเห็นเลือดไหลออกมาจากร่างกายของหัวหน้าโจร และนักผจญภัยก็ใช้ยารักษาแผลของเขา

 

‘อืม ถ้าเขาตายมันจะแย่เอานะ’

 

ร่างกายของเขาคงรับภาระจากการใช้สกิลต่อเนื่องไม่ไหว

 

‘มองไปก็เข้าใจ นั่นเป็นเหตุผลที่บรรพบุรุษถึงจำกัดการใช้สกิลของเราสินะ’

 

ผมเตือนตัวเองในเรื่องนี้เมื่อมองไปยังร่างของเขา

 

คุณล็อคเวิดเอ่ยออกมา

 

“อ-เอ่อ…”

 

เธอมองสลับระหว่างผมกับอัญมณีด้วยสีหน้าที่ลำบากใจมาก

 

โนแวมพูดขึ้น

 

“ท่านไรเอล ถึงเวลาทำตามเป้าหมายแล้วค่ะ”

 

ผมยื่นอัญมณีให้กับเธอ ถึงผมกะจะโยนไปในตอนแรก แต่พอมาคิดดูมันเป็นมรดกอันล้ำค่าของตระกูลเธอนี่นะ

 

เธอหน้าแดงแจ๋ และคงจะอยากกล่าวขอบคุณ

 

“เอ่อ อืม ฉันแทบไม่ได้ทำอะไรเลย แต่…”

 

ขณะที่เธอกำลังพูดไม่ออก โนแวมก็พูดกับเธออย่างอ่อนโยน

 

“รับไปเถอะค่ะ ท่านไรเอลตั้งใจไว้อยู่แล้ว ใช่ไหมคะ? ”

 

เธอหัวเราะและหันมาทางนี้ ผมหลบตาเกาแก้มอย่างเขินๆ

 

“เอาเถอะ ข้าจะพูดยังไงดี…ข้าได้ทำตามที่ต้องการแล้ว ฉะนั้นรับไปสิ ที่สำคัญ…”

 

“ข-ขอบคุณนะ…”

 

คุณล็อคเวิดพยายามพูดขอบคุณ แต่เไม่เต็มเสียงเท่าไหร่

 

นักผจญภัยคนนึงเดินมาทางพวกเรา

 

“โทษทีนะ แต่มันเป็นงานน่ะ”

 

“ไม่เป็นไรครับ พวกเราต่างหากที่เป็นฝ่ายที่ถูกช่วยไว้”

 

เขาถอดหมวก

 

ใบหน้าคมคายตาคม และบรรยากาศของเขาบ่งบอกว่าเป็นคนจริงจัง

 

นอกจากนักล่าค่าหัวแล้ว เขายังเป็นนักผจญภัยที่สนิทกับขุนนางอีกด้วย

 

ทั้งความสามารถและบุคลิก เขาถือเป็นนักผจญภัยที่พึ่งพาได้

 

แต่เขาไม่ได้มาจากเดลลีนนะ

 

เขาเป็นนักผจญภัยที่คุณเซลฟี่ติดต่อให้

 

ทำให้ผมต้องยืนยันกับคุณฮาวกิ้นที่กลิด์ก่อนว่าจะเป็นปัญหาหรือเปล่า

ซึ่งคุณฮาวกิ้นก็ตอบกลับมาว่าผมห้ามเปิดเผยเรื่องนี้ด้วยสีหน้าลำบากใจล่ะ

 

ถ้าเขาบอกแบบนั้นก็แสดงว่าได้ใช่มั้ยล่ะ? ที่ผมกังวลจริงๆ คือพวกเขาจะยอมมาช่วยเรารึเปล่าต่างหาก

 

‘คุณเซลฟี่คงจะอยากช่วยคุณล็อคเวิดจริงๆ และเธอคงขอความช่วยเหลือจากพวกเขาอย่างเต็มที่ เราคิดถูกสินะ’

 

นักผจญภัยทำสีหน้าผ่อนคลาย

 

“ช่วยได้มากเลย แบบนี้พวกโจรก็จะได้ถูกลงโทษในดินแดนของพวกข้า เจ้าเมืองน่าจะพอใจไม่น้อย”

