Special District 9 เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 79

ตอนที่ 79 อำนาจและเงิน

มนุษย์ทุกคนล้วนมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน บางคนก็แสดงออกให้เห็นชัดเจน บางคนกว่าจะเห็นก็ต่อเมื่อเผชิญวิกฤต

หม่าเหลาเอ๋อเป็นคนหนึ่งที่สามารถมองเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนง่ายมาก เขาประมาทและชอบทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด แต่ขณะเดียวกันก็เป็นคนใจอ่อนกับพวกพ้องมากจนเป็นที่น่ายกย่อง

หากเป็นคนอื่นหลังจัดการหยงตงแล้วคงหลบหนีให้เรื่องเงียบไปสองสามวัน แต่หม่าเหลาเอ๋อไม่ได้ทำเช่นนั้น…เขากลับบ้านไปนอนอย่างสบายใจราวกับไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้น

เช้าวันรุ่งขึ้น

เฒ่าหม่าเข้าไปยังบ้านหลานชายก่อนใช้เท้าถีบคนที่นอนบนเตียง

“เฮ้ย! ใครวะ!” หม่าเหลาเอ๋อตกใจตื่น

เฒ่าหม่าทำหน้าถมึงทึงจ้องไปที่หลานชายตัวดีก่อนพูด “ใครสั่งให้แกไปทำเรื่องบัดซบกับไอ้หยงตงแบบนั้น? หา?!”

หม่าเหลาเอ๋อลุกขึ้นนั่งก่อนตอบทั้งยังเปลือยท่อนบนอยู่ “แล้วจะให้ผมทำไง? ปล่อยมันไปงั้นเหรอ? พวกมันมาหาเรื่องผมก่อนนะ ไปถามคนในร้านดูก็ได้!”

“แกคิดว่าฉันโง่จนไม่รู้เรื่องเลยหรือไง? ถ้าไม่เป็นเพราะแกไปโก่งราคาก่อน พวกมันจะมาหาเรื่องไหม?”

“นี่ลุง…เพราะเรื่องเฮงซวยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในถนนเถ้าธุลีทำให้ครอบครัวหม่าต้องระส่ำระสาย ไหนจะหลานผมที่ต้องติดคุกอีกตั้งกี่ปี เรานึกดูดีๆ ว่าเราสูญเสียกับมันไปมากขนาดไหน” หม่าเหลาเอ๋อพูดทั้งน้ำตาคลอ “ตระกูลของเราเองก็มีชื่อเสียงไม่น้อย ถ้ายังเอาแต่ก้มหัวอยู่แบบนี้แล้วใครจะอยากทำงานกับเรา? ทั้งที่ทุกคนต่างก็มียามากกว่าห้ากิโลและพร้อมเสี่ยงตายเท่ากันหมด แต่ทำไมตระกูลหยวนถึงถูกเชิดหน้าชูตาได้ ในขณะที่คนของเราต้องมาคอยระแวงทั้งคู่แข่งทั้งตำรวจ ลุงไม่หงุดหงิดใจบ้างหรือไง?”

เฒ่าหม่าเริ่มคิดตามที่หม่าเหลาเอ๋อพูด

“ผมยอมรับว่าเมื่อคืนผมใช้อารมณ์มากไปหน่อย แต่ลุงจะมาโทษผมฝ่ายเดียวไม่ได้ ถ้าพวกมันไม่ทำผมก่อน…ผมคงออกจากร้านไปดีๆ แล้ว” หม่าเหลาเอ๋อพูดต่อพลางถอนหายใจ “ผมรู้ว่าลุงอยากบอกอะไร เอาเป็นว่าผมจะจำไว้และไม่ทำอะไรโง่ๆ อีก โอเคไหม?”

“นายต้องรู้จักโตได้แล้ว ไม่ใช่เอะอะก็เอาแต่มีเรื่องไปวันๆ” เฒ่าหม่าถอนหายใจ “จำที่ฉินอวี่บอกไม่ได้หรือไง? เฒ่าหลี่บอกให้อยู่เฉยๆ ไปก่อน ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ถ้าขืนนายยังก่อปัญหาไม่เลิก ทางตำรวจเบื้องบนคงเลือกเก็บกวาดพวกเราแทนที่จะคุ้มกะลาหัว”

“เออ ผมเข้าใจแล้วหน่า” หม่าเหลาเอ๋อตอบ สภาพของเขาในตอนนี้แทบดูไม่ได้ ทั้งตาแดงและหน้าซีดจากอาการเมาค้างทั้งคืน

“ดูสารรูปตัวเองตอนนี้สิ” เฒ่าหม่าเริ่มบ่นหลายชาย “รีบลุกไปอาบน้ำแล้วตามฉันไปนับของที่โกดัง”

“รู้แล้วๆ” หม่าเหลาเอ๋อพยักหน้าอย่างรำคาญ

ความวุ่นวายบนนถนนเถ้าธุลีเงียบสงบลง ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นอีกตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ราวกับเรื่องที่หม่าเหลาเอ๋อบังคับให้หยงตงก้มกราบจะไม่มีผลกระทบอะไรต่อตระกูลหม่าและตระกูลหยวนเลย

บ่ายวันหนึ่ง

ขณะฉินอวี่ที่แต่งชุดลำลองกำลังเดินกับจู้เหว่ยอยู่บริเวณร้านอาหารหน้าสำนักงานตำรวจ

มีชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าคนหนึ่งโบกมือทักขึ้น “เฮ้! ทางนี้ครับหัวหน้าทีมฉิน!”

ฉินอวี่เดินไปตามคำเชื้อเชิญโดยไม่คิดอะไร

“ตรงนี้น่าจะเสียงดัง เราไปหาห้องเงียบๆ คุยกันดีไหมครับหัวหน้า?” ชายหนุ่มถามอย่างสุภาพ

ฉินอวี่ไม่เคยสัมผัสกับอำนาจมาก่อนกระทั่งได้เข้าคุมทีมสามจึงได้รู้ว่ามันดีขนาดไหน

ชายหนุ่มคนนี้เป็นนายหน้าหาบ้านที่คอยช่วยทำวีซ่าระยะยาวในเขตพิเศษที่เก้าให้คนในเขตพัฒนา ด้วยเป็นคนธรรมดาไม่ได้ร่ำรวยจึงต้องดิ้นรนทำงานใต้ดิน กระทั่งหนึ่งในลูกน้องของเขาถูกจู้เหว่ยจับได้เมื่อไม่กี่วันก่อน

ชายหนุ่มพยายามติดต่อฉินอวี่ผ่านแมวเฒ่าเพื่อให้ช่วยไว้ชีวิตตน

ฉินอวี่เดินไปนั่งพลางผายมือพูด “นายก็นั่งลงสิ”

“ครับๆ” ชายหนุ่มนั่งลงพลางตะโกนเรียกบริกร “รีบเอาอาหารที่สั่งไปมาเสิร์ฟเร็วเข้าสิ!”

ฉินอวี่นั่งกอดอกมองคนตรงหน้า

“ช่วงนี้งานยุ่งหรือเปล่าครับหัวหน้าฉิน?”

“ไม่เท่าไหร่”

“ผมได้ยินมาว่ามีการจัดตำแหน่งใหม่ในสำนักงานตำรวจ และได้ยินมาอีกว่าเอริกสันถูกย้ายไปอยู่สำนักงานใหญ่แล้วด้วยใช่ไหมครับ?”

“ช่วงนี้ฉันไม่ได้สนใจฝั่งนั้น เลยไม่ค่อยแน่ใจ” ฉินอวี่ตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

ชายหนุ่มพยายามสรรหาเรื่องต่างๆ มาถามแต่ฉินอวี่กลับตอบเพียงสั้นๆ และไม่สบอารมณ์จนเจ้าตัวไปต่อไม่เป็น ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังโดนข่ม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วฉินอวี่จะมาไม้ไหนกันแน่

หลังสงครามประสาทผ่านพ้นไป ชายหนุ่มก็หยิบกล่องใบหนึ่งส่งให้ฉินอวี่ “ผมอยากจะขอร้องหัวหน้าช่วยให้เวลาเราหน่อยนะครับ พี่แมวเฒ่าเทศนาไปแล้วก่อนหน้านี้…พวกผมสัญญาว่าจะไม่ทำพลาดซ้ำอีก เฮ้อ…แค่มีชีวิตรอดไปวันๆ เดี๋ยวนี้ทำไมมันถึงเหนื่อยนักนะ”

ฉินอวี่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนผลักกล่องกลับ “ฉันไม่รับสินบน”

“โธ่หัวหน้าทีมฉิน ช่วยให้…”

“ฟังก่อน” ฉินอวี่พูดขัด “แมวเฒ่าเล่าให้ฟังแล้ว ฉันจะช่วยนายเอง แต่มีข้อแม้…หลังจากนี้นายต้องไม่เอาวีซ่าคนตายมาปลอมแปลงและเอามาขายโก่งราคาอีก ไม่งั้นฉันจะเป็นคนจัดการนายเอง”

“เข้าใจแล้วครับ!” ชายหนุ่มพยักหน้าดีใจ

“นายชื่ออะไร?” ฉินอวี่ถาม

“เรียกผมว่าเสี่ยวหลิวก็ได้ครับ”

“โอเค กลับไปก่อนเถอะ ได้เรื่องยังไงจะบอกอีกที” ฉินอวี่พยักหน้ารับ

“ขอบคุณมากครับ!” เสี่ยวหลิวตอบอย่างมีความสุขก่อนสวาปามอาหารตรงหน้า “ถ้างั้นเรามากินข้าวกันก่อนกลับดีไหมครับ…กินเลยครับกินเลย!”

หลังกินไปได้สองสามคำฉินอวี่จึงหาข้ออ้างปลีกตัวออกมาโดยไม่ลืมออกคำสั่งกับจู้เหว่ยว่า “นายอย่าลืมคุยกับเด็กนั่นด้วยนะ”

กลับมาที่สำนักงานตำรวจ ระหว่างกำลังต่อสายหาฉีหลิน จู้เหว่ยก็กลับมาพร้อมกับกล่องของขวัญที่เสี่ยวหลิวให้ไว้ก่อนหน้านี้

“นายกลับมาทำไม?” ฉินอวี่ถาม

“ก็หัวหน้าออกมาแล้วจะให้ผมอยู่ทำไมล่ะครับ?” จู้เหว่ยสงสัย “แล้วหัวหน้าไม่ได้บอกให้ผมกลับไปเอาของขวัญนี่เหรอ?”

ฉินอวี่ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย “นี่นายไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังจะทำหรือไง?”

“หืม? จะทำอะไรเหรอครับ?” จู้เหว่ยไม่เข้าใจ

“นายหน้าหาบ้านที่ต้องเสี่ยงชีวิตทำงานไปวันๆ ของในนั้นจะมีค่าสักเท่าไหร่เชียว?” ฉินอวี่พูดขึ้น “ที่ฉันบอกให้นายอยู่คุยกับหมอนั่นก็เพื่อจะได้รู้จักกันมากขึ้น ด้วยสายงานของเราจำเป็นต้องมีหูตาอยู่ทุกที่ แม้จะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากแต่เขาคลุกคลีกับคนทุกอาชีพ ถ้าเราใช้เขาเป็น…อีกหน่อยเด็กคนนี้จะมีประโยชน์อย่างมากในการสืบคดี”

“อ๋อ! แบบนี้เองสินะครับ” ในที่สุดจู้เหว่ยก็เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของฉินอวี่

ฉินอวี่มองหน้าจู้เหว่ยก่อนคว้ากล่องของขวัญมาเปิดดู ด้านในกล่องมีเพียงนาฬิกาข้อมือธรรมดากับเงินอีกสองร้อยดอลลาร์

“โห…ไม่น้อยเลยนะเนี่ย” จู้เหว่ยตาลุกวาวเมื่อเห็นเงินในกล่อง

“ถ้าไม่รับเงินนี้มาอีกฝ่ายจะไม่สามารถเดาใจนายได้เลยนะ แต่ในเมื่อรับมาแล้วก็จะรู้ทันทีว่านายมีค่าแค่สองพันดอลลาร์กับนาฬิกาเรือนหนึ่งเท่านั้น” ฉินอวี่พูดก่อนโยนกล่องของขวัญลงบนโต๊ะ

จู้เหว่ยครุ่นคิดอยู่นานก่อนพยักหน้า “เข้าใจล่ะครับ”

ฉินอวี่หยิบเงินออกมาจากกล่องและแบ่งไว้กับตัวห้าร้อยดอลลาร์ “ฉันจะเก็บไว้แค่นี้ ที่เหลือนายเอาไปแบ่งกับคนในทีม”

“อ้าว…ผมนึกว่าหัวหน้าจะไม่รับเงินซะอีก” จู้เหว่ยพูด “แล้วทำไมถึงเก็บไปตั้งห้าร้อยล่ะครับ?”

“ก็นายเป็นคนรับรับมาเอง แล้วทำไมฉันจะเอาเงินนี้ไม่ได้?” ฉินอวี่พูดขึ้นอย่างไม่อาย “ฉันรับเลี้ยงเด็กคนหนึ่งอยู่และกำลังร้อนเงินไปซื้อยาพอดี”

“แล้วนาฬิกาล่ะครับ? หัวหน้าจะเอาหรือเปล่า?”

“อย่าใส่นาฬิกาใหม่ในสำนักงาน ไม่งั้นเป็นเรื่องแน่” ฉินอวี่เตือน “เอาไปขายทิ้งซะ”

“โอเคครับ”

“แล้วอย่าลืมที่ฉันบอกล่ะ” ฉินอวี่นั่งบนเก้าอี้พลางออกคำสั่ง “เราต้องสร้างเครือข่ายขึ้นมาใหม่ ให้เวลาพวกเขาตามสมควรแล้วอย่ารับสินบนใครมาอีกเข้าใจไหม?”

“ครับ” ในที่สุดจู้เหว่ยก็เข้าใจแผนการที่แท้จริงของฉินอวี่

ขณะเดียวกัน

หยวนหัวนั่งดูรายงานการขายอยู่ในห้องทำงาน “พวกแกมัวทำอะไรกันอยู่ยอดขายของอาทิตย์นี้ถึงตกฮวบกว่าสามสิบเปอร์เซ็น! อธิบายมาสิ!”

ชายหัวล้านวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตอบ “ต้องอธิบายอะไรอีก? เฒ่าหม่าเริ่มกลับมาปล่อยยาแล้ว แถมราคาถูกกว่าเราตั้งครึ่งหนึ่ง มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะมาซื้อของเรา!”

………………………………….

Special District 9 เขตพิเศษที่ 9

Special District 9 เขตพิเศษที่ 9

บทนำ โลกกำลังเกิดหายนะ…ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างมนุษยชาติ…สัตว์กลายพันธุ์…ผู้คนขาดแคลนอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย… ‘ฉินอวี่’ ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนไร้กฎ ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสังเวช…ทั้งถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้ รวมไปถึงบ้านเก่าทรุดโทรมและกลิ่นปฏิกูลคละคลุ้ง ฉินอวี่จึงลาออกจากงานและตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อซื้อสัญชาติเข้าไปอยู่ในเขตปกครองพิเศษที่เก้า…หวังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม! ภายในเขตพิเศษที่เก้า…ฉินอวี่เข้าสมัครงานในสำนักงานตำรวจนครบาลเมืองพื้นทมิฬเพื่อดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่…เขาได้เจอเพื่อนร่วมงานผู้หวังดีที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้… ระหว่างทำงานในสำนักงานตำรวจ…ฉินอวี่ได้เผชิญการกดขี่มากมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไหวพริบเฉียบแหลมและแผนการอันชาญฉลาด เขาจะสร้างตำนานบทใหม่ของตนเองได้อย่างไร…โปรดติดตามต่อใน…เขตพิเศษที่เก้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset