Sevens – ตอนที่ 8 เซลฟี่ นักผจญภัยมือเก๋า

เซลฟี่ นักผจญภัยมือเก๋า

—-

 

วันนี้ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความจริงที่ว่า ข้อกำหนดเรื่องการหาเจ้าสาวของตระกูลวอลท์เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันเฉยๆ

 

ต่อมาบนชั้นสามของกิลด์ โนแวมและผมกำลังพบกับนักผจญภัยหญิงที่จะมาเป็นที่ปรึกษาของพวกเราเป็นครั้งแรก

 

ชื่อของนักผจญภัยที่คุณฮาวกิ้นหามาให้พวกเราชื่อว่า เซลฟี่

 

เธอมีผมสีม่วงสั้นเป็นเอกลักษณ์ และวางตัวในห้องด้วยท่าทางค่อนข้างหยาบกระด้าง

ผิวที่อยู่นอกร่มผ้าของเธอมีแผลเป็นจากในอดีตอยู่ไม่น้อย

 

เธอมีดวงตาเฉียบแหลม และมีบรรยากาศของนักผจญภัยผู้โชกโชน

 

“คุณเซลฟี่ ทางนี้คือนักผจญภัยหน้าใหม่ที่ข้าเคยกล่าวถึงครับ”

 

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

 

“ย-ยินดีครับ”

 

เมื่อเรากล้าวทักทายยกัน คุณเซลฟี่ก็พยักหน้าสองสามครั้งขณะมองมาที่พวกเรา

 

“…ตอนแรกก็คิดว่าการที่มีหน้าใหม่มาไหว้วานข้าจะเป็นเรื่องตลกเสียอีก แต่เหมือนพวกเจ้าจะเป็นขุนนางจากที่ไหนสักที่นะ”

 

พอได้ยินผมก็สะดุ้งเล็กน้อย

 

วันนี้เป็นตาของรุ่นที่สามที่มาดูแลผม เขาก็ดูประหลาดใจเช่นกัน

 

[เธอไม่ใช่คนที่จะดูถูกได้เพียงเพราะเพศของเธอเลย เดี๋ยว สมัยนี้มีนักผจญภัยเป็นผู้หญิงมากขึ้นแล้วรึ?

คงเป็นเพราะเวลาผ่านมานาน…รู้สึกแปลกดีจริง]

 

‘แปลก? ‘

 

ผมสงสัยต่อคำพูดของรุ่นทีสาม แต่ก็ห้ามตัวเองเอาไว้

 

คุณฮาวกิ้นพูดเตือน

 

“คุณเซลฟี่ครับ การถามถึงที่มาของผู้ว่าจ้างนั้น…”

 

“รู้หน่า ข้าไม่สร้างปัญหาให้ลูกค้าหรอกบอสฮาวกิ้น ข้าแค่ต้องการวางกฎเกณฑ์ในการฝึกพวกเขา

เจ้าก็รู้ ถ้าพวกเขาเป็นพวกเด็กเห่อยศ ข้าก็สอนงานได้ไม่ถึงครึ่งน่ะสิ  

แล้วก็ถ้าพวกเจ้าไม่ชอบ ข้าก็จะได้เลิกเป็นที่ปรึกษาซะ จะได้ไม่ต้องมาคอยรับผิดชอบพวกเจ้า”

 

เธอมองที่ผมกับโนแวม

 

พวกเราพยักหน้า และถามถึงกฎที่ว่า

 

“ข้าเข้าใจ ถ้ามันไม่ใช่อะไรที่ไร้เหตุผลนะครับ”

 

“งั้นรึ? อย่างแรก ห้ามบ่นเรื่องวิธีการให้คำปรึกษาของข้า หรือก็คือฟังตามที่ข้าพูด

สอง ข้าจะเคี่ยวเข็ญพื้นฐานให้พวกเจ้าภายในเวลาสามเดือน ฉะนั้นอย่าทำตัวเหลาะแหละ และสาม…”

 

กฎทั้งสองข้อถือเป็นเรื่องปกติ พวกเราจึงรอให้เธอพูดถึงกฎข้อที่สาม

 

“สาม เจ้าต้องหาสมาชิกปาร์ตี้เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยหนึ่งคน จะแบบชั่วคราวก็ได้ แล้วฟอร์มทีมร่วมกันขั้นต่ำสามคนซะ”

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่คุณเซลฟี่บอก ผมก็หันไปสบตาโนแวม

 

คุณฮาวกิ้นเข้ามาเสริมความเห็นนั้น

 

“เป็นเรื่องจริงครับ การที่พวกคุณมีสมาชิกปาร์ตี้สามคนจะทำให้รับคำร้องได้ง่ายขึ้น”

 

ผมไม่ได้คิดเรื่องหาพรรคพวกตอนนี้เลย เป็นเพราะผมคิดว่าถ้าได้เรียนพื้นฐานแล้วเดี๋ยวก็จะหาคนได้เอง

 

[หึ นางคงคิดเพื่อเจ้าในแบบของนางเอง พวกเรายังคงเป็นนักผจญภัยมือสมัครเล่นอยู่ ข้าว่าการเชื่อฟังนางไว้จะดีที่สุดนะ]

 

มันไม่ใช่เพราะรุ่นที่สาม แต่ผมก็ตัดสินใจยอมรับกฎทั้งสามข้อนี้

 

“ผมยอมรับเงื่อนไขของคุณ พวกเราไม่มีอะไรแย้งครับ”

 

เมื่อได้ยินผมพูด คุณเซลฟี่ก็ยิ้ม

 

เทียบกับความถือตัว เธอน่าดึงดูดมากกว่าในเวลาที่เธอยิ้ม

 

“ดี! ถ้างั้นข้าจะรับงาน ที่จริงข้าตกใจนิดหน่อยที่รู้ว่าจะได้งานสอนมือใหม่ แต่เจ้ากลับเชื่อฟังจนน่าประหลาดใจเลยล่ะ”

 

โนแวมถามคุณเซลฟี่

 

“มันเป็นเรื่องแปลกหรือคะ? ”

 

“มันต่างกันน่ะ ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครมีเงินกันหรอก พวกเขามักหางานทำเก็บเงิน

แล้วเริ่มยื่นคำร้องหาที่ปรึกษากับกิลด์ด้วยเงิน 2-3 เหรียญทองก่อนจะหาที่ปรึกษาขั้นกลางอย่างพวกข้า  

ข้าคิดว่า ตราบใดที่ต้องการจะอัพแรงค์นักผจญภัย พวกเขาส่วนใหญ่ก็จะหาที่ปรึกษากันนะ”

 

คุณฮาวกิ้นเสริมสิ่งที่คุณเซลฟี่บอก

 

“ที่กิลด์นักผจญภัยเมืองเดลลีนนี้มีคำร้องให้เลือกมากมาย และง่ายสำหรับนักผจญภัยหน้าใหม่ที่จะหางานทำ

เป็นเหตุผลที่กิลด์สาขานี้นำระบบที่ปรึกษามาใช้ได้ครับ”

 

“พอเป็นนักผจญภัยไปถึงจุดหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็จะเริ่มกังวลเรื่องการเติบโตของตนเอง จนมีแค่ไม่กี่คนที่คิดจะผลักดันตัวเองต่อหรอกนะรู้มั้ย?

พวกเขาจึงเริ่มเรียนพื้นฐานจากนักผจญภัยแรงค์ต่ำเพื่อลองก่อน เมื่อรู้สึกพร้อมแล้วค่อยมาหานักผจญภัยระดับกลางอย่างพวกข้าน่ะ”

 

นอกจากเดลลีนแล้ว ระบบที่ปรึกษานี้ก็มีในกิลด์นักผจญภัยไม่กี่สาขาเท่านั้น

 

จากตรงนี้สามารถบอกได้ว่ากิลด์สาขาเดลลีนขึ้นชื่อในการปั้นนักผจญภัยหน้าใหม่นั่นเอง

 

“ถึงกรณีพวกคุณจะต่างกับคนอื่นเล็กน้อย แต่คุณเซลฟี่ก็เป็นนักผจญภัยมามากกว่า 12 ปี

นอกจากพฤติกรรมดีแล้ว ก็ยังเป็นผู้มีประสบการณ์อย่างแท้จริง โปรดนำเธอเป็นต้นแบบที่ดีได้…ยกเว้นวิธีพูดของเธอนะครับ”

 

พอได้ยินคุณฮาวกิ้นพูดแบบนั้น คุณเซลฟี่ก็ค้านขึ้นมาทันที

 

“ข้ายังแค่ยี่สิบกว่าอยู่! หยุดเรียกว่าผู้มีประสบการณ์สักทีสิ มันทำให้ข้ารู้สึกแก่นะ บอส! ”

 

“เอาล่ะ โปรดตัดสินใจแผนในอนาคตของคุณให้ดี เรียนรู้ความรู้ และประสบการณ์ที่จำเป็นสำหรับนักผจญภัยจากผู้ชำนาญการของทางเรา

ผมจะรอวันที่พวกคุณเติบโตเป็นนักผจญภัยที่ยอดเยี่ยมนะครับ”

 

คุณฮาวกิ้นออกจากห้องไปด้วยรอยยิ้ม และปล่อยให้ผมกับโนแวมอยู่ภายใต้การดูแลของคุณเซลฟี่

.

.

.

ในห้องประชุมของกิลด์ คุณเซลฟี่ให้แนวคิดที่จำเป็นของนักผจญภัยแก่พวกเรา

 

“…เอาล่ะ ข้าบอกพื้นฐานไปหมดแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมเป็นสหาย

เจ้าต้องเข้าใจว่าต่อให้คนจะเก่งแค่ไหนก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้าง จงระวังไว้ให้ดี”

 

เรื่องทั่วไปที่เธอบอกก็เกี่ยวกับวิธีการรับคำร้อง และการดูแลตัวเองเมื่อเรานำศพมอนสเตอร์ หรืออะไรก็ตามเข้ามาภายในกิลด์

 

ถ้ารับคำร้องมาแล้วทำไม่สำเร็จมันจะถูกบันทึกไว้ในกิลด์การ์ดเป็นอัตราความเร็จส่วนบุคคล และของปาร์ตี้  

รวมถึงพฤุติกรรมที่ไม่ดีก็จะถูกบันทึกไว้ด้วย

 

แม้ทุกอย่างจะปกติดี แต่ก็ระวังตัวไว้

 

อย่าทำสิ่งในที่ทำไม่ได้

 

‘นักผจญภัย’ ไม่ควรทำตัว ‘ผจญภัย’

 

พวกเราถูกบอกมาประมาณนั้น

 

แล้วในตอบจบ เธอก็สรุปถึงความสำคัญของพวกพ้อง

 

“จำนวนคนจะกลายเป็นพลัง เหมือนนักเลงที่ชอบหมาหมู่ไง เข้าใจดีแล้วนะ โอเค๊? ”

 

โนแวมถามคำถาม

 

“อืม…ถ้ากังวลเรื่องจำนวนคน ทำไมเราถึงไม่สนใจเรื่องความสามารถด้วยล่ะคะ? ”

 

คุณเซลฟี่ส่ายหัว

 

“ขึ้นอยู่กับว่าความสามารถนั่นแลกมาด้วยอะไร เจ้าต้องการคนที่แข็งแกร่งแต่สร้างปัญหามากมายให้กับปาร์ตี้ของเจ้ารึเปล่าล่ะ? ”

 

ผมรับเรื่องนั้นไม่ได้เลยปฎิเสธ

 

“แน่นอนว่าไม่ครับ”

 

แต่รุ่นที่สาม…

 

[จะเครื่องมือหรือมนุษย์ก็มีวิธีการใช้งานของมันทั้งนั้นแหละ]

 

‘เขาไม่ชั่วร้ายไปหน่อยเหรอ…’

 

“ใช่ไหมล่ะ? ถ้าเก่งแต่มีปัญหา สู้เอาคนดีๆ ที่ตรงตามความต้องการของคำร้องดีกว่า”

 

แน่นอนว่า สุดแล้วแต่เจ้าจะตัดสินใจ เธอเสริม

 

“เจ้าจะล่ามอนสเตอร์ข้างนอกแล้วขายมัน หรือจะรับคำร้องแล้วทำให้สำเร็จ หรือลงไปในดันเจี้ยนเพื่อหาสมบัติ

ทั้งหมดนั่นก็คืองานของนักผจญภัย แต่แทบจะไม่มีใครหรือปาร์ตี้ไหน ที่จะทำทั้งหมดนั่นได้หรอกนะ?

คิดให้ดีถึงวิธีในการเป็นนักผจญภัยของเจ้า แล้วหาสหายที่เหมาะสมกับเรื่องนั้นซะ”

 

เราจะมุ่งไปที่ไหน และขาดอะไรเพื่อไปถึง การเรียนรู้เรื่องนี้เองที่เป็นสิ่งสำคัญ

 

ถึงเราจะมีความสามารถที่จำเป็นแล้ว แต่การไปเรียนเรื่องรู้พวกงานฝีมือก็ใช้เวลานาน

สู้หาคนที่มีความสามารถเหล่านั้นมาเป็นพวกพ้องถือว่าถูกต้องกว่า

 

“มันมีขีดจำกัดของคนๆ เดียวอยู่ มันดีที่เล็งไว้สูง แต่ถ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้ สักวันเจ้าก็จะทำพลาดจนแก้ไขไม่ได้”

 

โนแวม และผมพยักหน้าให้กับความรู้ที่เธอมอบให้

 

“ดี งั้นมาคุยเรื่องานกันได้แล้ว การเรียนด้วยประสบการณ์จริงมันเร็วกว่าเยอะ”

 

พอพูดถึง เธอก็เอาแผ่นกระดาษที่เตรียมไว้ออกมา

 

“เอิ่ม…คุณเซลฟี่คะ? ”

 

โนแวมดูกังวล

 

“ว่าไง? ”

 

เธอพูดกับคุณเซลฟี่ที่กำลังยิ้ม

 

“มันเขียนว่า [ทำความสะอาดระบบระบายน้ำของเมือง] นี่คะ แต่…”

 

“อิ้ม ใช่แล้ว! คนที่ไม่ยอมทำคำร้องแบบนี้ ก็คือคนที่เอาแต่จะปฎิเสธเรื่องอื่นไปตลอดชีวิตนั่นแหละ ฉะนั้นพวกเจ้าควรลองทำมันในตอนที่ยังมีโอกาสนะ”

 

งานแรกในฐานะนักผจญภัยของพวกเรา ก็คือการทำความสะอาดระบบระบายน้ำล่ะ

.

.

.

ห้องประชุมในอัญมณี หลังจากที่ผมนอนหลับไป

 

รุ่นที่หก และรุ่นที่เจ็ดไม่เห็นด้วยกับงานแรกของผม

 

[อย่าง ที่ ข้า พูด ไง! ข้าไม่ปล่อยให้ไรเอลไปล้างท่อหรอก! ดูก่อน แม้เจ้าจะยังยึดติดกับอดีต แต่เขาก็เป็นถึงผู้สืบทอดของตระกูลวอลท์นะ?

รุ่นที่ห้า ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรบ้างล่ะ? ]

 

รุ่นที่หกจ้องตาเขม็ง เพราะเขาถูกกล่าวขานกันว่าเป็นขุนนางวายร้าย ภาพเขาในหัวของผมจึงไม่ค่อยดีนัก

 

รุ่นที่เจ็ด ท่านปู่เห้นด้วยกับเขา

 

[พวกเจ้าไม่ว่าอะไรเลยเหรอ ที่ไรเอลจะไปล้างท่อแบบนั้นน่ะ!? ]

 

แต่รุ่นที่หนึ่งกับรุ่นที่สี่ดูไม่สนใจ และ

 

[ทำไมล่ะ? แค่หนูโนแวมไม่สกปรกก็โอเคแล้วนี่]

 

สิ่งที่รุ่นที่หนึ่งสนใจคือเรื่องที่โนแวมจะได้แผลหรือสกปรกระหว่างทำความสะอาดรึเปล่า แถมผมก็เป็นผู้ชายด้วยสิ

 

โดยผมจะรับบททำความสะอาดจุดที่สกปรกมากเพียงคนเดียว และให้โนแวมคอยช่วยอยู่ห่างๆ

ส่วนคุณเซลฟี่ก็น่าจะประเมินผู้ชายที่ให้เกียรติผู้หญิงไว้สูงล่ะ

 

แน่นอนว่าเป็นความเห็นจากทางบรรพบุรุษบางคน

 

[แถมยังเป็นโอกาสดีที่ไรเอลจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ บ้าง แล้วข้าก็คิดว่านักผจญภัยที่ชื่อเซลฟี่ก็ตั้งใจจะทำเหมือนกันนะ]

 

รุ่นที่สองพูดถึงจุดประสงค์ของคุณเซลฟี่

 

แต่รุ่นที่หกมองต่างออกไป

 

[ถ้าเจ้ายังคิดแบบเก่าๆ อยู่แล้วจะเรียกไรเอลว่าเป็นขุนนางได้ยังไงกัน!? ไรเอลไม่เหมือนพวกเจ้านะ เขาคือของจริง! ขุนนางเลือดบริสุทธิ์ไร้มลทิน! ]

 

รุ่นที่สามพูดกับรุ่นที่หกที่ยืนกรานหนักแน่น

 

[ทำไมเจ้าถึงตีค่าว่าพวกข้าเป้นของปลอมกันล่ะ~? ของแท้เทียมสำหรับเจ้ามันต่างกันยังไงล่ะ? ]

 

รุ่นที่สี่ก็สงสัยเหมือนกัน

 

มีแค่รุ่นที่ห้าที่ไม่สนใจเรื่องนี้เลย ไม่สิ รุ่นที่ห้าเหมือนจะเป็นกลางเสมอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนะ

 

รุ่นที่เจ็ดเริ่มพูดถึงสายเลือดของผม

 

[ในตัวไรเอลมีเลือดของภรรยาข้า เลือดของตระกูลเคานต์!  

ฟังนะ ข้าจะพูดสั้นๆ เขาคือเด็กที่แบกรับสายเลือดราชวงศ์ของอาณาจักรเซ็นเทรดที่มีมาก่อนยุคสมัยของพวกเราทั้งหมด! ]

 

[…โฮ่ เจ้าพูดเรื่องน่าตกใจออกมาซะแล้ว]

 

ประเด็นที่รุ่นที่สามบอกว่าเป็นเรื่องน่าตกใจนั้น…

 

“เอ๋? ข้าเพิ่งได้ยินเรื่องนี้เลย”

 

ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน รอบๆเริ่มมีเสียงพูดคุยกัน

 

รุ่นที่สามมองมาทางผม และถามยืนยันกับรุ่นที่หก

 

[…เหมือนเด็กคนนี้จะไม่รู้มาก่อนนะ เจ้าแน่ใจรึเปล่า? ]

 

ผมพยักหน้าตาม

 

“ผมไม่เคยได้ยินเรื่องทำนองนี้จากพ่อมาก่อนนะ”

 

ที่ผมถูกเมินตั้งแต่อายุแค่ 10 ปี อาจเพราะพ่อไม่เคยยกเรื่องสำคัญนี้มาพูดก็ได้

 

[เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องที่พูดออกมาพล่อยๆ ได้นะ! ในช่วงเวลาของข้า  

อดีตราชวงศ์นั่นต้องการตำแหน่งคืนโดยอาศัยการเมืองที่ทุจริต เพื่อปลุกระดมให้เกิดการกบฎขึ้นมา! ]

 

รุ่นที่สามเคยเข้าร่วมและตายในสงครามระหว่างประเทศ

 

นับจากนั้น ผู้นำตระกูลวอลท์ก็ออกสู่สนามรบบ่อยขึ้นแม้จะเป็นการต่อสู้ขนาดเล็ก

 

ในหมู่พวกเขา รุ่นที่หกและเจ็ดก็เป็นรุ่นที่เข้าร่วมในการต่อสู้ ตั้งแต่สงครามภายในยันสงครามระหว่างดินแดนด้วย

 

เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ผมยังได้ยินเรื่องที่พ่อออกไปรบในวัยหนุ่มอยู่เลย

 

รุ่นที่เจ็ดเริ่มอธิบายถึงท่านย่าของผม

 

[ราชสมัยเก่า…สายเลือดของราชวงค์เซ็นเทรดคือสิ่งที่ไม่ถูกพูดถึง และสืบมาจนปัจจุบันจริง

แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ เพราะตระกูลที่เหลือรอดคือทายาทสายเลือดตรงจากผู้ก่อการกบฎนั้น อากริซซ่า]

 

อากริซซ่า…เธอคือคนที่รุ่นที่หนึ่งพูดถึง ราชินีคนสุดท้ายของอาณาจักรเซ็นเทรด และเป็นสาวงาม

 

“เอ๋? ท่านย่า…ถ้าท่านย่า เซ็นวาค คือสายเลือดนั้น งั้น…”

 

ทรราชที่ถูกยอมรับงามล่มเมืองมาจนทุกวันนี้ แล้วก็ยังเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว

ทำให้ทายาทของอากริซซ่าถูกนับว่าเป็นสายเลือดตรงเดียวจากราชวงศ์เก่าที่ว่า

 

[ไอ้หยา…เซเลสยิ่งดูเป็นสัตว์ประหลาดเข้าไปใหญ่เลย]

 

รุ่นที่หนึ่งพูดความเห็น แต่พอรุ่นที่สองได้ยินก็เบื่อ

 

[เจ้ายังพูดอะไรแบบนั้นอยู่อีกเรอะ? ]

 

รุ่นที่เจ็ดอธิบายต่อ

 

[แม้ราชวงศ์บานซิมมีต้นกำเนิดมาจากญาติห่างๆ ของนาง จึงมีเพียงไม่กี่คนที่สืบสายเลือดชั้นสูงนั่น และหนึ่งในนั้นก็คือไรเอล…เข้าใจหรือยังล่ะ? ]

 

รุ่นที่หกเริ่มอธิบายต่อว่าทำไมพวกเขาถึงไม่กำจัดสายเลือดของราชวงศ์เก่าออกไป

 

ที่ฉากหน้า การก่อกบฎดูจะประสบความสำเร็จ และราชวงศ์ทั้งหมดก็ถูกประหาร

ที่รอดมาได้มีเพียงกลุ่มเล็กๆ ที่หมดสิทธิ์สืบทอดราชบัลลังก์ไปแล้ว

 

“อืม ข้าถูกสอนมาว่าเชื้อราชวงศ์ที่รอดชีวิตมาได้มีแค่ญาติห่างๆ ไม่ใช่หรือครับ? แถมพวกเขาก็ถูกประหารไปแล้วด้วย”

 

[เจ้าโง่! อย่าคิดว่าสายเลือดราชวงศ์ที่ขัดเกลาผ่านประวัติศาสตร์อันยาวนานจะถูกบดขยี้ง่ายๆ สิ!

พวกเขาถูกกำจัดไปแค่ฉากหน้าเท่านั้น และผู้รอดชีวิตก็ถูกปกป้องไว้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง]

 

ถ้าจอมเวทเป็นขุนนาง พลังของพวกเขาจะถูกส่งต่อไปผ่านสายเลือด ส่วนจอมเวทก็ถูกสร้างมาจากการสืบสายเลือดของผู้ที่ใช้เวทมนต์ได้เช่นกัน

 

นั่นเป็นเหตุผลที่เกิดระบบปกครองแบบราชาขึ้น

 

แม้ราชวงศ์ถูกล้มล้าง และสังคมใหม่เกิดขึ้นจากองเถ้าถ่าน สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือสายเลือด

 

[ราชาในยุคของข้า ถ้าไม่มีเรื่องเกิดขึ้นเขาคงให้เซ็นวาคขึ้นเป็นตระกูลชั้นสูง และอ้าแขนรับเธอเข้าเป็นราชวงศ์ไปแล้ว

แต่เพราะการทุจริตของราชาไปกระตุ้นความโกรธให้เครือญาติจนทนไม่ได้และลุกขึ้นต่อต้าน…ความขัดแย้งดังกล่าวลุกลามใหญ่โตถึงขั้นจนลากประเทศอื่นเข้ามาร่วมด้วยซ้ำ! ]

 

รุ่นที่เจ็ดเริ่มเล่าเรื่องในเงามืดประวัติศาสตร์

 

พอทุกคนได้ฟัง…ไม่สิ พวกเขาทำเป็นไม่ได้ยินมากกว่า  

 

ผมไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้วจึงปล่อยเขาไว้ และหันไปพูดกับบรรพบุรุษคนอื่นแทน

 

“เมื่อกี้คุยกันถึงไหนนะครับ? ”

 

รุ่นที่สี่ขยับแว่น และพาพวกเรากลับเข้าเรื่อง

 

[จากเรื่องทำความสะอาดท่อ พวกเราก็ถูกนำไปสู่เรื่องที่ยิ่งใหญ่ แต่ข้าก็แปลกใจนะที่ตระกูลวอลท์มีสายเลือดของราชวงศ์ด้วย]

 

รุ่นที่สามมีความเห็นแบบเดียวกัน

 

[ถูกเผง แต่ข้าสงสัยว่าทำไมพลังเวทของไรเอลถึงน้อยจนอนาถากันล่ะ]

 

“นั่นเป็นเพราะพวกคุณไม่ใช่เรอะ!? ถึงผมจะเป็นคนพูดเอง แต่พลังเวทของข้าถือว่าสูงในหมู่คนที่อายุเท่ากันนะ! แต่อัญมณีก็ดูดมันไปหมดเลย…”

 

การสนทนาหยุดชะงักอีกครั้ง รุ่นที่ห้าถอนหายใจและกล่าวเสริมขึ้น

 

ทุกคน ดูเริ่มเบื่อกันแล้วด้วยสิ

 

[อย่าโอเวอร์เกินกับเรื่องล้างท่อสิ]

 

[รุ่นที่ห้า ต-แต่ว่า…]

 

อาจเพราะเป็นพ่อ รุ่นที่หกจึงดูอ่อนลงต่อหน้ารุ่นที่ห้า ราวกับความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นที่หนึ่งกับรุ่นที่สองเป็นของแปลกที่ถูกมองผ่าน

 

[ไม่ว่าเขาจะเป็นเชื้อสายราชวงศ์รึเปล่า แต่ตอนนี้ไรเอลคือนักผจญภันที่ถูกไล่ออกจากบ้าน

ถ้าที่ปรึกษาของเขาต้องการให้ล้างท่อ มันก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่? ข้าดีใจด้วยซ้ำที่เขาไม่ได้ถูกให้ขอไปก่อคดีอะไร]

 

รุ่นที่เจ็ดพยายามหักล้าง

 

[ถ-ถึงแบบนั้น ไรเอลก็มีจุดยืน…]

 

[ข้าก็บอกไปแล้วว่าตัวเขาปัจจุบันคือนักผจญภัยไง มันจะเป็นประสบการณ์ที่ดี และเป็นประโยชน์ต่อเขาโดยไม่มีผลเสียอะไรด้วยซ้ำ]

 

พอได้ยินแบบนั้น รุ่นที่หนึ่งก็พยักหน้า

 

มีเพียงรุ่นที่สองที่พยายามตามสถานการณ์ที่เปลี่ยงแปลงให้ทัน

 

[ข้าไม่เคยคิดเลยว่าลูกหลานของตัวเองจะสืบเชื้อสายราชวงศ์ และการที่คนเถื่อนแบบนี้จะมีราชวงศ์ในสายเลือดด้วย…]

 

[เจ้าว่าไงนะ? ]

 

คนเถื่อนที่ว่า กำลังจ้องมองรุ่นที่สองที่กำลังส่ายหัวอยู่

 

[ถ้างั้น การทำความสะอาดท่อระบายน้ำของไรเอลก็ตามเดิม]

 

‘ทำไมเรื่องการไปทำความสะอาดถึงยุ่งยากขนาดนี้นะ’

 

รุ่นที่หกและเจ็ดที่ไม่พอใจบ่นพึมพำ

 

[เจ้าคิดว่าพวกเราต้องผ่านปัญหามาแค่ไหนเพราะเรื่องสายเลือดนี่…]

 

[เซ็นนาค ข้าขอโทษนะ…]

 

คนอื่นดูไม่สนใจเรื่องล้างท่อเท่าไหร่ เพราะเรื่องที่พวกเขามีสายเลือดของราชวงศ์อยู่ในเชื้อสายตระกูลมันสำคัญกว่าล่ะนะ

.

.

.

วันต่อมา

 

ผมเริ่มทำความสะอาดระบบระบายน้ำของเมืองเดลลีนตั้งแต่เช้าตรู่

 

เอาตรงๆ มันสกปรก และมีขยะเกลื่อนไปทั่ว แม้แต่ก้อนอึ…

 

“ง-งานหยาบ…”

 

ผมใส่ผ้าปิดปาก และสวมชุดที่เหมาะกับการเก็บขยะ

 

“ท่านไรเอลเที่ยงแล้วค่ะ เปลี่ยนกับข้าเถอะ”

 

“…แค่ตวามรู้สึกก็พอแล้วล่ะ”

 

โนแวมบอกให้สลับตำแหน่งกันเพราะเป็นห่วง แต่ผมไม่มีทางปล่อยให้โนแวมมาทำอะไรแบบนี้ได้หรอก

 

และปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น…

 

[ดี นั่นแหละ นี่เหรอสายเลือดของราชวงศ์น่ะห๊า!? ขยับก้นทำงานหน่อยเว้ย! ]

 

รุ่นที่หนึ่งมีพลังเหลือล้น และเสียงดังจริงๆ

 

[ตระกูลวอลท์คือเครือราชวงศ์…ข้าคิดว่าการได้ขึ้นเป็นเคานต์ก็ถือว่าเกินคาดแล้วนะ…]

 

รุ่นที่สองเอาแต่เหม่อลอย และบ่นพึมพำ

 

[แล้วทำไมรุ่นที่เจ็ดถึงได้แต่งงานกับหญิงสาวอย่างเซ็นวาคได้ล่ะ? ข้าไม่เห็นว่ามันจำเป็นตรงไหน]

 

รุ่นที่สามอยากรู้ว่าสายเลือดราชวงศ์เข้าตระกูลมาได้ยังไง

 

[อา ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน การที่เจ้าแต่งงานกับเชื้ออดีตราชวงศ์ ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไร ในการเอื้อมไปหาสิ่งที่เกินตัวน่ะ]

 

รุ่นที่สี่ไม่เหลียวแลผม และสนใจเพียงแค่ว่าผมจะทำงานได้ดีพอจนทำให้โนแวมไม่ต้องลงมาสกปรกด้วยเท่านั้น

 

[สถานการณ์มันต่างจากยุคสมัยของพวกเจ้าน่ะ ยกเว้นเรื่องที่ใหญ่จริงๆ พวกเรามักจะถูกลากไปหาเรื่องยุ่งยากอย่างเลี่ยงไม่ได้]

 

รุ่นที่หกเห็นด้วยกับคำคมของรุ่นที่ห้า

 

[ในช่วงที่เวทีการเมืองกำลังร้อนระอุ ถ้าเราอยู่อย่างเงียบๆ และไม่แสดงพลังออกมา สุดท้ายก็จะมีเหตุผลที่กุขึ้นเพื่อทำลายพวกเราอยู่ดี]

 

ถ้าตามรุ่นที่หกกล่าว สมัยนั้นก็เป็นยุคที่น่าหนักใจจริงๆ  

 

[ถ้าตามเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขา…ไรเอลของเราก็อาจจะได้แต่งงานในฐานะราชวงศ์  

หรือไม่ก็พบกับบุตรีของราชาแล้วยกระดับพวกเราขึ้นเป็นตระกูลมาร์ควิสก็ได้นะ]

 

รุ่นที่เจ็ดคาดหวังให้ตัวผมเป็นแบบนั้น

 

และเดี๋ยว ท่านย่าเซ็นวาคคือคนที่ผ่านเกณฑ์เจ้าสาวของตระกูลวอลท์มาได้นี่นา

 

รุ่นที่เจ็ดคงมอบที่พักพิงให้เธอ จากเดิมที่ต้องถูกกำจัดในความขัดแย้งของตระกูลตัวเองไปแล้ว

 

ทำให้ผมรู้สึกว่าการที่ตระกูลวอลท์อยู่ปลายขอบอาณาจักร ก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่ง

 

‘ช่างเรื่องนั้น…แต่พวกท่านเงียบก่อนจะได้ไหม! ‘

 

ผมเริ่มหายใจหอบ

 

ไม่ใช่ปัญหาเรื่องแรงกาย แต่เป็นความเหนื่อยทางใจที่มากขึ้น

 

แน่นอน ว่าเป็นเพราะอัญมณีบ้านี่ที่เอาแต่ดูดพลังเวทของผม!

 

ที่ปรึกษา คุณเซลฟี่ดูท้อแท้นิดหน่อยเมื่อมองมาที่ผม

 

“เจ้าอ่อนแอกว่าที่ข้าคาดไว้ซะอีก ถ้าเป็นตามนี้ อีกนานเลยว่าเจ้าจะได้ออกไปล่ามอนสเตอร์น่ะ

งั้นก็รับแต่คำร้องพวกนี้เพื่อเป็นการฝึกไปละกัน”

 

“เอ๋ ไม่…ข้าอยากล่ามอนสเตอร์ให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้…”

 

ผมพยายามเปลี่ยนความคิดเธอ แต่โนแวมกลับเห็นด้วย

 

“ใช่แล้วค่ะ มันไม่ดีที่จะกดดันตัวเอง และเหนือสิ่งอื่นใดความปลอดภัยของท่านไรเอลต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก

งานพวกนี้ล้วนมีคุณค่าในตัวมันเองนะ แล้วข้าก็จะพยายามเช่นกันค่ะ”

 

เมื่อโนแวมบอกว่าจะมาช่วยด้วย อัญมณีก็สั่นไปมา

 

[หยุดเธอซะ! ต้องไม่ให้หนูโนแวมมาทำอะไรแบบนี้นะ! ]

 

[ไรเอล ไปเลย! เจ้าก็ห่วงหนูโนแวมใช่มั้ยล่ะ! ]

 

[สมกับเป็นลูกหลานของท่านพี่ เธอเป็นคนดี แต่ข้าก็ไม่ต้องการให้เธอมาทำงานแบบนี้เลย]

 

[โชว์กึ๋นออกมาหน่อย! เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ลูกผู้ชายต้องทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ต่อหน้าผู้หญิงนะ! ]

 

รุ่นที่ หนึ่ง สอง สาม สี่…

 

‘มันเป็นแบบนี้เพราะพวกคุณพูดมากนั่นแหละ….’

 

แต่ยังไม่จบ

 

[เจ้าต้องการให้เขาทำมากกว่านี้เร้อ!? นี่มันก็มากพอแล้ว! การให้เขาทำงานพวกนี้มันมีค่าอะไรกัน!? ]

 

[ใจเย็นๆ ก่อน แต่ข้าก็โอเคนะ แล้วเขาก็ยังปลอดภัยนี่]

 

รุ่นที่หก และห้าเข้าร่วม

 

[ทำไมกลายเป็นแบบนี้…ข้าว่าแล้ว ข้าน่าจะโบกไอลูกไร้ประโยชน์นั่น! แล้วก็พวกเจ้าทุกคนอย่าออกตัวมากสิ! มันทำให้ไรเอลแย่แล้วนะรู้มั้ย! ]

 

แม้แต่รุ่นที่เจ็ดก็เช่นกัน

 

ผมรู้สึกขอบคุณที่ท่านปู่โกรธเพื่อผมนะ แต่ผมก็

 

‘ได้โปรดเงียบทีเถอะ! ’

 

มันเป็นแค่งานล้างท่อ แต่เพราะเหล่าบรรพบุรุษ ระดับความยากเลยเพิ่มขึ้นเยอะ

 

 

—-

คุณเซลฟี่

 

ตอนนี้แปลนานมาก ศัพท์ช่วงออกทะเลอะไรไม่รู้เต็มไปหมด หวังว่าคนอ่านจะอ่านรู้เรื่องนะครับ555

 

 

 

 

 

 

 

Sevens

Sevens

อ่านนิยาย เรื่องSevens เดิมไรเอลเป็นลูกชายคนโตที่ต้องรับช่วงต่อของตระกูล แต่พอเขาอายุได้ 10 ปี พ่อแม่ก็เริ่มไม่สนใจเขา แล้วหันไปเห่อน้องสาวของเขาแทน จนวันนึงในตอนที่เขาอายุครบ 15 ปี น้องสาวของเขาก็ท้าประลองเพื่อชิงตำแหน่งผู้สืบทอด และเขาก็ได้พ่ายแพ้ หลังจากที่ฟื้นตัว เขาก็ได้รับสืบทอด พลังone for all- เอ้ย อัญมณีที่มีความทรงจำของบรรพบุรุษทั้ง 7 คน และเริ่มออกผจญภัยไปกับเพื่อนสมัยเด็ก

Comment

Options

not work with dark mode
Reset