Shrouding the Heavens อำพรางสวรรค์ – ตอนที่ 44 – เปิดทะเลแห่งความทุกข์

บททั้44 – เปิดทะเลแห่งความทุกข์

ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิง ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อสอนผังป๋อและเย่ฟานอย่างจริงจังและแนะนําพวกเขาให้ก้าวเท้าไปตามถนนเซียน

การฝึกของผังป๋อนั้นราบรื่นมาก เขารู้สึกว่ากงล้อแห่งชีวิตของเขาเองสามารถชี้นําการไหลของพลังปราณฟ้าดินได้แล้ว

สิ่งที่เขาต้องทําต่อไปคือการเปิดทะเลแห่งความทุกข์และเตรียมพร้อมสําหรับการปลดปล่อยต้นกําเนิดพลังศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต

เย่ฟานยังคงสัมผัสกงล้อแห่งชีวิตไม่ได้ไม่มีคลื่นใดๆอยู่เสมอ มีความเงียบเท่านั้นที่อยู่ตรงจุดใต้สะดือของเขา

แต่หลังจากฝึกฝนทุกวันเขารู้สึกสดชื่นสบายตัวและเต็มไปด้วยพละกําลัง ทุกวันนี้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาล และความเร็วของเขาดีขึ้นมาก

ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะมีพลังที่ไม่สามารถประเมินด้วยสามัญสํานึกธรรมดาได้

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและอีกสองเดือนก็ผ่านไปเช่นนี้ ผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงกําลังจะจากไป และเขาจะไม่สอนพวกเย่ฟานเป็นการส่วนตัวอีกแล้วจนกว่าพวกเขาจะมีสถานะสูงขึ้น

“เส้นทางเซียนนั้นยากและอันตราย ด้วยหัวใจที่แน่วแน่และความอุตสาหะเท่านั้นที่จะประสบความสําเร็จได้” นี่คือคํากล่าวของชายชราก่อนที่เขาจะจากไป

เย่ฟานและผังป๋อให้ความเคารพอย่างลึกซึ้งต่อแผ่นหลังของผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิง นี่ไม่ใช่มารยาทแต่เป็นความเคารพจากใจจริง

หน้าเขาเตี้ยมีกระท่อมสามหรือห้าหลัง ป่าไผ่สองสามแห่ง ทุกที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบและเป็นธรรมชาติ ในทุกๆวันพวกเขาจะได้รับชาหยาบและอาหารเพียงเล็กน้อย

เย่ฟานและผังป๋อค่อยๆปรับตัวเข้ากับชีวิตแบบนี้

พรุ่งนี้พวกเขาจะไปที่หน้าผาหลิงซูเพื่อเริ่มฝึกฝนกับศิษย์คนอื่น เย่ฟานเริ่มลังเลเขาไม่ได้เข้าร่วมสํานักหลิงซู่ตงเทียนอย่างเป็นทางการ

แม้ว่าการศึกษาร่วมกับผังป๋อจะไม่เป็นอะไรมาก แต่การร่วมศึกษากับคนอื่นโดยที่ไม่ได้เป็นศิษย์ของสํานักไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูไม่ดี

อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงได้ให้ป้ายหยกแก่เขา แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ศิษย์ของสํานักแต่เขาก็สามารถเข้าร่วมฝึกฝนกับศิษย์คนอื่นได้

ค่ำคืนวันนั้นมีดวงจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้า แสงจันทร์อันเจิดจ้าที่ตกลงมาก็นุ่มนวลราวกับคลื่นน้ำ ป่าไม้ ใกล้ภูเขาเตี้ยๆก็พร่ามัวเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยผ้าสีทองเบาบาง

เย่ฟานและผังป๋อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว พวกเขาไม่ได้คุยกันมากนักเพียงแต่พยายามจับจ้องมองหาดวงดาวที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ตลอดชีวิต

“ข้าดูปฏิทินจากท้องฟ้าไม่เป็น เจ้าดูออกหรือไม่?

“หวังว่าทุกคนที่เรารู้จักในโลกเดิมจะยังคงมีความสุขดีแม้ว่าจะไม่มีพวกเราก็ตาม”

ผังป๋อนอนอยู่บนกอหญ้าแล้วถือถ้วยน้ำชาไว้ในมือ เขามีใบหน้าเศร้าสลดพร้อมกับกล่าวว่า

“เราคงไม่มีวันได้กลับไปอีกแล้ว…”

หลังจากนั้นทั้งสองก็เงียบไปนานพวกเขาเพียงนอนอยู่เงียบๆ แล้วจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวด้วยความรู้สึกโหยหา

หลังจากนั้นเยฟาก็เอ่ยขึ้นว่า

“เราต้องมีชีวิตที่ดี ….”

เย่ฟานและผังป๋อเป็นคนมองโลกในแง่ดี การสูญเสียในช่วงการเดินทางและความรู้สึกปวดร้าวในจิตใจพวกเขาถูกสลัดออกไปอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าจะได้รับการฝึกฝนเพียงสองเดือน แต่ก็เป็น ” ชีวิตใหม่” สําหรับทั้งสอง นี่เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ถนนเซียนมีหมอกและคาดเดาไม่ได้

เนื่องด้วยถนนสายนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกเขาจึงทําได้เพียงเดินหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่นเท่านั้น

หลิงซู่ตงเทียนเป็นหนึ่งในสํานักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตงเทียนทั้งหกในเอี๋ยนตี้

แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับตงเทียนอีกห้าแห่ง แต่ก็มีผู้ฝึกฝนเกือบพันคนในสํานักแห่งนี้และมีสาวกรุ่นเยาว์หลายร้อยคน

แสงรุ่งอรุณรุ่งอรุณส่องประกายเป็นสีทองบนผา หน้าผาหลิงซู่เป็นหน้าผาที่ประกอบด้วยหน้าผาหินต่ำหลายสิบแห่งซึ่งไม่ได้เชื่อมต่อกันและมีระยะห่างระหว่างกัน

หน้าผาแต่ละแห่งสูงเพียงเจ็ดสิบหรือแปดสิบวาเท่านั้น

ในตอนเช้าสาวกหนุ่มสาวจํานวนมากมารวมตัวกันที่นี่ เนื่องจากระดับการฝึกฝนของพวกเขาสูงต่ำแตกต่างกันดังนั้นพวกเขาจึงเดินไปที่หน้าผาซึ่งเหมาะสมกับระดับบ่มเพาะของตัวเอง

เย่ฟานและผังป๋อก็มาถึงเร็วเช่นกัน วันนี้เป็นวันแรกดังนั้นจึงมีเพียงทางเลือกเดียว และพวกเขาก็ตรงไปยังหน้าผาหินสุดท้าย

มีผู้คนมารวมตัวกันที่นี่เป็นจํานวนมาก ทั้งชายและหญิง ประมาณสี่สิบห้าสิบคน คนที่อายุน้อยที่สุดมีอายุเพียงเจ็ดหรือแปดขวบเท่านั้น ใบหน้าของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา

คนที่มีอายุมากที่สุดอยู่ในวัยสามสิบและมีใบหน้าที่กร้านโลกพอสมควร

แปรง!

แสงสว่างวาบ รุ้งสวรรค์พุ่งออกมาจากอากาศ ตกลงบนหน้าผาหิน แสงรวมตัวกันเป็นผู้อาวุโสที่มีผมสีขาวนั่งอยู่บนจานสีทองขนาดใหญ่

เขาเหลือบมองลงมาที่ผังป๋อและเย่ฟานเล็กน้อย หลังจากหยุดชั่วครู่เขาก็เริ่มบรรยายหลักธรรม

ในเวลาเดียวกันรุ่งอื่นๆก็ตกลงบนหน้าผาเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้อาวุโสของหลิงซู่ตงเทียน มีระยะห่างระหว่างหน้าผาแต่ละแห่งและเสียงของพวกเขาไม่ส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน

ผู้คนมากมายด้านล่างไม่มีความรู้สึกแปลกใหม่ มีผู้คนน้อยมากที่เพิ่งเข้ามาเป็นสาวกของหลิงซู่ตงเทียน

ผู้อาวุโสบนกําแพงหน้าผาเป็นที่รู้จักกันดี เสียงของเขาสงบและไม่มีความรู้สึก ทุกคนต่างก็ใส่ใจในการเรียนเป็นอย่างมาก ก้าวแรกของเส้นทางเซียนคือสิ่งที่สําคัญที่สุด

ผ่านไปครึ่งชั่วยามการบรรยายธรรมก็จบลง ผู้อาวุโสบนหน้าผามองลงมาอย่างไร้อารมณ์และพูดว่า

” หากเจ้ามีคําถามใดๆเจ้าสามารถถามได้ ถ้าไม่มีปัญหาการบรรยายก็จะจบลงเพียงเท่านี้”

เด็กหนุ่มสาวหลายคนรีบไปข้างหน้าและถามคําถามที่ละคน และผู้อาวุโสที่อยู่ริมหน้าผาก็ตอบทีละคน จากนั้นเมื่อไม่มีใครถามคําถามเพิ่มเติมผู้อาวุโสคนนั้นก็ขับไล่ทุกคนออกไป

ในการฟังบรรยายธรรมครั้งแรกมันธรรมดาและไม่มีสิ่งแปลกใหม่ นี่คือความรู้สึกของเย่ฟานและผังป๋อ พวกเขารู้สึกไร้รสชาติเล็กน้อย

ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาภายใต้การอบรมของผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิง รากฐานของพวกเขาแข็งแกร่งมาก และประเด็นต่างๆที่ต้องให้ความสนใจก็ชัดเจนอยู่แล้ว

” บทเริ่มต้นของเต๋าจิงเพียงพอที่จะสนับสนุนให้เราฝึกฝนในช่วงสองปีนับจากนี้ วิธีการลึกลับเล็กๆน้อยๆเหล่านี้น่าเบื่อมากและผู้อาวุโสอู่ชิงเฟิงก็บรรยายให้พวกเราฟังหมดแล้ว”

“อย่าได้เย่อหยิ่งเกินไป อย่างที่ผู้อาวุโสบอกรากฐานต้องแข็งแกร่ง ในเมื่อเขาเน้นแบบนี้และยังให้พวกเรามาที่นี่นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่ามันมีความสําคัญอย่างยิ่ง”

ครึ่งเดือนถัดมาแม้จะรู้สึกเบื่อแต่พวกเขาก็ยืนกรานในการมาศึกษาเรื่องนี้ทุกวัน และในที่สุดพวกเขาก็พบประโยชน์บางอย่าง

ผู้อาวุโสบนหน้าผาได้เล่าถึงประสบการณ์การฝึกฝนในอดีตของเขาเป็นครั้งคราว นี่เป็นเรื่องที่สําคัญมากสําหรับผู้เริ่มต้นกระบวนการบ่มเพาะ

ในเช้าของวันนั้นผู้อาวุโสบนหน้าผาก็เปิดฝ่ามือออก และทันใดนั้นแสงสว่างหลายสิบดวงก็ถูกยิงตกไปอยู่ในมือของเย่ฟานและผังป๋อ

ขวดหยกเล็กๆในมือพวกเขานั้นเรียบและสะอาดมาก แต่น่าเสียดายที่มันมีกลิ่นฉุนเฉียวรุนแรงไปหน่อย

“นี่คือยาที่จะช่วยให้เจ้าทําลายทะเลแห่งความทุกข์

คําพูดของผู้อาวุโสยังคงกระชับมาก และเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

ทะเลแห่งความทุกข์สอดคล้องกับกงล้อแห่งชีวิต หากพวกเขาต้องการปลดปล่อยมวลสารที่มีอยู่ในกงล้อแห่งชีวิต พวกเขาจะต้องเปิดทะเลแห่งความทุกข์ก่อน

ยาในขวดหยกใบเล็กมีค่ามากโดยจะแจกจ่ายให้ทุกๆสามเดือน และแต่ละคนสามารถรับได้เพียงสี่ขวดต่อปีเท่านั้น

ทะเลแห่งความทุกข์ของผังป๋อค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาจากขนาดเท่าก้อนหินเล็กๆจนมันใหญ่ขึ้นมีขนาดประมาณหัวแม่มือแล้ว

เย่ฟานก็ดื่มยาเหลวขวดเล็กๆเช่นกัน แต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ทะเลแห่งความทุกข์ของเขานั้นแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และไม่สามารถเปิดออก

อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่วันนั้นความแข็งแกร่งและความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ความเข้มข้นของพลังที่อยู่ในโลหิตของเขานั้นถูกผู้อาวุโสบนหน้าผาประเมินว่าทัดเทียมกับผู้อาวุโสในสํานักแล้ว

“ข้าจะฝึกฝนอย่างช้าๆอย่างนี้ แม้ว่าตอนนี้ข้าจะยังบ่มเพาะทะเลแห่งความทุกข์และสื่อสารกับกงล้อแห่งชีวิตไม่ได้ แต่ตอนนี้ร่างกายของข้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และนี่ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย”

“ข้าคิดว่าเจ้าเก่งกว่าข้ามาก แม้ว่าข้าจะฝึกฝนมาอย่างยาวนาน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมากเหมือนเจ้า”

ในวันที่สองผังป๋ออดไม่ได้จึงถามผู้อาวุโสที่อยู่บนหน้าผาว่า

” ข้าอยากจะถามผู้อาวุโสว่าเราจะฝึกแบบนี้จนถึงเมื่อไหร่เราถึงจะสามารถควบคุมลมปราณได้”

ผู้อาวุโสบนหน้าผาเหลือบมองเขาแล้วกล่าวว่า

“อาหารต้องกินที่ละคําในขณะที่ถนนต้องเดินที่ละก้าว ถ้าเจ้าไม่อยากเดินแต่อยากวิ่งเจ้าก็ทําได้เพียงต่อสู้เท่านั้น”

แม้ว่าผู้อาวุโสที่อยู่บนหน้าผาจะรู้สึกไม่พอใจกับคําถามของเขา แต่ผู้อาวุโสคนนั้นก็ยังให้คําตอบอย่างตรงไปตรงมา

“เมื่อทะเลแห่งความทุกข์มีขนาดใหญ่เพียงพอก็จะเป็นขั้นตอนต่อไปของการบ่มเพาะ นั่นคือการเปิดช่องทะเลแห่งความทุกข์ที่นําไปสู่กงล้อชีวิตจากกันทะเลโดยตรง

นั่นคือสิ่งที่จําเป็นในการปลดปล่อยต้นกําเนิดของพลังศักดิ์สิทธิ์ในกงล้อแห่งชีวิต เมื่อเจ้าทําสิ่งนี้สําเร็จนั่นคือคําตอบของสิ่งที่เจ้าถามเมื่อครู่ “

Comment

Options

not work with dark mode
Reset