Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 87 แมลงสาบอมตะ

 

Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์

 

บทที่ 87 แมลงสาบอมตะ

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่”

 

เจ้าอ้วนร้องคร่ำครวญในขณะที่บรรดาศิษย์หลั่งน้ำตาตามๆ กันด้วยความเศร้าโศก

 

หลังผ่านความยากลําบากอันใหญ่หลวง ในที่สุดสํานักหมอกเมฆาที่ถูกกดขี่มานานหลายปีก็กลับมาภาคภูมิได้อีกครั้ง ทําให้เหล่าศิษย์มีหวังจะฟื้นฟูสํานักขึ้นมาใหม่ แต่เพียงชั่วพริบตา ศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวนก็ต้องมาตายอย่างน่าสยดสยอง หรือสวรรค์จะอิจฉาและกลั่นแกล้งวีรบุรุษยอดฝีมือผู้นี้จริงๆ?

 

“ต้องเป็นโท่วป่าเซียงจากสํานักเครื่องนิลแน่! ตาแก่นั่นคงส่งมือสังหารมาลอบฆ่าศิษย์พี่ใหญ่ เขาไม่ปล่อยให้สํานักหมอกเมฆามีโอกาสเกิดใหม่หรอก!”

 

จ้าวต้าจื่อผู้เคยขี้ขลาดตาขาวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก่อนจะชักกระบี่ออกมาด้วยจิตสังหารแรงกล้า “ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย จงลุกขึ้นสู้กับพวกมันเถิด! บุกทําลายค่ายสํานักเครื่องนิลและแก้แค้นให้ศิษย์พี่ใหญ่! มาสู้กับข้าเพื่อศักดิ์ศรีและพี่น้องของเรา!”

 

“ฆ่ามัน!”

อ่านนิยาย เรื่องนี้ ก่อนใคร ที่ novelza.com

“บุกค่ายสํานักเครื่องนิล! แก้แค้นให้ศิษย์พี่ใหญ่!”

 

ศิษย์สํานักหมอกเมฆาพากันโห่ร้องสุดเสียงและชักกระบี่ออกมาด้วยนัยน์ตาแดงฉาน บัดนี้พวกเขากําลังมุ่งหน้าไปยังค่ายสํานักเครื่องนิลโดยไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป

 

ผู้ใดจะได้ประโยชน์จากความตายของเยี่ยฉวนมากที่สุด? ผู้ใดที่มีแรงจูงใจและสามารถสั่งการมือสังหารชั้นเลิศได้ถึงเจ็ดคน?

 

เป็นใครไปไม่ได้นอกจากโท่วป่าเซียงเจ้าสํานักเครื่องนิล!

 

ชายชรามองเยี่ยฉวนเป็นดั่งหนามยอกอกหลังเยี่ยฉวน ทําให้เขาอับอายขายหน้าในครั้งก่อน อีกทั้งตอนนี้สํานักเครื่องนิลยังตามหลังในการประลองครั้งยิ่งใหญ่ จึงเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะเป็นตัวการ!

 

หน้าอกจูซือเจียสะท้อนขึ้นลงอย่างรวดเร็ว นางรู้ดีว่าการบุกสํานักเครื่องนิลเช่นนี้เท่ากับรนหาที่ตาย ทว่าความตายอันน่าสลดใจของเยี่ยฉวนทําให้นางอยากนั่นตาแก่นั่นให้เป็นเนื้อบดด้วยน้ำมือของตนเอง มีเพียงหนานเทียนโตวที่ยังคงใจเย็นและไม่แสดงอารมณ์เหมือนเช่นเคย แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามปรามซ้ำยังกําด้ามกระบี่ของตนแน่น

 

ศิษย์พี่ใหญ่ในยามนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว หนานเทียนโตวผู้ไม่เคยเชื่อฟังผู้ใดมาก่อนกลับเชื่อมั่นในตัวเยี่ยฉวนสุดหัวใจ หากเยี่ยฉวนตายตกไปแล้วจริงๆ นั้น อย่าว่าแต่บุกค่ายสํานักเครื่องนิลเลย เขากล้าแม้กระทั่งไปลอบสังหารเจ้าสํานักโท่วป่าเซียงโดยไม่ลังเล

 

“หยุด! สมองพวกเจ้ามีแต่ขี้เลื่อยหรืออย่างไร?!”

 

เสียงคุ้นเคยดังขึ้นขณะที่ทุกคนเต็มเปี่ยมไปด้วยเจตนาฆ่าและอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน

 

ควันหนาทึบภายในกระโจมค่อยๆ สลายไปก่อนที่ร่างเลือนรางของเยี่ยฉวนจะปรากฏขึ้นต่อหน้าผู้คน ทั้งร่างเต็มไปด้วยรอยเลือดและกระบี่ยาวยังคงปักค้างอยู่ในกาย แต่ข้างๆ กลับมีร่างไร้วิญญาณทั้งเจ็ดนอนกระจัดกระจายอยู่

 

มือสังหารทั้งเจ็ดตายสิ้นไม่มีเหลือ!

 

ลําคอของมือสังหารหกในเจ็ดคนถูกเฉือนด้วยใบมีดบางเฉียบ ศีรษะของพวกเขายังเชื่อมต่อกับร่างกายด้วยเนื้อเยื่อบางๆ เท่านั้น ส่วนร่างที่อยู่ใกล้เยี่ยฉวนที่สุดนั้นมีสภาพน่าสยดสยองที่สุดเช่นกัน ใบมีดสามเล่มปักอยู่บนร่าง เล่มหนึ่งอยู่ในปาก เล่มหนึ่งอยู่ในอก และอีกเล่มปักอยู่กลางหน้าผากอันเป็นจุดตาย!

 

ณ วินาทีแห่งความเป็นความตาย เยี่ยฉวนใช้ยันต์คลื่นควันเพื่อทําให้อีกฝ่ายสับสนและบดบังการมองเห็น ก่อนจะใช้เคล็ดวิชาคืบอรุณตอบโต้ฉับพลันโดยปล่อยใบมีดทั้งเก้าเล่มที่มีอานุภาพสังหารร้ายแรงถึงชีวิต!

 

มือสังหารที่มีใบมีดสามเล่มปักอยู่นั้นดูเหมือนผู้นําของกลุ่ม เขาว่องไวและโหดเหี้ยมที่สุดจนเยี่ยฉวนต้องใช้ใบมีดในปากเพื่อจัดการ ตัวเขาเองก็ถูกกระบี่ของชายผู้นี้แทงเข้าที่ไหล่ซ้ายเฉียดหัวใจไปเพียงนิดเท่านั้น

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ เจ้ายังไม่ตายหรือนี่?” จูซือเจียพุ่งตรงไปหาเยี่ยฉวน หยาดน้ำตาไหลรินจากดวงตาคู่สวยเมื่อเห็นกระบี่คมกริบแทงทะลุไหล่ซ้ายของเขา

 

“ว่ากันว่าคนดีมักอายุสั้นคนชั่วมักอายุยืน ศิษย์น้องหญิงเจียเจีย เจ้าว่าข้าเป็นคนชั่วไม่ใช่หรือ? แล้วข้าจะตายง่ายๆ ได้อย่างไร?” เยี่ยฉวนยกยิ้มเสียงครางแผ่วเบาดัง

 

“ศิษย์พี่ใหญ่อย่าขยับ! ข้าจะทําแผลให้เจ้าเอง ทหาร! ช่วยพาศิษย์พี่ใหญ่มายังกระโจมข้าที!”

 

จูซือเจียสงบสติอารมณ์ก่อนจะออกคําสั่งเสียงดังพร้อมกับรีบรักษาบาดแผลของเยี่ยฉวน

 

มือสังหารที่ลอบแทงเยี่ยฉวนจนเกือบถึงฆาตช่างร้ายกาจโดยแท้ กระบี่นั้นไม่เพียงแหลมคมแต่ยังอาบยาพิษไว้อีกด้วย โชคดีที่ร่างกายของเยี่ยฉวนแข็งแกร่งและสํานักหมอกเมฆาขึ้นชื่อทั้งด้านการกลั่นยาและการล้างพิษ ไม่เช่นนั้นเยี่ยฉวนคงถูกฝังกลบไปพร้อมกับร่างอื่นๆ เสียแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังซีดเซียวจากอาการบาดเจ็บที่ค่อนข้างสาหัส

อ่านนิยาย เรื่องนี้ ก่อนใคร ที่ novelza.com

“ศิษย์พี่ใหญ่ เราจะลืมเรื่องนี้และปล่อยโท่วป่าเซียงไปโดยไม่ทําอะไรเลยหรือขอรับ?” เจ้าอ้วนยังคงขบกรามแน่นด้วยโทสะ

 

“ถ้าไม่ลืมแล้วเจ้าจะทําอย่างไร? จะต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายกับโท่วป่าเซียงเลยหรือ? อย่าว่าแต่เจ้าเลย ต่อให้พวกเราทั้งหมดรวมพลังกันก็คงไม่อาจอุดฟันเขาได้แม้แต่ที่เดียว” เยี่ยฉวนตอบ เจ้าอ้วนและผู้อื่นต่างคับแค้นใจทว่า เยี่ยฉวนกลับนิ่งสงบราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เพียงแค่เผยรอยยิ้มหยันชั่วพริบตาเท่านั้น เมื่อเขาเอ่ยคําจบแล้วจึงหลับตาลงเพื่อพักผ่อน

 

“พวกเจ้ากลับไปเสีย ตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่อ่อนเพลียมาก ข้าดูแลเขาเองได้” จูซือเจียยุ้ยใบ้ให้เจ้าอ้วน หนานเทียนโตว และผู้อื่นออกไป พวกเขาจึงโค้งลาไปตามๆ กัน

 

ไม่ช้าภายในกระโจมก็เหลือเพียงจูซือเจียและเยี่ยฉวนเท่านั้น กลิ่นกายหอมจางของสตรีโชยเข้าจมูกของเยี่ยฉวนและแทรกซึมลึกเข้าไปถึงหัวใจ

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ อย่าแสร้งทําเป็นไม่รู้อีกเลย ตอนนี้ไม่มีใครแล้ว บอกข้ามาเสียทีว่าใครส่งมือสังหารพวกนั้นมา?”

 

จูซือเจียครุ่นคิดจึงตระหนักว่าเยี่ยฉวนไม่ได้เอ่ยคําใดราวกับเก็บงําความลับบางอย่างเอาไว้ “เป็นโท่วป่าเซียงแห่งสํานักเครื่องนิลจริงหรือ? หรือเป็นอาวุโสแห่งสํานักเบญจลักษณ์? หรือว่า…”

 

“เจียเจีย ดูนี่สิ นี่อะไร?”

 

เยี่ยฉวนยกยิ้มโดยไม่ตอบคําถามพลางยกมือขวาขึ้นแบออกช้าๆ

 

ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องดังลั่นออกมาจากในกระโจม

 

เจ้าอ้วนและคนอื่นๆ ที่ยังเดินไปไม่ไกลนักรีบรุดกลับไปด้วยกังวลว่าอาจมีเหตุเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อยกผ้าคลุมกระโจมขึ้นจึงเห็นจูซือเจียในชุดชั้นในบางเบาคุดอยู่ที่มุมหนึ่ง สองแขนกอดอกอวบใหญ่ด้วยความตื่นตระหนกราวกับลูกแกะตัวน้อยในกํามือ

 

“พวกเจ้ามองอะไร! ออกไปเดี๋ยวนี้!”

 

เจ้าอ้วนและผู้อื่นรีบปิดผ้าคลุมลงดังเดิมและหนีไปให้ไกล เมื่อได้ยินคําด่าของจูซือเจีย แม้เรือนร่างของนางจะเร้าใจมากเพียงใดแต่พวกเขาไม่กล้าแอบมองนางอีกด้วยรู้แก่ใจว่าศิษย์พี่ใหญ่และนางมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ

 

“เพิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสมาหมาดๆ อีกทั้งยังเกือบเอาชีวิตไม่รอดแต่กลับเริ่มหยอกล้อศิษย์น้องหญิงทันที ๆ เขามักวางแผนอย่างถี่ถ้วนก่อนลงมือทําสิ่งใดแต่เมื่อมีโอกาสก็รีบคว้าเอาไว้ ช่างสมกับเป็นศิษย์พี่ใหญ่จริงๆ”

 

เจ้าอ้วนส่ายศีรษะและเยินยอเยี่ยฉวนอย่างหาที่เปรียบมิได้ เขารีบย่ำเท้าเดินไปให้ไกลโดยไม่เอ่ยคําใดและสั่งให้ทหารอารักขาเดินออกไปไกลยิ่งกว่าเพื่อไม่เป็นการขัดจังหวะเยี่ยฉวน เมื่อจูซือเจียได้ยินคําพูดของเจ้าอ้วนจากในกระโจมก็ยิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธและเสียดายที่ไม่ได้ฟาดมันเข้าตั้งแต่เมื่อครู่

 

เยี่ยฉวนยิ้มเมื่อได้ยินคําพูดนั้น เขาแบมือให้แมลงสาบตัวจ้อยคลานออกมาก่อนจะแสร้งถอนหายใจ “เฮ้อ ศิษย์น้องหญิงเจียเจีย ก็แค่แมลงสาบเหตุใดเจ้าถึงได้กลัวนัก?

 

“ไอ้บ้า! ไอ้โรคจิต!”

 

จูซือเจียตัวสั่นระริก นางไม่เกรงกลัวแม้แต่พยัคฆ์ร้ายทว่ากลับกลัวแมลงสาบและหนูมาตั้งแต่ยังเยาว์ เพียงแค่เห็นพวกมันก็ขนลุกไปทั้งร่าง “โยนมันทิ้งไปซะ! เหตุใดจึงยังไม่โยนทิ้งไปอีก?!”

 

“ก็ได้ ข้าจะทิ้งเพื่อนผู้น่าสงสารนี่เสีย”

 

เยี่ยฉวนส่ายศีรษะก่อนจะสะบัดนิ้วซ้ายแผ่วเบาให้แมลงสาบตัวเล็กกระเด็นออกไป เคราะห์ร้ายที่สายลมกระโชกแรงพัดผ่านมาโดยบังเอิญ แมลงสาบที่สะบัดออกไปนอกกระโจมปลิวกลับเข้ามาอีกครั้งและร่วงลงข้างขาของจูซือเจีย

 

จูซือเจียกรีดร้องอีกครั้งพร้อมกระทืบเท้าอย่างไร้สติ นางกระโดดหลบไปด้านหนึ่งด้วยกายสั่นงันงก ส่วนแมลงสาบตัวน้อยที่น่าเวทนาถูกนางกระทืบจนขาหักและร่างกาย ผิดรูปราวกับเยื่อกระดาษทว่ายังไม่ตาย พลังชีวิตของมันแกร่งเป็นพิเศษ มันพลิกตัวกลับก่อนจะคลานไปหาจูซือเจียอีกครั้ง

 

“กรี๊ด…”

 

จูซือเจียทนไม่ไหวอีกต่อไป นางกระโดดเข้ากอดเยี่ยฉวนแนบแน่นโดยไม่รู้ตัว

 

“เจียเจีย วางใจได้ แค่แมลงสาบเอง ศิษย์พี่ใหญ่จัดการให้เจ้าแล้ว! แมลงสาบที่ถูกทนขนาดนี้หายากนัก คราวหน้าเรียกมันว่าแมลงสาบอมตะแล้วกัน!”

 

เยี่ยฉวนยิ้มกริ่มขณะจับแมลงสาบจอมอึด ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันใด “เจียเจีย ลองลืมความกลัวของเจ้าไปสักครู่ เจ้าได้กลิ่นอะไรจากแมลงสาบตัวนี้หรือไม่?”

 

“กลิ่นอะไร?” จูซือเจียตอบไปโดยไม่รู้ตัว ในหัวยังคงว่างเปล่า

 

“กลิ่นหอมของโอสถพิเศษจากสํานักหมอกเมฆาของเรา”

 

เยี่ยฉวนหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยคําเบา “สํานักหมอกเมฆาของเราได้รับมรดกตกทอดมาอย่างยาวนานและขึ้นชื่อด้านการกลั่นยา ภายในสํานักก็มีสมุนไพรขึ้นอยู่มากมายแทบทุกยอดเขา เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในสํานักจึงส่งกลิ่นโอสถจางๆ”

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ เจ้าจะบอกว่าแมลงสาบตัวนี้คลานจากสํานักหมอกเมฆามาถึงที่นี่หรือ? จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?” จูซือเจียเบิกตากว้างด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

 

“แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าแมลงสาบตนนี้จะกลายร่างเป็นสัตว์อสุรกายและฝึกจิตได้สําเร็จ”

 

เยี่ยฉวนสั่นศีรษะ แม้สตรีจะเฉลียวฉลาดเพียงใดแต่ก็ยังมีช่วงเวลาที่สมองเกิดขัดข้องโดยเฉพาะต่อหน้าชายที่นางมีความสัมพันธ์ละเอียดอ่อนด้วยเช่นนี้ เขาครุ่นคิดก่อนกล่าวคําออก “หากข้าเดาไม่ผิด แมลงสาบตัวนี้คงซ่อนอยู่ในของบางอย่างที่พวกศิษย์นํามาที่นี่”

 

“ข้าเข้าใจแล้วศิษย์พี่ใหญ่ ท่านบอกว่ามือสังหารพวกนั้นมีกลิ่นของสํานักหมอกเมฆา จึงเป็นไปได้สูงที่” แววตาชาญฉลาดของจูซือเจียลุกโชนขณะจ้องมองเยี่ยฉวน ชายผู้นี้น่ารําคาญเสียจริง เขาจะพูดออกมาง่ายๆ เสียก็ได้แต่กลับพูดจาอ้อมโลกวกไปวนมาอีกทั้งยังทําให้นางกลัวด้วยแมลงสาบ น่ารําคาญเกินไปแล้ว!

 

“ใช่ เป็นไปได้ว่ามีผู้ทรยศในสํานัก แต่เราก็ยังตัดสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ออกไม่ได้”

 

เยี่ยฉวนพยักหน้า ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นมาก่อนจะโยนแมลงสาบตัวเล็กทิ้งไป ชายหนุ่มรีดหยดเลือดจากปลายนิ้วกลางและใช้เคล็ดวิชา ขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์ขัดเกลาเพื่อนตัวน้อยนี้เพื่อสั่งการให้มันคลานไปยังกระโจมของอี้สั่ว

 

เขาต้องการยืนยันว่าการลอบสังหารนี้เป็นฝีมือของอี้สั่วและจินจื่อคุน เยี่ยฉวนมีสัตว์อสุรกายทั้งราชันจักจั่นทองคํา และลูกหมูแล้วแต่ถ้าหากเขาต้องการสืบฝั่งของอี้สั่ว จินจื่อคุน และอาวุโสลําดับสามอย่างลับๆ คงยากจะมีสัตว์อสุรกายใดทําเช่นนั้นได้ แต่เจ้าแมลงสาบธรรมดาๆ ตัวนี้สามารถทําได้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้

 

เยี่ยฉวนตั้งความหวังกับแมลงสาบตัวน้อยที่จูซือเจียกระทุบจนกลายเป็นเยื่อกระดาษนี้ไว้สูงยิ่ง

 

Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์

Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์

Storm in the Wilderness, 蛮荒风暴
Score 7.2
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2015 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์บทนำ ณ ห้องโถงใหญ่บนยอดเขาเมฆาอินทนิล…เหล่าผู้อาวุโสทั้งห้าและบรรดาลูกศิษย์ในสำนักนับพันชีวิตต่างจ้องมองไปทางเดียวกันอย่างไม่เชื่อสายตา! ทุกคนต่างคิดว่าเขาตายไปแล้วในสุสานเทพเจ้าเมื่อสามเดือนก่อน! แม้แต่ผู้พิทักษ์ขั้นซิ่วฉือระดับห้ายังถูกลอบโจมตีจนสิ้นชีพ แล้วเหตุใดผู้ที่บรรลุเพียงขั้นอู่เจ๋อระดับที่หนึ่งเช่นเขาจึงมีชีวิตรอดจากหายนะในภารกิจครั้งนั้น?! ใช่…เขาตายไปแล้ว… ‘เยี่ยฉวน’ คนเก่าจอมขลาดเขลาและเหยียมอายคนนั้นตายไปแล้ว! บัดนี้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือเยี่ยฉวนคนใหม่ที่ฝึกตนจนบรรลุขั้นอู่เจ๋อระดับสี่โดยใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืน! เขาได้พบเคล็ดวิชาลึกลับ ‘ขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์’ จากสุสานเทพเจ้าโดยบังเอิญ วิชานี้มีพลานุภาพมหัศจรรย์เหนือกว่าเคล็ดวิชาซ่อนเร้นสวรรค์เสียอีก! หากเขาฝึกฝนเคล็ดวิชานี้จนสำเร็จต้องมีระดับขั้นการฝึกตนที่สูงกว่าภพชาติก่อนเป็นแน่! หรือบางทีอาจบรรลุถึงขั้นผู้อมตะแห่งเต๋าที่เป็นเพียงตำนาน!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset