Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 184 อสูรหินบ้าคลั่ง

Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์

ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 184 อสูรหินบ้าคลั่ง

บทที่ 184 อสูรหินบ้าคลั่ง

 

“ศิษย์พี่หญิงใหญ่! ระวังขอรับ!”

 

“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ กระโดดข้ามไป เร็วเข้า!”

 

หนาซานและหนาสุ่ยตะโกนลั่น! พวกเขาอยากกระโดดลงไปขวางทางอสูรหินเศียรสุนัขที่ดุร้าย ทว่าขาทั้งสองข้างกลับแข็งที่อไม่ตอบสนองดั่งใจนึก เวลานี้พวกเขาหวาดกลัวเกินกว่าจะเอาชีวิตตนเข้าไปเสี่ยง ทันใดนั้นเสียงกึกก้องดังมาจากด้านหลังหลิวหงอสูรหินยักษ์ขว้างก้อนใหญ่ไปไกลจนชนเข้ากับหินอีกก้อนเป็นการข่มขวัญ!

 

“ดาบบิน! ต้องใช้ดาบบินแทงดวงตามัน!”

 

หลิวหงไม่มีเวลามากพอจะคิดบัญชีกับเยี่ยฉวน จึงออกคําสั่งอย่างเร่งด่วนก่อนชักกระบี่บินสีฟ้าอ่อนออกจากฝักและพุ่งเข้าโจมตี

 

“ขอรับ!”

 

หนาซานและหนาสุ่ยน้อมรับคําสั่งก่อนกวัดแกว่งกระบี่บินพร้อมกัน ทันใดนั้นกระบี่บินสามเล่มเสียงส่งเสียงแหลมแหวกผ่านอากาศพุ่งตรงไปทางอสูรหินเศียรสุนัขและปักเข้าที่ดวงตาโดยแรง!

 

แม้อสุรหินทรงพลังทั้งยังคงกระพันฟันแทงไม่เข้า แต่ดวงตาของมันไม่มีทางแข็งแกร่งเช่นเดียวกับลําตัวเป็นแน่!

 

ช่วงเวลาคับขันเช่นนี้หลิวหงไม่มีหนทางอื่นนอกจากปล่อยให้เยี่ยฉวนหลบหนีไปเพื่อปราบปรามภัยคุกคามตรงหน้าให้สิ้นซากเสียก่อน!

 

โฮก… อสูรหินเศียรสุนัขอ้าปากกว้างขณะแผดเสียงคํารามดังสนั่นราวเสียงคํารามของมังกร กระบี่บินที่พุ่งเข้ามาไม่สามารถทิมทะลวงดวงตาได้เพราะมันยกฝ่ามือขึ้นปัดป้อง ในที่สุดพวกเขาก็พบจุดอ่อนของมันแล้ว! หากใช้วิธีใดทําให้ดวงตาของมันมืดบอดทุกอย่างจึงจะสามารถจัดการได้โดยง่าย เนื่องจากมันไม่สามารถไล่ตาม พวกเขาได้อีกต่อไป

 

“เคล็ดวิชากระบี่วาโย!”

 

หลิวหงตะโกนเสียงดังลั่นก่อนที่ร่างกายจะเลือนหายวับไปในอากาศ นางใช้เคล็ดวิชาเฉพาะของสานักเบญจลักษณ์เร้นกายให้กลายเป็นสายลม ทว่าไม่ได้เคลื่อนไหวไปทางอสูรหินเศียรสุนัขโดยตรงแต่เปลี่ยนตําแหน่งไปเรื่อยๆ จากหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อน พร้อมทําการจู่โจมด้วยความรวดเร็วและรุนแรงจากทิศทางที่แตกต่างกันในแต่ละครั้ง

 

เคล็ดวิชาที่มีพลังทําลายล้างรุนแรงของสํานักเบญจลักษณ์สำแดงอิทธิฤทธิ์อย่างช้าๆ

 

การผนึกกําลังจู่โจมที่นําโดยหลิวหงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หนาซานและหนาสุ่ยรุดหน้าและถอยกลับตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมร่ายเคล็ดวิชาลับอย่างดุเดือดโดยพร้อมเพรียง กระบี่บินขนาดเล็กในฝ่ามือเปลี่ยนรูปทรงอย่างต่อเนื่อง บางครั้งอยู่ในรูปร่างสี่เหลี่ยม บางครั้งก็แบนราบจนกลายเป็นเส้นตรง ทันใดนั้นอสูรหินเศียร สุนัขแผดเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเมื่อดวงตาถูกแทงจนบอดไปทีละข้าง! ในที่สุดคนทั้งสามสามารถทําลายการมองเห็นของมันได้สําเร็จ!

 

ความเจ็บปวดจากการถูกโจมตีทําให้อสูรหินโกรธจัดจนพลังปราณภายในพลุ่งพล่าน ร่างกายที่มีความสูงสามเมตรขยายใหญ่ขึ้นจนมีความสูงถึงห้าเมตร อีกทั้งพละกําลังยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์! มันใช้กําปั้นออกแรงต่อยโดยไร้ทิศทางกระทั่งกระทบเข้ากับก้อนหินขนาดเทียบเท่าเนินเขาเล็กๆ จนพังทลายลง!

 

ตอนนี้อสูรหินเศียรสุนัขคลุ้มคลั่งประหนึ่งกระทิงอาละวาด มันทุบทุกสิ่งที่ขวางหน้าอย่างสะเปะสะปะจนพังราบเป็นหน้ากลองหนาซานและหนาสุ่ยหลบหนีไม่ทันจึงถูกจับเหวี่ยงออกไปให้พ้นทาง! ส่วนพี่ใหญ่ลู่ขบกรามแน่นขณะยกหินก้อนใหญ่ขึ้นสูงด้วยต้องการฉวยโอกาสจากเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้นทุบหัวของอสูรหินจากด้านหลัง ผลลัพธ์คือส่วนหัวของมันไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ซ้ำร้ายยังเป็นการเปิดเผยตําแหน่งของตนให้มันรับรู้ หมัดที่เต็มไปด้วยแรงส่งมหาศาลของมันทําให้ร่างชายหนุ่มกระเด็นลอยไปไกล!

 

“อสูรตัวนี้ตาบอดแล้ว…ผนึกกําลังกันโจมตีเถอะ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าฝีมือของพวกเราทั้งหมดจะเอาชนะมันไม่ได้!”

 

หลิวหงสั่งการอีกครั้ง หนาซานและหนาสุ่ยจึงถอยกลับมาตั้งหลักและเริ่มทําการโจมตีอีกครั้งด้วยความรุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน พี่ใหญ่ลู่ที่ร่วงลงกระทบพื้นข่มความเจ็บจุกลงก่อนยันตัวขึ้นและคลานไปด้านหน้า แม้อาการบาดเจ็บรุนแรงเพียงใดแต่เขายังมีใจฮึดสู้ในศึกครั้งนี้ ไม่อาจรู้แน่ชัดว่าร่างกายของเขาอึดทนกว่าคนทั่วไป หรืออย่างไร การโจมตีของอสูรหินจึงไม่ทําให้เขาถึงตาย ตอนนี้เขาเป็นผู้เดียวที่ไม่มีกระบี่บินในครอบครอง ส่วนกระบองที่เป็นอาวุธประจํากายก็ถูกทําลายจนหักไปเสียแล้ว เขาทําได้เพียงใช้พละกําลังที่เหลืออยู่ยกก้อนหินใกล้ตัวขึ้นและกระหน่ำโยนไปที่อสูรหินเท่านั้น!

 

โท่วป่าเซียงเนียวที่ดูอ่อนแอและบอบบางเหวี่ยงกระบี่บินประจํากายออกไปเพื่อร่วมโจมตี แม้การโจมตีจะไม่รุนแรงเท่าหลิวหงเพราะขาดทักษะที่แม่นยํา ทว่านางสามารถสกัดกั้นการโจมตีจากอสูรหินเศียรสุนัขที่ดุร้ายได้เป็นอย่างดี!

 

หญิงสาวผู้งดงามทั้งสองเข้าร่วมต่อสู้ในศึกครั้งนี้ เยี่ยฉวนจึงไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป ครั้นมองเห็นวิธีการโจมตีของพี่ใหญ่ลู่จึงยกก้อนหินใกล้ตัวทุ่มใส่อสูรหินบ้างเพื่อไม่ให้น้อยหน้า

 

การกระทําของเขาทําให้หลิวหงที่หันไปเห็นเกือบถ่มน้ำลายลงพื้น พี่ใหญ่ลู่ยกหินก้อนมหึมาขึ้นสูงก่อนขว้างมันออกไปด้วยความแรงมหาศาล แต่ก้อนหินเหล่านั้นกลับทําอันตรายมันไม่ได้แม้แต่ฝากรอยฟกช้ำ ส่วนเยี่ยฉวนไม่รีบร้อนทั้งยังใช้เวลาเล็งเป้าอยู่ครู่ใหญ่ หินที่หยิบขึ้นมาก้อนเล็กจนไม่สามารถทําให้เกิดคลื่นบนผิว ทะเลสาบได้ด้วยซ้ำแรงที่ใช้ในการปาก็เบาหวิวราวปราศจากพลัง ครั้นหลิวหงเห็นการกระทําที่เห็นแก่ตัวของเขา…ความวาดหวังที่ตั้งไว้สูงส่งก็พังทลายลงอย่างฉับพลัน!

 

“ไอ้สารเลวนี่”

 

หลิวหงขบกรามแน่นด้วยความชิงชังรังเกียจ แม้ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายไร้ทักษะแต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถต่อว่าใดๆ ได้ เพราะตัวเยี่ยฉวนเองก็เพิ่งประกาศต่อหน้าทุกคนว่าตนบรรลุเพียงขั้นซิวฉือระดับที่สาม ทั้งยังไร้พลังยุทธ์สูงส่งและอ่อนแอที่สุดในกลุ่ม

 

แต่ละคนปิดล้อมอสูรหินเศียรสุนัขและพุ่งเข้าโรมรันอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีคนรุดไปด้านหน้า อีกหลายคนจะถอยหนีและกระโดดจากหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนเพื่อสร้างความสับสนและหลบการโจมตีจากมัน พวกเขาเชื่อว่าแม้มันจะเป็นก้อนหินแข็งแกร่งเพียงใด หากถูกโจมตีอย่างรุนแรงหลายครั้งเข้าในที่สุดย่อมบุบสลายและสิ้นชีพอย่างแน่นอน ตอนนี้ทั่วร่างของอสูรหินยักษ์เต็มไปด้วยหลุมลึกมากมายจากพลังของกระบี่บิน พละกําลังของมันอ่อนแรงลงเรื่อยๆ

 

ความเชื่อมั่นอันแรงกล้าของทุกคนว่าสามารถเอาชนะได้ทําให้โอกาสอันดีปรากฏขึ้น

 

หลังถูกโจมตีอย่างดุเดือด….อสูรหินเศียรสุนัขตาบอดเดินซวนเซไปทางซ้ายทีขวาที หลิวหงจึงฉวยโอกาสนี้พุ่งตัวไปด้านหน้าพร้อมใช้เคล็ดวิชาลับโจมตี ทว่าอสูรหินที่ดูเหมือนอ่อนแรงกลับยึดตัวขึ้นอย่างกะทันหันจนเต็มความสูงก่อนคว้าขาของนางข้างหนึ่งไว้สถานการณ์กลับมาเลวร้ายลงอีกครั้ง! โท่วป่าเซียงเนียวที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อช่วยเหลือโดยไม่ทันระวังตัว ทําให้อสูรหินปล่อยมือจากขาหลิวหงและใช้ฝ่ามือปัดร่างบอบบางของนางจนกระเด็นไปไกล!

 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในพริบตาเดียวเท่านั้น!

 

ขณะที่ทุกคนยังตกตะลึงจนไม่ทันตอบสนอง โท่วป่าเซียงเนียวล้มลงกระแทกพื้นจนเลือดแดงสดไหลรินออกมาจากมุมปาก หลิวหงรีบหนีออกห่างจากพื้นที่อย่างเร่งร้อน ร่างกายของนางไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด มีเพียงเผ้าผมที่กระเซิงจนเสียทรง ขณะนั้นอสูรหินเศียรสุนัขก้าวหนักๆ จนพื้นดินสะเทือนตรงมาทางโท่วป่าเซียงเนียวที่ได้รับบาดเจ็บจนลุกไม่ขึ้น จิตสังหารของมันแผ่ความคุกคามถึงขีดสุดด้วยต้องการระบายความโกรธทั้งหมดที่สะสมไว้บดขยี้นางจนแหลกเป็นจุณ

 

“ระวัง!”

 

พี่ใหญ่ลู่ยกหินก้อนใหญ่ทุ่มไปข้างหน้าเต็มแรงเพื่อหยุดเจตนาร้ายของอสูรหินเศียรสุนัข แต่มันกลับไม่ระคายเลยแม้แต่น้อยทั้งยังก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ความสนใจทั้งมวลพุ่งไปที่โท่วป่าเซียงเนียวที่ไร้ทางสู้ จิตสังหารพุ่งทะยานขึ้นสูงกว่าเดิมเป็นเท่าทวี!

 

“กรี๊ด…”

 

โท่วป่าเซียงเพียวพยายามกลิ้งตัวไปกับพื้นให้ห่างจากอสูรหินยักษ์ให้มากที่สุด ทว่าสายตาเหลือบไปเห็นฝ่าเท้าขนาดมหึมาของมันที่กําลังจะเหยียบลงมาจึงตื่นตระหนกจนกรีดร้องสุดเสียง!

 

ฝ่าเท้าของมันน่ากลัวอย่างไรน่ะหรือ?!

 

ภายใต้นั้นเต็มไปด้วยก้อนหินที่มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เสมอกัน ความแหลมคมย่อมมากกว่าคมเขี้ยวของจระเข้หลายเท่านัก! ทั้งยังมีขนาดใหญ่กว่าฝ่าเท้าของมนุษย์ถึงสิบเท่าและอาจมีน้ำหนักมากกว่าเครื่องโม่หินเสียอีก!

 

โท่วป่าเซียงเนียวผู้บอบบางหวาดกลัวจนไร้แรงพลังที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด เวลากระชั้นเข้ามาทุกทีจนไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้อีกต่อไป ตอนนี้นางทําได้เพียงบิดเปลือกตาแน่นและกรีดร้องรอรับความเจ็บปวด ส่วนพี่ใหญ่ลู่ที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างชัดเจนยังหลับตาลงเพื่อที่จะได้ไม่เห็นสตรีงามถูกบดขยี้จนแบนไปต่อหน้าต่อตา!

 

Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์

Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์

Storm in the Wilderness, 蛮荒风暴
Score 7.2
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2015 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์บทนำ ณ ห้องโถงใหญ่บนยอดเขาเมฆาอินทนิล…เหล่าผู้อาวุโสทั้งห้าและบรรดาลูกศิษย์ในสำนักนับพันชีวิตต่างจ้องมองไปทางเดียวกันอย่างไม่เชื่อสายตา! ทุกคนต่างคิดว่าเขาตายไปแล้วในสุสานเทพเจ้าเมื่อสามเดือนก่อน! แม้แต่ผู้พิทักษ์ขั้นซิ่วฉือระดับห้ายังถูกลอบโจมตีจนสิ้นชีพ แล้วเหตุใดผู้ที่บรรลุเพียงขั้นอู่เจ๋อระดับที่หนึ่งเช่นเขาจึงมีชีวิตรอดจากหายนะในภารกิจครั้งนั้น?! ใช่…เขาตายไปแล้ว… ‘เยี่ยฉวน’ คนเก่าจอมขลาดเขลาและเหยียมอายคนนั้นตายไปแล้ว! บัดนี้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือเยี่ยฉวนคนใหม่ที่ฝึกตนจนบรรลุขั้นอู่เจ๋อระดับสี่โดยใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืน! เขาได้พบเคล็ดวิชาลึกลับ ‘ขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์’ จากสุสานเทพเจ้าโดยบังเอิญ วิชานี้มีพลานุภาพมหัศจรรย์เหนือกว่าเคล็ดวิชาซ่อนเร้นสวรรค์เสียอีก! หากเขาฝึกฝนเคล็ดวิชานี้จนสำเร็จต้องมีระดับขั้นการฝึกตนที่สูงกว่าภพชาติก่อนเป็นแน่! หรือบางทีอาจบรรลุถึงขั้นผู้อมตะแห่งเต๋าที่เป็นเพียงตำนาน!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset