Special District 9 เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 146

ตอนที่ 146 รองผู้กํากับเหวิน

ภายในสํานักงานตํารวจ

ฉินอวี่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการรับเด็กมาเลี้ยงจะไม่ได้หยุดเพียงแค่ให้ที่พักและอาหาร แต่เขายังต้องต่อสู้คดีอาญาเพื่อเขาด้วย! และสิ่งหนึ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือผู้รับผิดชอบคดีนี้เป็นหมวดหลินเปาเฉิน!

ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรงเท่าไหร่ เพราะท้ายที่สุดพวกเขาจะสามารถผ่านคดีนี้ไปได้เหมือนกับหลายเคส ในซึ่งเจียงที่ใช้สองวิธีนี้ หนึ่งก็คือสอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมและสองก็คือได้รับการยกเว้นหากมีเส้นสายหรือมีคนรู้จักอยู่ภายใน

และในความโชคร้ายที่เกิดขึ้นก็ยังมีความโชคดีอยู่ เจ้ฮัวนั้นถือได้ว่ามีความหลักแหลมเป็นพิเศษ เพราะทันทีที่ถูกจับได้ เธอก็บอกพวกตํารวจว่าเจ้าเขี้ยวคนนี้เป็นน้องชายของเจ้าหน้าที่ฉินอวี่ โดยเธอหวังจะยืมชื่อฉินอวี่มาช่วยจัดการคดีนี้ แต่ว่าเรื่องไม่ง่ายดายขนาดนั้นเพราะนายตํารวจที่เธอกําลังเจรจาอยู่ตรงหน้านั้นไม่เหมือนกับคนอื่นๆ แต่เป็นหมวดหลิวเปาเฉิน

เมื่อหลิวเป่าเฉินพบว่าสองคนที่ถูกจับมีความเกี่ยวข้องกัน ฉินอวี่เขาจึงรีบโยนทั้งสองเข้าไปในห้องสอบสวนทันทีโดยไม่ลังเล

บริเวณชั้นหนึ่งของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ

จู้เหว่ยมองฉินอวี่ด้วยสายตาแปลกประหลาดพร้อมถามอีกฝ่ายวกวนไปมา “คุณมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับยัยเจ๊นี่จริงๆ เหรอ?”

“ความสัมพันธ์แบบนั้น? หมายความว่ายังไง?”

“หัวหน้าเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจนะ”

“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว แหกตาดูสิว่าเธออายุเท่าไหร่ คิดจริงๆเหรอว่าฉันจะมีรสนิยมไปชอบคนแก่แบบนั้น?” ฉินอวี่ตอบด้วยความหงุดหงิด “เธอเป็นแค่เพื่อนบ้านที่เปิดร้านขายของอยู่ข้างๆ เข้าใจไหม?”

“ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้วทําไมเธอถึงพูดชื่อหัวหน้าขึ้นมาล่ะ?” จู้เหว่ยพูดตะกุกตะกัก “แต่ความจริงมันก็คงไม่มีอะไรมากหรอก ผมส่งต่อคดีนี้ให้พี่อีกคนรับผิดชอบแล้วจ่ายค่าชดเชยเล็กน้อยเรื่องก็จบ แต่พอเธอพูดเกี่ยวกับหัวหน้าขึ้นมา หลิวเปาเฉินก็ขยันขึ้นมาซะอย่างนั้น ถึงขนาดเลิกงาน แล้วยังกลับไปตรวจคดีต่อ”

“ยัยเจ๊นี่คงไม่รู้ว่าเบื้องลึกในสํานักงานตํารวจนั้นเป็นยังไง เลยอ้างชื่อฉันเพื่อหวังพ้นคดี” ฉินอวีพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “แต่ที่ไหนได้ ยิ่งทําให้เรื่องยุ่งยากขึ้นไปอีก!”

“ใช่” จู้เหว่ยพยักหน้าพร้อมถอนหายใจ “เหมือนหลิวเปาเฉินกําลังหาทางเล่นงานเรา และยัยเจ๊นี่ก็อาจเป็นเครื่องมือชั้นดีสําหรับหมอนั้น”

ฉินอวี่หยิบบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นสูบพร้อมพ่นควันออกมาก่อนจะถามว่า “พวกเขาอยู่ไหน?”

“คงไม่ใช่ห้องสอบสวนหรอก” จู้เหว่ยตอบ “ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ พวกเรายังพอจัดการคดีได้ง่ายและให้อะไรตอบแทนพวกเขาเพื่อปิดปากซะ แต่นี่เป็นหลิวเปาเฉิน ผมคิดว่าคงยากที่จะได้เจอกับเด็กของหัวหน้า”

“เฮ้อ!” ฉินอวี่ส่ายหัวพร้อมกระซิบถาม “หรือฉันจะขอให้เฒ่าเหวินช่วยเราจัดการเรื่องนี้ดี?”

“รองผู้กํากับเหวินเพิ่งมาทํางานได้ไม่นาน อีกอย่างดูก็รู้ว่าเขาถูกส่งมาที่นี่เพื่อจับตาดูผู้กํากับหลี่ คิดว่าเขาจะเข้าข้างเราเหรอ?” รู้เหว่ยตอบกลับ “จากสิ่งที่ผมได้ยินมา ดูเหมือนหยวนหัวจะเป็นคนดึงเขาไปอยู่กองบัญชาการตํารวจ หมายความว่าเขาเป็นพวกเดียวกับตระกูลหยวน”

ฉินอวี่ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนพูดพลางขมวดคิ้ว “แต่ในฐานะรองผู้กํากับการ ต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ไม่ควรมองข้ามไม่ใช้รึไง? ขึ้นทําแบบนั้นก็ไม่ต่างจากเด็กเอาแต่ใจที่เลือกที่รักมักที่ชัง”

“ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง…” จี้เหว่ยส่ายหัว “แต่ถ้าไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ก็คงต้องเป็นเขา”

“หรือนายมีตัวเลือกอื่นไหมล่ะ? ถ้าไม่มีฉันจะได้ไปคุยกับเขาเลย”

“ลองคุยกับเฒ่าหลีแทนไหม?” จู้เหว่ยเสนอทางเลือก

ฉินอวี่ปฏิเสธความคิดนี้ทันที “ไม่ได้ ล้มเลิกความคิดนั้นเถอะ! เราไม่ใช่เด็กอมมือที่ดูแลตัวเองไม่ได้ ลองนึกดูว่ามันจะดูไร้มารยาทขนาดไหนถ้าต้องพึ่งพาเฒ่าหลี่ในเรื่องเล็กน้อยแบบนี้”

“เฮ้อ…งั้นก็ตามนั้นแหละ”

“โธ่เว้ย! ทํายังไงดีวะ!” ฉินอวี่สบถด้วยความโมโห “ฉันเพิ่งกลับมาแค่วันเดียว ไอ้สารเลวนั้นก็สร้างปัญหาให้ซะแล้ว แถมตอนนี้ยังต้องไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ฉันไม่อยากจะเจอหน้าอีก”

“ยังไงเขาก็เป็นเด็กของหัวหน้านะ ทํายังไงได้ล่ะ?”

“ยุ่งยากชะมัด!” ฉินอวี่บ่นก่อนรีบสับเท้าขึ้นไปด้านบน

เหวินหยงกังที่เพิ่งถูกย้ายกลับมานั่งเคลียร์งานเอกสารจนถึงดึกดื่น

ฉินอวี่เหลือบมองเข้าไปก็เห็นว่าไฟในห้องทํางานของเหวินหย่งกังยังเปิดอยู่ เขาลังเลอยู่นานก่อนจะเดินไปเคาะประตูในที่สุด

สักพักเสียงจากข้างในจึงดังขึ้น “เข้ามา”

ฉินอวี่สูดลมหายใจลึกก่อนเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า “ไม่ทราบว่ารองผู้กํากับเหวินยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ?”

