Special District 9 เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 137

ตอนที่ 137 เจรจา

กลางดึก ณ ห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่งในเฟิงเป่ย

จางเทียนนั่งขัดสมาธิบนเสื้อทาทามิพลางเตรียมกาน้ำชา เขาอดทนรอคอยแขกที่ใกล้มาถึงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง สิงจื่อหลิน ลูกชายคนที่สองของตระกูลสิงผู้สวมสูทสีดําจึงเลื่อนประตูเปิดและก้าวเข้าไปด้านใน

“สวัสดีครับนายน้อยรอง!” จางเทียนลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวต้อนรับด้วยรอยยิ้มกว้าง

สิงจื่อหลินถอดถุงมือที่สวมอยู่ออกและจับมือทักทายอีกฝ่ายพอเป็นพิธี “หลายชั่วโมงก่อนแขกทยอยเดินทางมาที่บ้านผมหลายคน ทําให้หาเรื่องปลีกตัวออกมาลําบากน่ะครับ”

จางเทียนเหลือบมองผ้าสีดําที่พันรอบแขนขวาของคู่สนทนาก่อนผ่อนลมหายใจ “ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ นายน้อยรอง”

*งานศพของจีนนิยมใช้ผ้าหรือริบบิ้นสีดําพันหรือปักไว้ที่แขนแสดงการไว้ทุกข์แก่ญาติพี่น้อง

“นั่งก่อนครับ” สิงจื่อหลินถอดเสื้อคลุมออกก่อนผายมือไปยังที่นั่งโดยไม่พูดถึงเรื่องการตายของพี่ชาย

จางเทียนทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามแขกของเขาและเป็นฝ่ายรินน้ำชาให้ “ทานของว่างไหมครับ?”

“ขอผ่านก่อนแล้วกันครับ อีกเดี๋ยวผมต้องกลับไปทานอาหารร่วมกับญาติผู้ใหญ่” สิงจื่อหลินมองหน้าอีกฝ่ายเงียบๆ โดยไม่คิดเริ่มการสนทนา

จางเทียนค่อยๆ ดันถ้วยน้ำชาไปทางสิงจื่อหลินแล้วจึงเป็นฝ่ายพูดก่อน “นายน้อยรอง ถ้าคุณมีธุระที่ต้องจัดการต่อจากนี้งั้นผมขออนุญาตไม่อ้อมค้อมนะครับ ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ทางบริษัทหลงสิงมีแนวคิดยังไงกับการเป็นพันธมิตรกับเรา?”

สิงจื่อหลินยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบอย่างสงวนท่าที “ถึงบริษัทของตระกูลหยวนจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ดีเท่าที่ควร แต่เรายังทุ่มงบประมาณและใช้ความพยายามมากเพื่อสนับสนุนพวกเขา อีกอย่างการตายของพี่ชายผม และประธานหยวนทําให้เราไม่สนใจแค่ผลกําไรแต่มุ่งเป้าไปที่การแก้แค้นด้วย พูดให้ชัดเจนก็คือต่อให้หยวนเค่อจะขึ้นเป็นประธานบริษัทและไม่ได้รับการสนับสนุน เราก็มั่นใจได้ว่ายังไงเขาก็ไม่มีทางปล่อยพวกศัตรูลอยนวลเด็ดขาด นี่คือคุณสมบัติที่คุณขาด”

จางเทียนนิ่งไป

“ถามตรงๆ นะ จุดประสงค์ของคุณคือเงินใช่ไหม?”

“เปล่า!” จางเทียนหัวเราะขณะสบตาอีกฝ่าย “ผมบังเอิญได้รับข่าวที่เชื่อถือได้ก่อนมาที่นี่”

สิงจื่อหลินนิ่งเงียบอย่างรอคอย

“ พอหยงตงเปลี่ยนฝาย เขาได้ให้การเกี่ยวกับรายละเอียดของเหตุการณ์ยาปลอมกับสํานักงานตํารวจพื้นทมิฬ” จางเทียนอธิบาย “ผู้การหลออกคําสั่งจับกุมลูกน้องหลายคนที่มีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์นี้ และพวกเขาก็รับสารภาพซะด้วย ผมคิดว่าคดีนี้คงปิดแฟ้มไปแล้วตอนที่กําลังเดินทางมาเฟิงเป่ย”

สิงจื่อหลินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเรื่องที่จางเทียนเล่า

จางเทียนคอยจับสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายขณะพูดเสริม “ขั้นตอนเหลือแค่รอให้สํานักงานตํารวจเปิดเผยรายละเอียดของคดี ถึงตอนนั้นบริษัทของตระกูลหยวนคงล้มละลายจนไม่เป็นที่ต้องการของตลาดอีกต่อไป การลดตัวลงมาต่อสู้ และจงใจทําให้ผู้ป่วยสองคนเสียชีวิตจะกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่”

สิงจื่อหลินนิ่งคิดไปพักใหญ่

“ยังมีอะไรที่น่ากลัวกว่านั้นอีก” จางเทียนยิ้มพลางเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ “ถ้าผมเป็นศัตรู สิ่งต่อไปที่จะทําคือดึงความขัดแย้งมาที่เฟิงเป่ย เพราะอย่าลืมว่าเสี่ยวฉู่ที่เป็นบุคคลสําคัญในคดีตายในมณฑลนี้ เฒ่าหม่าและตํารวจในสังกัดสํานักงานรัฐพื้นทมิฬพบเจออุปสรรคใหญ่เมื่อไล่ตามเขามาที่นี้ คนพวกนั้นยิงปะทะกันเกือบตาย”

“ศัตรูไม่สนใจหลักฐานที่เป็นรูปธรรมว่าบริษัทหลงสิงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรอกครับ พวกมันแค่อยากเปิดเผยข้อมูลที่มีอยู่ในมือ บริษัทหลงสิงต้องถูกดึงมาเกี่ยวแน่ๆ เพราะถึงยังไงคุณก็เป็นผู้สนับสนุนหลักที่คอยหนุนหลังบริษัทของตระกูลหยวน ต่อให้บริษัทคุณตั้งอยู่ในเฟิงเป่ยและตัวคุณไม่ได้ทําอะไรผิดแต่ผู้คนก็คิดโยงปะติดปะต่อกันไปแล้ว”

“คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าบริษัทหลงสิงของเรามีอํานาจพอที่จะแก้ไขปัญหานี้?” สิงจื่อหลินถาม

จางเทียนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตั้งคําถามกลับ “ถ้างั้นการที่ผู้บังคับบัญชาตัวเล็กๆ ของสํานักงานตํารวจเลือกเข้าไปพัวพันเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ คุณคิดว่าเขาเบื่องานประจําหรืออยากถูกศาลตัดสินประหารชีวิตกันล่ะ?”

สิงจื่อหลินยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบอีกครั้ง

“แค่นี้ก็ชัดแล้วว่าผู้การหลี่มีผู้สนับสนุน” จางเทียนพูดต่อ “ที่จริงถ้าบริษัทหลงสิงแก้ไขปัญหาเองได้ก็เป็นเรื่องดีนะครับ แต่ถ้าทําแบบนั้นคุณจะยิ่งถูกมองว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดที่อยู่เบื้องหลังการโก่งราคายาอันตราย และกลายเป็นฆาตกรที่ทําให้ผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต”

สิงจื่อหลินโบกมือ “ยังไงต่อ?”

“แต่ถ้าคุณเลือกย้ายมาเป็นหุ้นส่วนกับผม คุณจะรอดพ้นจากคําครหาพวกนั้น” จางเทียนพูดเสียงหนักแน่น “ผมเป็นคนหนึ่งที่มีบทบาทสําคัญในบริษัทของตระกูลหยวนหัว ลูกน้องหลายคนต่างไม่พอใจที่หยวนหัวไว้ใจหยงตงจนเกิดเรื่องดังกล่าว และพวกเขาคิดว่าหยวนเค่อด้อยประสบการณ์เกินกว่าจะขึ้นเป็นหัวเรือใหญ่ สิ่งที่ผมทําได้คือวางเหยื่อล่อไว้และพาสมาชิกคนอื่นๆ แยกตัวออกมา”

“ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนเส้นทางค้ายาในซ่งเจียงจะกลับมาเป็นปกติ ส่วนการแก้แค้นของอีกฝ่ายจะมุ่งเป้าไปที่ตระกูลหยวนเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับผม บอกตามตรงว่าผมเองก็ผิดหวังกับการกระทําของบริษัทในเรื่องยาปลอมไม่น้อย และถอนการลงทุนออกมาเรียบร้อยแล้ว”

สิงจื่อหลินหรี่ตามองอีกฝ่ายพลางหัวเราะเบาๆ “คุณจางแน่ใจเหรอว่าตัวเองไม่ใช่คนที่เอาอารมณ์มาปะปนกับเรื่องงาน? สิ่งที่คุณทําอยู่ในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับ การใช้กริชแทงหัวใจของบริษัทตระกูลหยวนที่อ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยนะ”

“ระหว่างผมและเฒ่าหยวนนอกจากจะมีผลประโยชน์ร่วมกันแล้วยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันที่ต้องรักษา แต่ตอนนี้เขาจากไปแล้ว ผมไม่มีเหตุผลอะไรที่จะภักดีกับหยวนเค่อ” จางเทียนพูดอย่างตรงไปตรงมา “ผมไม่ใช่เด็กงอมืองอเท้าสักวันก็ต้องหาทางออกให้ตัวเองและลูกน้องที่อยู่ภายใต้การดูแลของผม ต่อให้บริษัทของตระกูลหยวนล้มละลาย แต่ทรัพย์สินของเฒ่าหยวนที่สะสมมาหลายปีก็เหลือเฟือพอที่จะเลี้ยงครอบครัวของเขาไม่ให้อดอยากไปทั้งชีวิต ผมไม่เห็นว่าการตัดสินใจของผมจะเป็นปัญหาตรงไหน”

“แล้วคุณมั่นใจได้ยังไงว่าถ้าบริษัทหลงสิงทํางานร่วมกับคุณ ฝั่งนั้นจะล้มเลิกนําความวุ่นวายมาที่เฟิงเป้ย?” สิงจื่อหลินถามเจาะลึกในประเด็นหลัก

จางเทียนเรียบเรียงคําพูดอยู่พักหนึ่งก่อนตอบ “ผมแนะนําให้คุณหลีกเลี่ยงการกดดันพวกเขาจนเกินไป โดยเฉพาะนายน้อยสาม ตราบใดที่คุณยินดีให้ทางออกแก่พวกเขาก็ปล่อยให้การเจรจาเป็นหน้าที่ผมแทน…”

สิงจื่อหลินเงียบไป

“อีกอย่าง ถึงผมไม่มีความขุ่นเคืองใดๆ กับพวกเขา แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับผลกําไรของเรา” จางเทียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “แต่วันไหนก็ตามที่พวกเขากล้าแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดในฮ่งเจียงและกินกําไรในส่วนของเรา ผมจะจัดการกับพวกเขาโดยไม่ลังเล”

จางเทียนหมุนถ้วยน้ำชาเปล่าในมือ หลังคิดเรื่องต่างๆ อย่างรอบคอบแล้วจึงตอบกลับ “คุณอยู่ในเฟิงเป่ยต่ออีกสักวันเถอะ คืนนี้ผมจะหาเวลาปรึกษากับคุณพ่อเกี่ยวกับเรื่องที่เราคุยกัน”

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

จางเทียนเดินออกจากโรงแรมและก้าวขึ้นรถคันหนึ่ง

“เป็นไงบ้าง?” น้องชายภรรยาของจางเทียนที่นั่งบนเบาะฝั่งผู้โดยสารถามเขาอย่างกังวลใจ

“เป็นไปตามคาด” จางเทียนตอบพลางหยิบกล่องบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า “ก็ผ่านไปด้วยดีแหละนะ”

“แสดงว่าเจรจาสําเร็จ! ฮ่าๆๆ” อีกฝ่ายหัวเราะอย่างมีความสุข “พี่เขย งั้นพวกเราหาสถานที่ไปฉลองเรื่องดีๆ แบบนี้กันดีกว่า ผมได้ยินมาว่าในเฟิงเป่ยมีสาวญี่ปุ่นสวยๆ เยอะเลยล่ะ เราลองหาดูบ้างดีไหม?”

จางเทียนมองหน้าน้องชายภรรยาอย่างประหลาดใจในคําชวนอย่างกะทันหันนั้น

“แหม! ที่มานี่ก็ผู้ชายทั้งนั้น ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเราต้องการอะไร?” น้องชายภรรยาของจางเทียนหัวเราะ “พี่ไม่ต้องกังวล ผมไม่บอกพี่สาวเรื่องนี้หรอก”

จางเทียนสูดควันบุหรี่อย่างไม่ใส่ใจก่อนตอบกลับ “กลับที่พักของเรากันเถอะ”

ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ทางซ้ายของเบาะหลังถามด้วยรอยยิ้ม “นายยังกังวลอยู่เหรอ?”

“อืม ฉันว่าอย่างน้อยเราควรหาเส้นสายในบริษัทหลงสิงไว้สักคนเพื่อรายงานความเป็นไปของประธานสิง” จางเทียนตอบพลางพยักหน้า

“ความคิดดีนี่” ชายวัยกลางคนเห็นด้วย

จากนั้นคนขับจึงกลับรถและขับออกไป

ขณะเดียวกัน ณ สี่แยกที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในรถหยิบโทรศัพท์ขึ้นพร้อมกรอกเสียงลงไป “ใช่ครับ พวกเขาเพิ่งเสร็จจากการพบปะและออกจากโรงแรมไปแล้ว”

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนออกคําสั่งเสียงแหบแห้ง “จัดการเลย!”

“แกร๊ก!”

เสียงชักปืนในรถยนต์ดังขึ้น

Special District 9 เขตพิเศษที่ 9

Special District 9 เขตพิเศษที่ 9

บทนำ โลกกำลังเกิดหายนะ…ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างมนุษยชาติ…สัตว์กลายพันธุ์…ผู้คนขาดแคลนอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย… ‘ฉินอวี่’ ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนไร้กฎ ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสังเวช…ทั้งถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้ รวมไปถึงบ้านเก่าทรุดโทรมและกลิ่นปฏิกูลคละคลุ้ง ฉินอวี่จึงลาออกจากงานและตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อซื้อสัญชาติเข้าไปอยู่ในเขตปกครองพิเศษที่เก้า…หวังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม! ภายในเขตพิเศษที่เก้า…ฉินอวี่เข้าสมัครงานในสำนักงานตำรวจนครบาลเมืองพื้นทมิฬเพื่อดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่…เขาได้เจอเพื่อนร่วมงานผู้หวังดีที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้… ระหว่างทำงานในสำนักงานตำรวจ…ฉินอวี่ได้เผชิญการกดขี่มากมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไหวพริบเฉียบแหลมและแผนการอันชาญฉลาด เขาจะสร้างตำนานบทใหม่ของตนเองได้อย่างไร…โปรดติดตามต่อใน…เขตพิเศษที่เก้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset