Sevens – ตอนที่ 19 บทส่งท้ายอีพีแรก

บทส่งท้าย

—-

 

 

[ถึงเวลาพบกันแบบไม่มีไรเอลครั้งแรกแล้ว~]

 

รุ่นที่สี่ส่งสัญญานอย่างเนือยๆ เพื่อเริ่มการประชุมเมื่อทุกคนมารวมตัวกัน

 

ปกติพวกเขาไม่ค่อยประชุมแบบนี้บ่อยนัก

แต่พวกเขาก็ตัดสินใจมาพบกันโดยที่ไม่มีไรเอลเพื่อคุยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปจากนี้

 

[เอาล่ะ เราพักเรื่องหนูโนแวมเอาไว้ก่อน แล้วมาคุยเรื่องที่ไรเอลจะทำต่อจากนี้]

 

คำพูดของรุ่นที่สี่โดยรุ่นที่สามขัด

 

[เรื่องไรเอลก็ช่างมันไปด้วยก็ได้นี่? เพราะตัวไรเอลเองก็ไม่เห็นจะอยากทำอะไรเป็นพิเศษเลย]

 

รุ่นที่หกเห็นด้วย แต่ก็แอบหวังอยู่

 

[ก็ใช่ แต่สำหรับข้าแล้ว ก็อยากให้เขามุ่งหาความสำเร็จในตระกูลวอลท์นะ]

 

รุ่นที่เจ็ดพนักหน้า

 

เป็นธรรมดาที่ความเห็นของงรุ่นที่หกกับรุ่นที่เจ็ดจะไปทางเดียวกันเสมอ

 

โดยยึดติดกับผลประโยชน์ของดินแดนเป็นหลัก

 

[ุถ้าเซเลสเป็นผู้สืบทอดก็หมายความว่าจะมีลูกเขยจากตระกูลอื่นเข้ามาน่ะสิ ทุกคนที่นี่ย่อมรับไม่ได้อยู่แล้ว]

 

รุ่นที่หนึ่งแคะจมูก

 

[ก็ไม่เชิงนะ]

 

รุ่นที่สอง สี่ หก และเจ็ด จ้องไปทางเขา

 

[การที่ถูกใครก็ไม่รู้มาขโมยดินแดนทั้งหมดไป เจ้าไม่รู้สึกโกรธบ้างรึไง!? ]

 

รุ่นที่เจ็ดไม่พอใจ และรุ่นที่สามก็กุมขมับขณะพูดไปด้วย

 

[ลองนึกถึงเหตุผลที่เขาสร้างตระกูลขึ้นมาสิ ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่เขาก็ทำเป้าหมายตัวเองสำเร็จไปแล้ว ฉะนั้นข้าเดาว่าเขาไม่สนหรอก]

 

รุ่นที่หนึ่งปฎิเสธ

 

[เจ้าโง่! ข้าเองก็เจอเรื่องลำบากเหมือนกันนะ ไม่เหมือนยุคของพวกเจ้า ข้าทำมันจนเลือดสาดน้ำตากระเซ็นด้วยซ้ำ

ข้าเองก็มีสิ่งที่คิดไว้อยู่! แต่พอมองไปที่ไรเอล เจ้าก็รู้ว่า…]

 

รุ่นที่สองเสริมขึ้นอย่างเงียบๆ

 

[น้ำตาที่ว่ามาจากตอนที่รักแรกของเจ้าไปแต่งงานกับคนอื่นล่ะสิไม่ว่า]

 

รุ่นที่หนึ่งสำลักไปสักพักก่อนจะพูดต่อ

 

[ถึงข้าจะบอกว่าเขาอ่อนแอ แต่ไรเอลก็มีความสามารถอยู่ไม่น้อย และทั้งๆ ที่พยายามมามากขนาดนั้น ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขายังดูยิ่งเง่าอยู่]

 

รุ่นที่ห้าซึ่งไม่ค่อยสนใจการประชุมนี้ตอบด้วยคำที่เฉียบขาด

 

[หลังจากที่เขาถูกคนรอบข้างรังเกียจในช่วงอายุ 10 ปี ไรเอลน่าจะไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างที่ควรจะเป็นแบบที่พวกเราเคยทำๆ กันมา และการฝึกด้วยตัวเองก็ย่อมได้ผลที่ไม่ดีด้วย

ทำให้เขาดูเหมือนจะไม่ได้รับการสอนเรื่องที่จำเป็นมาเลย แต่…เฮ้ย ระบบการศึกษามันเปลี่ยนไปจากยุคของข้ารึ? ]

 

รุ่นที่ห้ามองไปทางรุ่นที่หกและเจ็ด

 

หลังจากได้เป็นวิสเคานต์ รุ่นที่ห้าก็พยายามอย่างมากเพื่อให้รุ่นที่หกและเจ็ดได้สืบทอดตำแหน่งต่อไป

 

[บางเรื่องถูกเอาออกไปน่ะ เพื่อให้หลานเหลนข้าได้ใช้ชีวิตอย่างเคานต์ข้าจึงเห็นเรื่องการปกครองสำคัญกว่าภูมิปัญญาการรบ อีกอย่าง เวลาการเรียนก็ไม่พอด้วย]

 

รุ่นที่หกตอบ ซึ่งรุ่นที่เจ็ดก็เห็นด้วย

 

พอในยุคของรุ่นที่ห้าที่ขึ้นเป็นเคานต์ ตระกูลวอลท์ก็เติบใหญ่ขึ้นมากเกินไปจนเรื่องที่มองว่าไม่จำเป็นถูกถอดออกไปจากแผนการเรียน

 

โดยอิงตามตำแหน่งขุนนางที่สูงขึ้น

 

[ในยุคของพวกข้าที่ตระกูลสงบสุข และมั่นคงแล้ว ข้าจึงสอนหลานโดยเน้นเรื่องวิธีบริหารดินแดนมากกว่า]

 

รุ่นที่หนึ่งและสอง ประหลาดใจเมื่อได้ยินแบบนั้น

 

[อย่างกับขุนนางแหนะ]

 

[ในยุคของพวกข้า สิ่งที่จำเป็นมันคือเรื่องภาคสนามกับการล่ามอนสเตอร์ และการรับมือกับศัตรูเสียมากกว่า]

 

รุ่นที่ห้าถอนหายใจ

 

[ก็เขา ’เป็น’ ขุนนางไง แล้วแน่ใจนะ ว่าพวกเจ้าจะหยุดอนาคตของไรเอลไว้เพียงเท่านี้? ทั้งๆ ที่เราสร้างความสำเร็จให้เขาได้แล้วน่ะ? ]

 

รุ่นที่สองเอียงหัว

 

[สร้างความสำเร็จ? การทำลายกองโจรก็สร้างเรื่องให้ชาวบ้านนินทา

ส่วนเรื่องบ้านเกิด ไรเอลก็พยายามสร้างเรื่องดึงดูดความสนใจพวกเขาแต่ไร้ผลไปแล้วไง]

 

สิ่งที่น่ากลัวคือการที่ไม่รู้ว่าฝั่งนั้นจะทำอะไร

 

ด้วยเครือข่ายของตระกูลวอลท์ ต่อให้ไม่ต้องออกสืบเลย ข่าวเรื่องไรเอลก็จะไปเข้าหูพวกเขาอยู่ดี

 

ถึงจะถูกไล่ออกมาแล้ว แต่ก็ยังเป็นลูกชาย

 

ถ้าพวกเขาเจอการเคลื่อนไหวที่น่าสงสัย ย่อมส่งคนมาตามเก็บ  

และด้วยไรเอลในปัจจุบัน การสู้ตัวต่อตัวกับศัตรูที่มีสกิลยังถือเป็นเรื่องยากอยู่

 

เพื่อให้พวกเขาวางใจ จึงเป็นเหตุผลที่ไรเอลต้องแสดงเป็นไอ้ง่าวที่เหมาะสมกับการถูกเนรเทศออกมา  

 

แน่นอนว่าการทำให้ตระกูลวอลท์เสียชื่อ ก็อาจเป็นเหตุผลให้พวกเขาส่งนักฆ่ามา

แต่การฆ่าไรเอลไปตั้งแต่แรกก็ย่อมดีกว่า

 

ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่ชื่อเซเลสคอยเปลี่ยนกระบวนการคิดพื้นฐานของพวกเขาไป

หรือพวกเขาแค่ไม่สนใจเฉยๆ กันแน่…

 

ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใด การกระทำของพวกเขาต่อจากนี้ไปย่อมตัดสินให้เรื่องมันชัดเจนขึ้น คือสิ่งที่เหล่าบรรรพบุรุษสรุปออกมาได้

 

รุ่นที่หกยิ้มให้กับรุ่นที่สอง

 

[ถึงจะเป็นในเดลลีน แต่การที่ไรเอลเข้าทำลายกองโจรก็เป็นเรื่องจริง

เราสามารถใช้ชื่อเสียงนี้ยังไงก็ได้…เหมือนตอนที่ข้าใช้มันกับเบื้องหลังของตระกูลวอลท์ และก็ถูกหลานชายเกลียดขี้หน้าเอาน่ะ]

 

รุ่นที่เจ็ดเข้าลูบหลังปลอบรุ่นที่หกที่กำลังไหล่ตก

 

รุ่นที่สามยิ้มพูด

 

[อย่าไปจริงจังกับเรื่องนินทานัก ที่เดลลีน เขาคือไอ้ขี้ขลาดที่ใช้พลังของเงินในการกวาดล้างโจรแบบขี่ช้างจับตั๊กแตน

แต่ทุกคนก็ยังยอมรับว่าไรเอลเป็นคนปราบโจรอยู่ดีนี่นา ในเมื่อไม่มีใครถามว่าพวกโจรถูกกวาดล้างยังไง ก็อย่าเพิ่งไปบอกพวกเขาก็พอแล้วล่ะ]

 

ทุกคนพยักหน้า

 

พอเสียชีวิตในสนามรบ ประชาชนทั่วไปก็รู้จักรุ่นที่สามในฐานะแม่ทัพผู้เที่ยงธรรมอันเลื่องชื่อ ในการช่วยเหลือกองทัพที่กำลังถอยไปพื้นที่ปลอดภัยจนสำเร็จ

 

ทั้งๆ ที่เขาดูไม่ใช่คนแบบนั้นเลย

 

[พอเจ้าเป็นคนพูด ทุกคนก็ฟังกันหมดเลยนะ]

 

รุ่นที่สามยิ้มรับคำถากถางของรุ่นที่หนึ่ง

 

เขาพูดต่อถึงสถานการณ์ในอนาคตของไรเอล

 

[เราสามารถพูดได้ว่าตอนนี้ไรเอลประสบความสำเร็จในฐานะนักผจญภัยแล้ว มาพูดถึงเรื่องที่เขาจะกลับไปที่ตระกูลวอลท์กัน

เอาล่ะ ถึงจะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่เกี่ยวกับเรื่องสัตว์ประหลาดเซเลสที่รุ่นที่หนึ่งเคยพูดเอาไว้

ข้าว่ามันมีเค้าโครงความจริงอยู่นะ…]

 

พอได้ยินเรื่องนี้ ทุกคนก็เริ่มคิด

 

เพราะไรเอลเก่งกว่าที่พวกเขาคาดเอาไว้นั่นเอง

 

เพียงแค่ได้รับคำอธิบายกับฝึกฝนอีกนิดหน่อย ไรเอลก็สามารถใช้สกิลได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในไม่กี่วัน

แม้จะยังไม่เชี่ยวชาญ แต่ก็เรียกได้ว่าน่าทึ่งแล้ว

 

รุ่นที่หนึ่งวางท่า

 

[ก็ข้าบอกไปแล้วนี่!? และเดี๋ยว ถ้าเธออยู่ในระดับที่ไรเอลเอาชนะไม่ได้เลยแบบนี้ เซเลสก็ถือว่าอันตรายพอตัวเลยนะ]

 

ความอันตรายของเซเลสเกินคาดของทุกคนไปแล้ว

 

ในการต่อสู้ครั้งแรกของไรเอลกับก็อบลินก็ดี ถึงจะไม่ไ้ด้ตัวคนเดียว แต่ไรเอลก็ไม่มีล่กให้เห็น

 

แม้กระทั่งตอนสู้กับหัวหน้าโจรก็ด้วย ที่ไรเอลไม่ตื่นตระหนกเลย

 

ถึงจะขาดประสบการณ์ และมีปัญหาด้านพลังกายพลังเวท แต่ความสามารถโดยรวมของเขาก็ถือว่าสูงมาก

 

และตระกูลวอลท์ที่ว่า ก็มีสัตว์ประหลาดที่ไรเอลเอาชนะไม่ได้อยู่

 

[ดินแดนของเราก็เรื่องนึง แต่ประเทศนี้กำลังจะเข้าสู่ความวุ่นวายแน่ๆ ไม่มีใครเดาความคิดไอ้สัตว์ประหลาดนั่นได้หรอก

เพราะแบบนี้ไง พวกหมาแก่ที่หลงตัวเองในยุคของข้าถึงถูกสอยร่วงไปแล้วนับไม่ถ้วนน่ะ]

 

{สัตว์ประหลาดเซเลส}

 

กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่คาดคิดสำหรับเหล่าบรรพบุรุษไป

 

จากตอนแรกที่พวกเขาคิดว่าปัญหาอยู่ที่ตัวไรเอล แต่เมื่อพิจารณาถึงการถูกเลือกปฎิบัติจากครอบครัวแล้ว

ก็กลายเป็นว่าเขาอาจจะไม่ได้รับการศึกษาที่เหมาะสมแทน

 

เมื่อถูกเปรียบเทียบกับตัวตนที่ต่างกันเกินไป ก็ไม่แปลกที่บุคคลิกของเขาจะงี่เง่าแบบนั้น

 

การที่สามารถทนต่อความกดดันนั้นมาได้ตลอด 5 ปี ก็ถือว่าควรค่าแก่พิจารณาแล้ว

 

แต่กับไรเอลที่ความสามารถระดับนี้

 

กลับไม่อยู่ในปลายสายตาของเซเลสเลยด้วยซ้ำ

 

เหล่าบรรพบุรุษไม่มีทางเลือกนอกจากจะยอมรับตัวตนที่รุ่นที่หนึ่งเรียกว่าสัตว์ประหลาดนี้

 

[พลังอันท่วมท้น และที่มองข้ามไม่ได้คือบุคลิกที่เห็นแก่ตัว ถือว่าลำบากเลยล่ะ]

 

รุ่นที่หกเห็นด้วยกับความเห็นของรุ่นที่ห้า

 

[ถ้าเซเลสเกิดบ้าขึ้นมาเมื่อไหร่ตระกูลอาจจะล่มสลายไปเลยก็ได้ พอคิดแบบนี้แล้ว การที่ไรเอลถูกไล่ออกมาก็ถือเป็นโชคดีนะ

อย่างน้อยสายเลือดก็ยังสืบต่อไปได้ล่ะ]

 

รุ่นที่ห้าเห็นชอบ

 

 

[ใช่ ถ้าเขากลายเป็นนักผจญภัยจนสร้างตัวได้ แล้วไปสร้างหมู่บ้านใหม่อีกรอบดีไหม?

ตอนนี้พวกเราก็ทิ้งประเทศบานซิมไปก่อน หนูโนแวมกับหนูอาเรียก็อยู่กับเขาด้วย เราพาพวกเขาไปเจออันตรายไม่ได้หรอก…]

 

แต่อารมณ์ของพวกเขากลับไม่ยอมรับเท่าไหร่

 

บรรพบุรุษทุกคนในที่นี้ต้องการทำอะไรบางอย่างกับมัน

 

[ทางที่ไรเอลเลือกเดินคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่หนูโนแวมก็ทำให้ข้าสงสัยนิดหน่อยนะ]

 

รุ่นที่สองเนือยกับสิ่งที่รุ่นที่สามพูดออกมา

 

[เจ้ายังติดใจเรื่องนั้นอีกเหรอ? เด็กดีที่ไหนจะคิดลับหลังไม่ดีกัน? เธอเป็นสาวบริสุทธิ์ที่เชื่อคำโกหกของไรเอลอย่างจริงจังเชียวนะ! ]

 

รุ่นที่สามเนือยบ้าง

 

แต่รุ่นที่ห้ากลับเห็นด้วย

 

[ต่อให้เธอวางอุบายอะไรไว้ เธอก็ไม่มีทางทำร้ายไรเอลหรอก ปล่อยไปก็ได้นี่?

ถ้าเธอจะทำจริงคงไม่ตามรับใช้ไรเอลมาไกลจนขนาดนี้แน่ ในทางกลับกัน…พวกเราจะไล่อาเรียออกไปหรือเปล่าล่ะ? ]

 

ทุกคนทำหน้าบอกไม่ถูกกับสิ่งที่รุ่นที่ห้ากล่าวออกมา

 

พ่อของเธอติดต่อกับโจรและจบลงด้วยการเป็นทาสในเหมืองเพื่อชดใช้ ซ้ำยังเสียทุกอย่างกระทั่งบ้านก็ไม่มีอยู่

 

รุ่นที่หนึ่งแสดงสีหน้าซับซ้อน

 

[การที่ได้เห็นลูกหลานแต่งงานกับคนที่เหมือนรักแรกของตัวเองมันแปลกชะมัด]

 

รุ่นเจ็ดพูด

 

[ก็เพราะเจ้าขอให้ไรเอลไปทำเรื่องไม่เข้าเรื่องไง! ถ้าเจ้าให้ความร่วมมือตั้งแต่แรก พวกเราก็ไม่ต้องกังวลกับอะไรแปลกๆแบบนี้แล้ว]

 

รุ่นที่สี่พายเรือกลับเข้าฝั่งอีกครั้ง

 

[ถ้าอย่างนั้น จนกว่าไรเอลจะตัดสินใจสิ่งที่เขาจะทำในอนาคต วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน ขอบคุณที่เหนื่อยนะ’

.

.

.

พอเหลืออยู่คนเดียวในห้องประชุม รุ่นที่หนึ่งก็มือกอดอกนั่งไขว่ห้างพาดขาบนโต๊ะ

 

เขากำลังคิดเรื่องของไรเอลอยู่

 

[ถ้ามองแค่ขีดจำกัดของพรสวรรค์เพียวๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเหนือกว่าพวกเราทั้งหมดน่ะ]

 

เกณฑ์ในการหาเจ้าสาวที่ทุกคนเอาแต่หัวเราะเยาะรุ่นที่หนึ่งในงานปาร์ตี้

 

บางที…สิ่งนั้นแหละที่คอยบ่มเพาะสายเลือดของตระกูลวอลท์มาตลอด

 

ไรเอลในปัจจุบันยังขาดประสบการณ์อยู่ก็จริง แต่เขาก็ถือว่ามีพรสวรรค์และศักยภาพที่เหนือกว่าใครในเหล่าบรรพบุรุษทั้งหมด

 

[…แบบนี้ เขาคงจะเหนือกว่ายุคทองของข้าไปอย่างง่ายดายเลยล่ะ]

 

เขาพึมพำ ดีดตัวขึ้น แล้วก็ตกลงบนพื้น

 

[ดี ดี ดี ด้วยพวกเราทั้งเจ็ดในอัญมณี และความสามารถของตัวเขาเอง ไรเอลจะไปได้ไกลขนาดไหนกันนะ…

ถ้าจะมีใครสักคนที่จะหยุดเซเลสได้ ก็ต้องเป็นเขานี่ล่ะ]

 

รุ่นที่หนึ่ง บราซิล วอทล์ เดินตรงไปที่ห้อง พร้อมรอยยิ้มที่ค่อยๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้า

 

[เอาล่ะ ถึงเวลาที่ข้าจะช่วยเหลือเขาอย่างจริงจังแล้ว วันที่ไรเอลจะเรียนวิธีใช้ขั้นที่สามของสกิลก็ใกล้เข้ามาทุกที

ข้าต้องไปซ้อมสักหน่อย…มันอาจจะใช้เวลาไม่เยอะก็ได้นะ]

 

เขาเปิดประตู เดินเข้าไปในห้อง

 

[และการสอนของข้าอีกไม่นานก็คงจะจบลง…]

 

ประตูปิดลงอย่างช้าๆ

 

ไม่มีใครเหลืออยู่ในห้องประชุมอีก

 

—-

ลืมลงรูป อาเรีย ล็อคเวิด 

Sevens

Sevens

อ่านนิยาย เรื่องSevens เดิมไรเอลเป็นลูกชายคนโตที่ต้องรับช่วงต่อของตระกูล แต่พอเขาอายุได้ 10 ปี พ่อแม่ก็เริ่มไม่สนใจเขา แล้วหันไปเห่อน้องสาวของเขาแทน จนวันนึงในตอนที่เขาอายุครบ 15 ปี น้องสาวของเขาก็ท้าประลองเพื่อชิงตำแหน่งผู้สืบทอด และเขาก็ได้พ่ายแพ้ หลังจากที่ฟื้นตัว เขาก็ได้รับสืบทอด พลังone for all- เอ้ย อัญมณีที่มีความทรงจำของบรรพบุรุษทั้ง 7 คน และเริ่มออกผจญภัยไปกับเพื่อนสมัยเด็ก

Comment

Options

not work with dark mode
Reset