 

ใช่แล้ว พวกเขามากจากต่างเมืองที่พวกโจรได้ไปอาละวาดไว้ นักผจญภัยมากฝีมือเหล่านี้จึงมาเข้าร่วมการปรายโจรกับเราด้วย

 

“พวกข้าก็ต้องการค้นหาของที่ถูกพวกโจรเอาไปในกองสมบัติของพวกมันเช่นกัน ขอโทษที่เร่งนะ แต่ข้าอยากให้เจ้ามาเป็นพยานด้วย”

 

ผมพยักหน้า

 

[ใช่ ใช่ เวลานี้แหละที่เจ้าต้องเร็ว เพราะงานยังไม่จบ ต้องไปอธิบายกับนักผจญภัยที่มาจากเดลลีนด้วย

ไหนจะบางคนที่อาจหน้ามือเป็นหน้าเท้าเพราะโลภกองสมบัติก็ได้นะ]

 

รุ่นที่สามพูดอย่างร่างเริง

 

ผมขอให้เขาอธิบายเรื่องที่ผมต้องรู้

 

[การพึ่งพานักผจญภัย…]

 

รุ่นที่เจ็ดคงไม่ได้ให้นักผจญช่วยเท่าไหร่ในยุคของเขา

 

รุ่นที่สามตอบด้วยเสียงเหนื่อย

 

[ข้าก็มีนักผจญภัยอยู่สองสามคนที่สนิทด้วย…ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจเจ้านะ แต่คนพวกนี้ก็มีด้านที่ดีและแย่]

 

พวกเรามีคนพอเหลือเฟือ

 

“อย่างขวานอันนั้นมันคือของที่เจ้าเมืองหญิงเตรียมไว้ให้บุตร เครือญาติของนางต่างตามหามัน

ข้ารู้ว่าเจ้ามีสิทธิ์ และพวกเขาน่าจะจ่ายให้เยอะพอดู”

 

ผมมองขวานของหัวหน้าโจร

 

มันของชั้นยอดแน่ๆ

 

แต่ผมไม่ต้องการมันเลยปล่อยให้เขาจัดการ

 

“ข้าไม่ว่าอะไรหรอก เอาตามราคาที่พวกเขาเสนอก็ได้ ไปยืนยันกันเลยมั้ยครับ? ”

 

“เข้าใจก็ดีแล้ว แต่เจ้าแน่ใจ? พวกเขาจะบอกประมาณว่ามันเป็นมรดกตกทอดบลาๆ เอานะ? มันยังเพิ่มราคาได้อีกหน่อยด้วย”

 

ผมมองไปที่คุณล็อคเวิด เธอสะดุ้งเล็กน้อย

 

“…ข้าไม่มีอารมณ์น่ะครับ”

 

‘เราได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ไม่จำเป็นต้องโลภเพิ่มอีก”

 

“ก็ได้ งั้นทางนี้ พวกเรายังไม่ได้ยุ่งกับสมบัติในเหมือง เดี๋ยวข้าจะแวะไปบอกเรื่องขวานกับนายจ้างด้วย พวกเขาต้องยินดีแน่”

 

“ถ้างั้น..เอาตามที่คุณว่าเลยครับ”

 

ผมไม่พูดมากไปจะะดีกว่าสินะ? ผมจึงปล่อยให้ทุกอย่างให้เป็นไปตามความปรารถนาดีของเขา

 

ผมตามนักผจญภัยเข้าไปในเหมือง

 

โนแวมตามผมมา ส่วนคุณล็อคเวิดก็มองมาทางผมจนละสายตา

 

เธอยังคงไม่แน่ใจว่าตัวเองจะพูดอะไร เพราะความโล่ใจ

 

[ดี ดีจริงๆ ข้าทวงคืนอัญมณีกลับมาให้ลูกหลานของคุณอลิสได้แล้ว…บ้าจริง น้ำตามันไหล]

 

เสียงเหมือนรุ่นที่หนึ่งกำลังร้องไห้

 

รุ่นที่สองไม่พลาดโอกาสนี้

 

[เขาว่ากันว่าตาลุงร้องไห้มันไม่น่าดู เจ้าว่ามันจริงอย่างที่ข้าคิดมั้ย ท่านผู้ก่อตั้ง? ]

 

[ไอ้สารเลว! มาพูดอะไรตอนคนกำลังอินห๊ะ!? ไปให้พ้นเลย! ]

 

[ก็พวกเราออกไปไหนไม่ได้ไงโว้ย! เมื่อไหร่จะจำห๊าไอ้คนเถื่อน!? ]

 

มันเป็นเรื่องปกติของพวกเขา แต่…

 

‘เฮ้ย หยุด! ข้าเพิ่งเหนื่อยหลังสู้มา…อา วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม..’

 

พอผมเซนิดหน่อย โนแวมก็เข้ามาพยุงทันที

 

“ท่านไรเอลคะ!? ”

 

“เฮ้ย ไม่เป็นไรนะ? เจ้าออกแรงมาหนัก จะพักสักหน่อย…”

 

“ม-ไม่…ข้าแค่มึนนิดหน่อยเอง”

 

‘พวกคุณจำหน่อยสิเฮ้ย! ’

 

สุดท้ายพวกเขาก็เถียงกันไม่หยุด

 

นี่คือเรื่องปกติของผม แต่ชักจะเริ่มเกลียดมันซะแล้วสิ

.

.

.

บนรถเกวียนที่กำลังเดินทาง…

 

เหล่าโจรถูกขังอยู่ในกรงเหล็กบนรถแคบจำนวน 3 คัน

 

พวกเขาคงไม่คิดว่าจะถูกพาตัวออกจากเดลลีนไปยังดินแดนที่ตัวเองมีชื่อเสียกระฉ่อน

 

“บ้าเอ้ย พวกเรายังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย! ”

 

“ใช่! พวกเรายังไม่เคยปล้นที่นี่เลยนะ! ”

 

“พอพ้นโทษแล้วจะออกไปปล้นกลับมาให้หมดเลยคอยดูเถอะ!

 

กลุ่มโจรพูดเอาแต่ใจออกมา ท่ามกลางรอยยิ้มของเหล่านักผจญภัย

 

แม้ไม่ได้ขบขันอะไรกับคำพูดของพวกโจร แต่พวกเขาคงจะรู้ว่าโจรพวกนี้ต้องไปเจออะไรแน่ๆ

 

ชายร่างใหญ่ที่เห็นดังนั้นก็ไม่สบายใจ

 

“เฮ้ย เจ้านักผจญภัยพวกนี้มาจากเดลลีนรึเปล่าวะ? ”

 

เขาถามลูกน้องคนหนึ่งที่แฝงเข้าไปหาข้อมูลในเดลลีน ขณะลูบคางที่ปวดร้าวจากลูกเตะของไรเอลไปด้วย

 

“ไม่เคยเห็นเลยครับ”

 

ชายร่างใหญ่หันไปมองรอบๆ  

 

“…งั้นพวกเรากำลังจะไปไหน? มันเลยชายเขตของเดลลีนมาแล้วนี่ หมายความว่าไงกัน? ”

 

นักผจญภัยคนนึงที่กำลังขี่ม้าอยู่พอได้ยินที่หัวหน้าโจรพูดก็เข้ามาใกล้ซี่ลูกกรง

 

“พวกข้าบอกไปตอนไหนว่ามาจากเดลลีนน่ะ? พวกเจ้าจะได้รับบทลงโทษที่สาสมในดินแดนที่พวกเจ้าไปออกปล้นไว้ต่างหากล่ะ”

 

กองโจรทั้งหมดหน้าซีดทันที

 

อาณาจักรบานซิมเป็นประเทศที่ขุนนางและเจ้าเมืองเป็นใหญ่

 

ถึงจะเชื่อมต่อกัน แต่แต่ละเมืองก็จะมีนโยบายเป็นของตัวเอง

 

ทำให้เหล่าอาชญากรข้ามดินแดนมักจะถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย

 

แต่ก็มีเหล่านักล่าค่าหัวที่คอยตามล่าคนเหล่านี้อยู่

 

“ม-หมายความว่าไงกัน!? พวกข้าอยู่ที่เดลลีนต่างหาก! แกไม่มีสิทธิ์มาพาไปไหนนะโว้ย! ”

 

พอเห็นหัวหน้าโจรร้อนรน พวกลูกน้องก็กระวนกระวายตามไปด้วย

 

นักผจญภัยคนเดิมฉีกยิ้มมากขึ้น

 

“พวกข้าแค่จับพวกเจ้าได้ในตอนที่พวกเจ้า ‘บังเอิญ’ ไล่ตามนักผจญภัยจากเดลลีน ข้ามเข้ามาในดินแดนของพวกข้าพอดีต่างหาก โชคไม่ดีเลยเนอะ

…ส่วนพวกข้าก็ติดหนี้คนพวกนั้นซะแล้วสิ”

 

นักผจญภัยแต่ละคนล้วนรับคำร้องมาหลากหลาย

 

ขอให้เอาทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปกลับมาบ้าง ขอให้กำจัดศัตรูของครอบครัวบ้าง

 

พวกเขากวาดคำร้องพวกนั้นมารวดเดียว และรีบพุ่งเข้ามามีส่วนร่วมในภารกิจปราบโจรนี้

 

และผู้ที่ติดต่อกับนักผจญที่ขึ้นตรงกับเจ้าเมืองเหล่านั้นก็คือคุณเซลฟี่

 

“อ-อย่ามายุ่งกับข้านะ! ทำไมกัน!? เพราะพวกข้าเป็นโจรงั้นเรอะ? ทำไมไม่ไปล่าไอพวกที่มันตัวใหญ่กว่านี้วะ! ”

 

ตามที่ชายร่างใหญ่พูด

 

อาชญากรรมของโจรพวกนี้ไม่ต่างอะไรกับขี้เล็บเมื่อเทียบกับวายร้ายตัวเป้งจริงๆ

 

ถ้าเทียบกับวายร้ายพวกนั้นน่ะนะ

 

แต่ตอนนี้ ที่นี่ อาชญากรรมที่พวกเขาก่อก็ไม่ใช่น้อยๆ

 

พวกเขาปล้นสะดม เผาหมู่บ้าน โจมตีคฤหาสน์ของเจ้าเมือง และผู้หญิงที่พวกเขา….

 

การที่พวกเขาหลุดมือของเจ้าเมืองในดินแดนนั้นๆ มาได้หลังจากไปทำงามหน้าขนาดนั้น

ย่อมทำให้เกียรติของเจ้าเมืองป่นปี้

 

ความไม่พอใจของประชาชนต่อเจ้าเมืองที่พึ่งพาไม่ได้ก็พลอยสูงขึ้นตามไปอีก

 

“อย่างน้อย ข้าก็รู้ว่าโชคเขาเจ้าตอนนี้มันหมดแล้วล่ะ เจ้ารู้รึเปล่าว่าการที่พูดแบบนี้ออกมามัน…

เพราะในหมู่พวกข้าก็มีนักผจญภัยจากหมู่บ้านที่พวกเจ้าเคยออกปล้นฟังอยู่ด้วยนะ? ”

 

ชายร่างใหญ่มองรอบๆ

 

ในหมู่นักผจญภัยที่ยิ้มแย้ม มีคนที่ไม่ยิ้มเลยรวมอยู่ด้วย

 

พวกเขากำอาวุธในมือแน่นไว้ตลอดเวลา

 

“พ-พวกข้าจะถูกตัดสินใช่มั้ย? ถ้าเจ้าฆ่าพวกเข้าที่นี่…”

 

“หา? พูดอะไรของเจ้าน่ะ?…ต่อให้ตายไปสักคนสองคนก็ยังถือว่าเป็นกลุ่มโจรอยู่นี่?

พวกข้าก็แค่รักษายอดคนเป็นให้ถึงจำนวนไว้ก็พอแล้ว”

 

…กลุ่มโจรทั้งหมดหน้าซีด

.

.

.

พอกลับมาที่เดลลีน พวกเราก็บอกแยกย้ายกับกองกำลัง และส่งคืนอุปกรณ์กับเกวียนที่ยืมมาจากพ่อค้า

 

สำหรับสมบัติของพวกโจร ส่วนใหญ่พวกเราก็ส่งคืนเจ้าของไป และพอหักลบเงินที่เสียไปทั้งหมดแล้ว ก็เหลืออยู่ราว 60 เหรียญทอง

 

‘เสียไปเยอะเลยแฮะ เพราะต่อให้ปราบพวกมันได้ เจ้าเมืองก็จะต้องปวดหัวกับปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นแน่’

 

ถ้าการขอความร่วมมือจากเมืองอื่นล้มเหลว พวกเราก็ได้จ้างนักผจญภัยมีฝีมือจากเดลลีนเผื่อไว้แล้วด้วย

 

ทำให้เราจ่ายเงินไปไม่น้อยเลย

 

แถมการค้นที่ซ่อนสมบัติของรังโจรในเหมืองก็ลำบาก ผมจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักผจญภัยคนอื่นไป

 

ทุกอย่างจบลงแล้ว ที่เหลือก็แค่ไปรายงานที่กิลด์ล่ะ

 

“ในที่สุดก็ผ่านไปสักที”

 

ผมเหยียดตัว

 

“เหนื่อยหน่อยนะคะ ท่านไรเอล ถึงงั้นก็เถอะ สรุปแล้วเป้าหมายที่แท้จริงของท่านคืออะไรกันแน่คะ? ”

 

ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบเธอกลับไปยังไง

 

ผมควรบอกเรื่องบรรพบุรุษในอัญมณีมั้ย หรือเงียบไปเลยดี?

 

“ไม่สิ เราควรถือโอกาสนี้บอกเธอไปเลยดีกว่า ยังไงเธอก็เห็นเราใช้สกิลในการต่อสู้ไปแล้ว

ไม่ใช่ว่าเราขาดข้ออ้างหรืออะไรหรอกนะ…”

 

ในตอนนั้นเองที่คุณเซลฟี่ขี่ม้าเข้ามา

 

“พวกเจ้าทั้งคู่ทำได้ดีมาก”

 

“ข-ขอบคุณที่เหนื่อยเช่นกันค่ะ คุณเซลฟี่”

 

ผมก็ตอบกลับไปพร้อมกับโนแวมเช่นกัน

 

“ไปอาบน้ำก่อนจะเข้ากิลด์กันเถอะ หัวหน้าฮาวกิ้นคงกังวลแย่แล้ว”

 

พอได้ยินคุณเซลฟี่พูด ภาพคุณฮาวกิ้นที่กำลังกังวลก็เด้งขึ้นมาในหัวของผมเลย

 

ถึงจะรู้จักกันมาไม่นาน แต่เขาก็เป็นคนดีจริงๆ

 

“ใช่ ไปกันเถอะ คุณเซลฟี่ก็มีธุระกับพวกเราเหมือนกันใช่ไหมล่ะครับ? ”

 

เธอเบิกตากว้าง

 

แล้วเปลี่ยนมาเป็นเอานิ้วม้วนผม และหลบตาไป

 

“…เอาล่ะ ข้าเคยคิดว่าเจ้าเป็นเด็กเหลือขอมาก่อน แต่ที่จริงเจ้าคือคนที่วิเศษไปเลยนะ รู้ตัวรึเปล่า? ”

 

เธอถอนหายใจและพูดกับพวกเรา

 

“หลังจากเสร็จเรื่องที่กิลด์แล้ว ไปต่อกันที่คฤหาสน์ของเจ้าเมืองกับข้าเถอะ มีบางอย่างที่พวกเจ้ารู้ไว้จะดีกว่าน่ะ”

 

พูดเสร็จ เธอกควบม้าจากไป

 

โนแวมยิ้มให้ผม

 

“ท่านรู้ตั้งแต่ตอนไหนกันคะ ว่าคุณเซลฟี่เป็นนักผจญภัยสังกัดเจ้าเมืองน่ะค่ะ? ”

 

ผมยกมือยอมแพ้

 

“น่าจะหลังเธอนะ แถมข้าก็ไม่ได้รู้เพราะตัวเองด้วย”

 

[ถูกต้อง ข้าต่างหากที่เป็นคนรู้ ไม่สิ เพราะเธอมีฝีมือ และรวบรวมข้อมูลต่างๆ ได้ในเวลาสั้นๆ

ตอนแรกมันอยู่ในระดับแค่ ‘เธอน่าสงสัยจัง?’ มากกว่า แต่พอเด็กสาวอาเรียพูดมากเข้ามันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ …]

 

[พอแล้ว แบบนี้เรื่องก็ไม่เดินกันพอดี]

 

รุ่นที่สี่ออกตัวห้ามก่อนรุ่นที่สามจะเริ่มฝอยยาวเกินไป

 

“ส่วนฉันแค่คิดว่าเธอน่าสงสัยนิดหน่อยในตอนที่คุณฮาวกิ้นแนะนำให้เธอมาเป็นที่ปรึกษาของเรา

และตอนนั้น ต่อให้เราเลือกจ้างที่ปรึกษาแบบประหยัดก็คงจะได้เธอมาอยู่ดีค่ะ”

 

“นี่เธอสงสัยตั้งแต่แรกเลยเหรอ!? ”

 

“เพราะพวกเขาแนะนำที่ปรึกษาให้ทั้งๆ ที่พวกเราน่าสงสัยขนาดนั้น  

และพวกเขาก็ไม่ได้แนะนำเรื่องนี้ให้กับคนที่มาสมัครนักผจญภัยคนอื่นเลยด้วยค่ะ”

 

เธอหัวเราะ  

 

และในเมื่อเป็นแบบนั้น ผมก็สงสัยว่าทำไมเธอถึงยอมจ่ายราคาแพงไปล่ะ

 

โนแวมอธิบาย

 

“เพราะฉันคิดว่าที่ปรึกษาก็ย่อมให้คำปรึกษาดีตามค่าจ้างที่ได้รับ  

เพื่อให้ท่านไรเอลบรรลุความทะเยอทะยานแล้ว การประหยัดกับเรื่องแบบนี้น่าจะไม่ดีเท่าไหร่ค่ะ”

 

“เป็นอย่างนั้นเหรอ? ”

 

‘ความทะเยอทะยาน? เราเคยพูดเรื่องนี้กับเธอด้วยเหรอ? ’

 

ถึงจะมีบางเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ แต่พวกเราก็ต้องไปรายงานที่กิลด์ก่อน ผมกับโนแวมจึงมุ่งไปห้องอาบน้ำ

 

เพราะไม่ได้อาบน้ำมาสองสามวันแล้ว เป็นธรรมดาที่จะอยากล้างสิ่งสกปรกพวกนี้ออกไปเร็วๆ ล่ะ

 

‘…ความทะเยอทะยานของเราสินะ? จำไม่ได้เลยว่าพูดไปตอนไหน…การเป็นนักผจญภัยก็ไปได้ด้วยดี คิดไม่ออกแล้วแฮะ’

 

 

 

—-

 

ตอนนี้ยาววุ้ย

Sevens

Sevens

อ่านนิยาย เรื่องSevens เดิมไรเอลเป็นลูกชายคนโตที่ต้องรับช่วงต่อของตระกูล แต่พอเขาอายุได้ 10 ปี พ่อแม่ก็เริ่มไม่สนใจเขา แล้วหันไปเห่อน้องสาวของเขาแทน จนวันนึงในตอนที่เขาอายุครบ 15 ปี น้องสาวของเขาก็ท้าประลองเพื่อชิงตำแหน่งผู้สืบทอด และเขาก็ได้พ่ายแพ้ หลังจากที่ฟื้นตัว เขาก็ได้รับสืบทอด พลังone for all- เอ้ย อัญมณีที่มีความทรงจำของบรรพบุรุษทั้ง 7 คน และเริ่มออกผจญภัยไปกับเพื่อนสมัยเด็ก

Comment

Options

not work with dark mode
Reset