“ฉินอวี่เหรอ?” เหวินหยงกังจัดทรงผมให้ปัดไปด้านข้าง เขาพยักหน้าให้ชายหนุ่มเป็นเชิงอนุญาต “เข้ามาก่อนสิ”

“ดึกขนาดนี้ก็ยังทํางานอยู่ เป็นแบบอย่างที่น่าน่ายกย่องจริงๆ” ฉินอวี่กล่าวคําที่แสนกระดากปากออกมา แม้แต่ตัวเขาที่ฟังเองยังขนหัวลุก

เหวินหยงกังจิบน้ําเรียกสมาธิก่อนถามด้วยรอยยิ้ม “ฉันได้ยินมาว่านายยังอยู่ในระหว่างการลาพักผ่อน มีธุระอะไรหรือเปล่าถึงมาที่นี้ในช่วงดึกดื่นแบบนี้?”

“เฮ้อ…ผมก็ไม่รู้ว่าควรพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงดี” ฉินอวี่สูดลมหายใจลึก สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “เด็กที่ผมเพิ่งรับดูแลเมื่อไม่นานมานี้ก่อเรื่องและทําร้ายคนอื่น ผมไม่อยากให้เขาโดนโทษ ก็เลยมาที่นี่เพื่อว่าคุณจะช่วยคุยกับหัวหน้าหน่วยหลิวเกี่ยวกับคดีนี้ให้ได้ ผมรู้ว่าเด็กทําผิด แต่เราก็ยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้อีกฝ่ายอย่างเหมาะสม เพราะถึงยังไงเขาก็ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ ผมปล่อยให้เขาเข้าคุกไปแบบนั้นไม่ได้หรอก อีกอย่างในซึ่งเจียงก็ไม่มีสถานพินิจ ถ้าจับเขาเข้าคุกไปอนาคตต้องดับแน่ๆ”

“อ้อ เด็กที่นายกําลังพูดถึงคือคนที่ถูกจับมาพร้อมกับผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม?” เหวินหยงกังถาม

“ใช่ครับ” ฉินอวี่ตอบพร้อมพยักหน้า

เหวินหยงกังกระตุกชายเสื้อเล็กน้อยพร้อมแสดงท่าทีที่จริงจังและเคร่งขรึม “ฉันว่าเราคงต้องคุยกันหน่อยแล้วล่ะฉินอวี่”

“ว่ามาได้เลยครับ”

“เด็กคนนั้นเกี่ยวข้องกับนายก็จริง แต่นายไม่ควรใช้วิธีนี้ในการแก้ปัญหา มันไม่เหมาะสมเลยสักนิดที่นายเดินเข้ามาหาผมเพื่อขอให้ช่วยเรื่องนี้ รู้ไหม? สิ่งที่นายทํามันกําลังสะท้อนให้เห็นว่าทั้งตัวเองแล้วก็สํานักงานตํารวจนั้นไม่มีความยุติธรรม สื่อไปในทางที่ไม่ดีนะ เข้าใจรึเปล่า?” รองผู้กํากับเหวินกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงจัง “อ้อ แล้วอีกอย่างเด็กที่นายรับมาเลี้ยงมีสิทธิ์อยู่อาศัยในเขตพิเศษที่เก้าหรือเปล่า? หรือแอบลักลอบเข้ามา?”

คําพูดเหล่านี้ทําให้ฉินอวี่ยิ่งรู้สึกชัดเจนมากขึ้น เพราะดูจากท่าทางของรองผู้กํากับเหวินแล้วอาจเป็นไปได้ว่าหมวดหลิวคงเล่าเกี่ยวกับรายละเอียดคดีนี้ให้เขาฟังแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ตั้งคําถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ฉินอวี่ ฉันจะบอกอะไรให้ เราเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย เป็นผู้ผดุงความยุติธรรมในเมืองซ่งเจียงนี้” เฒ่าเหวินกล่าวต่อ “ถ้านายยังพยายามผูกมัดทุกๆสิ่งอยู่อย่างนี้ นายจะไม่สามารถไปได้ไกลว่าตําแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับนี้ได้เลย หวังว่าคงเข้าใจ”

“รองผู้กํากับเหวิน โปรดตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย” ฉินอวี่กําหมัดแน่น รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าของเขา “เหตุผลที่เจ้าเขี้ยวเด็กของผมทะเลาะวิวาทกับเฒ่าจางจนลงเอยด้วยการใช้มีดแทง นั่นก็เป็นเพราะตาเฒ่าจางใช้ความรุนแรงกับทุกคนในร้านก่อน เป็นไปได้สูงที่เด็กอย่างเจ้าเขี้ยวจะตื่นตกใจกับเหตุการณ์นี้และเผลอทําอะไรรุนแรงซึ่งไม่ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายเด็กและเยาวชน”

“ถ้ายังมีกฎหมายของเด็กและเยาวชนคุ้มครองอยู่แล้วทําไมนายยังมาหาฉันอีกล่ะ?” เหวินหยงกังเอามือล้วงกระเป๋า ขณะถามกลับ ” หรือนายกลัวอะไร?”

ฉินอวี่จ้องมองอีกฝ่ายก่อนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ผมกังวลว่าหลิวเป่าเฉินจะพยายามทําให้เจ้าเขี้ยวเป็นฝ่ายเสียเปรียบในคดีนี้ เนื่องจากเขาและผมเคยมีเรื่องกันมาก่อน”

“ไร้สาระ!” เหวินหยงกังทุบกําปั้นลงบนโต๊ะ “ฉันรู้ดีว่าหลิวเปาเฉินเป็นคนยังไง เขาไม่ใช่คนประเภทที่ยอมให้ผลประโยชน์ส่วนตัวมาขัดขวางการทํางานของเขา!”

ในห้องสอบสวน

หลิวเปาเฉินถือถ้วยน้ําชาจ้องมองไปที่เจ้ฮัวด้วยสายตาเย็นชาพร้อมพูดว่า “อย่ามัวพูดจาไร้สาระกับผม ผมไม่ได้ถามคุณเกี่ยวกับรายละเอียดของคดี แต่ถามว่าทําไม คุณถึงยอมให้หวางเฮ่อหนานอาศัยในร้านแบบนี้? ร้านคุณมีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ฉินอวี่? เขาถึงได้แสดงความเป็นห่วงและปกป้องร้านของคุณเป็นพิเศษ หรือพวกคุณแอบมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับเรื่องเงินร่วมกันใช่ไหม?”

Special District 9 เขตพิเศษที่ 9

Special District 9 เขตพิเศษที่ 9

บทนำ โลกกำลังเกิดหายนะ…ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างมนุษยชาติ…สัตว์กลายพันธุ์…ผู้คนขาดแคลนอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย… ‘ฉินอวี่’ ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนไร้กฎ ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสังเวช…ทั้งถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้ รวมไปถึงบ้านเก่าทรุดโทรมและกลิ่นปฏิกูลคละคลุ้ง ฉินอวี่จึงลาออกจากงานและตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อซื้อสัญชาติเข้าไปอยู่ในเขตปกครองพิเศษที่เก้า…หวังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม! ภายในเขตพิเศษที่เก้า…ฉินอวี่เข้าสมัครงานในสำนักงานตำรวจนครบาลเมืองพื้นทมิฬเพื่อดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่…เขาได้เจอเพื่อนร่วมงานผู้หวังดีที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้… ระหว่างทำงานในสำนักงานตำรวจ…ฉินอวี่ได้เผชิญการกดขี่มากมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไหวพริบเฉียบแหลมและแผนการอันชาญฉลาด เขาจะสร้างตำนานบทใหม่ของตนเองได้อย่างไร…โปรดติดตามต่อใน…เขตพิเศษที่เก้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset