Super God Gene – ตอนที่ 1964

“น่าแปลกจริงๆ น้ำเต้าทั้งหมดแสดงปฏิกิริยาออกมา แต่พวกมันไม่ได้มอบออร่าศักดิ์สิทธิ์ให้กับเขา นี่มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดจริงๆ”

ภายในสิ่งก่อสร้างแห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งขมวดคิ้ว ขณะที่มองหานเซิ่นเดินข้ามถนนนภา

 

ทุกคนในปราสาทนภาต่างก็มีสีหน้าคล้ายๆกัน พวกเขาไม่เคยเห็นน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ตอบสนองแบบนี้มาก่อน ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง

 

ถ้าหานเซิ่นมีพรสวรรค์ น้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ก็ควรจะมอบออร่าศักดิ์สิทธิ์ให้กับเขา แต่น้ำเต้าแค่สั่นด้วยความหวาดกลัวเท่านั้น ซึ่งมันเป็นอะไรที่แปลกมากๆ

 

หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ เขาคิดว่าจะได้เดินทางกลับถ้าเกิดเขาไม่ผ่านการทดสอบ แต่ถนนนภาไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย มันเป็นเหมือนกับสะพานธรรมดาๆเพียงแค่ยากกว่าเท่านั้นเอง

 

หานเซิ่นก้าวขึ้นมาบนเกาะหลัก หลังจากนั้นกระเรียนพันขนก็ขี่นกเข้ามาหาหานเซิ่น หานเซิ่นพูด “น้ำเต้าแค่สั่นอย่างเดียวเอง นี่มันควรจะทำให้ผู้คนที่เดินบนนั้นสะดุ้งและตกลงไปเองอย่างนั้นหรอ?”

 

กระเรียนพันขนมองหานเซิ่นอย่างแปลกๆและพูด “น้องหานมีพรสวรรค์ ดังนั้นไม่มีเรื่องอะไรต้องไปกังวล นี่มันก็สายมากแล้ว และท่านผู้นำก็กำลังรอคอยน้องหานอยู่ พวกเรารีบไปกันเถอะ”

 

หานเซิ่นเดิมตามกระเรียนพันขนไป พวกเขาเดินทางระหว่างหมู่เมฆที่มีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่ มันเหมือนกับว่าเขาอยู่บนสรวงสวรรค์จริงๆ

 

บันไดหินหยกนั้นสูงมากๆ และเมื่อหานเซิ่นมองเห็นจุดสิ้นสุดของมัน เขาก็พบว่าตัวเองกำลังมองไปที่ปราสาทที่ยิ่งใหญ่ ตรงหน้าของเขามีป้ายหินขนาดใหญ่ที่สลักเอาไว้ว่าปราสาทนภา

 

หานเซิ่นเดินขึ้นไปบนบันไดทีละขั้น ในทุกๆขั้นที่เขาก้าวขึ้นไปนั้นมันรู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าขั้นก่อนหน้า มันไม่ใช่ว่าบันไดมีลูกเล่นอะไรพิเศษ แต่มันแค่ปราสาทนภาดูน่าเกรงขาม

 

กระเรียนพันขนคอยจับตาดูหานเซิ่นอย่างใกล้ชิด

 

บันไดนี้ถูกเรียกว่าถนนสู่ท้องฟ้า คนของปราสาทนภาจะไม่รู้สึกอะไรในตอนที่พวกเขาเดินขึ้นบันได แต่คนนอกที่เดินทางบนบันไดจะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากปราสาทนภา ซึ่งแรงกดดันนั้นมาจากป้ายหินที่สลักว่าปราสาทนภา

 

ป้ายหินถูกสลักโดยผู้นำรุ่นแรกของปราสาทนภา ผู้คนที่มีจิตใจอ่อนแอจะพ่ายแพ้ต่อแรงกดดันอันมหาศาลของมัน และไม่สามารถไปถึงปราสาทนภาได้

 

แม้แต่ผู้คนที่มีจิตใจแข็งแกร่งก็จะรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังเดินทางผ่านขุมนรก คนส่วนจะรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมากขณะที่เดินขึ้นไป

 

กระเรียนพันขนจับตามองหานเซิ่นอย่างใกล้ชิด เผื่อในกรณีที่เขาล้มลงไป กระเรียนพันขนก็จะอุ้มหานเซิ่นขึ้นไปยังปราสาทนภา มันเป็นหน้าที่กระเรียนพันขนที่จะนำหานเซิ่นขึ้นไปที่นั่น

 

หานเซิ่นถูกเชิญมาโดยผู้นำของปราสาทนภา และเขาก็ข้ามถนนนภาได้สำเร็จ ดังนั้นกระเรียนพันขนไม่สามารถปล่อยให้เขาถูกบดขยี้ด้วยแรงกดดันของถนนสู่ท้องฟ้า และมันจะเป็นอะไรที่ดูแย่ถ้าเขาต้องคลานขึ้นไป

 

ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เห็นหานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาให้ความสนใจกับหานเซิ่นมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปช่วย ถ้าเกิดหานเซิ่นล้มลงไป ผู้นำรุ่นแรกของปราสาทนภานั้นทรงพลัง เพียงแค่คำที่สลักเอาไว้ 2 คำก็มากพอที่จะทำให้คนส่วนใหญ่คุกเข่าลงไป

 

โดยปกติแล้วมีเพียงแค่คนระดับดยุกขึ้นไปเท่านั้นที่จะทนต่อแรงกดดันนี้ได้ ซึ่งหานเซิ่นยังเป็นแค่ไวเคานต์คนหนึ่ง ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรที่เขาจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้

 

มันมีเฉพาะคนที่ก้าวขึ้นมาบนบันไดนี้ครั้งแรกเท่านั้นที่จะประสบต่อแรงกดดันนี้ พวกเขาจะไม่รู้สึกถึงมันอีกเมื่อพวกเขาผ่านมันไปแล้ว และนั่นก็คือสิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของถนนสู่ทองฟ้า

 

หานเซิ่นขมวดคิ้วและก้าวเดินต่อไป ความเร็วของเขาดูปกติและมันไม่มีวี่แววว่าเขาต่อสู้ดิ้นรนต่อแรงกดดันมหาศาลเลย เขามองป้ายหินที่มีคำว่าปราสาทนภาเอาไว้

 

หานเซิ่นสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ถูกสลักเอาไว้ และเขาก็เข้าใจว่าพวกมันน่าเกรงขามถึงขนาดไหน มันทำให้เขารู้สึกนับถือใครก็ตามที่ทิ้งคำทั้ง 2 นี้เอาไว้

 

หานเซิ่นไม่ได้ต่อสู้กับมันด้วยจิตใจของเขา เขามาที่นี่เพื่อฝึกฝัน ดังนั้นเขาไม่อยากจะก่อเรื่องอะไรที่ไม่จำเป็น อีกอย่างผู้นำของที่นี่คืออาจารย์ของอี๋ซา เขาจึงไม่อยากจะทำให้ตัวเองต้องขายหน้า

 

ความรู้สึกที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากปราสาทนภาเป็นอะไรที่แปลกประหลาด หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังถูกบดขยี้ และมันยากขึ้นเรื่อยๆที่จะก้าวเดินต่อไป ในที่สุดหน้าผากของเขาก็เริ่มมีเหงื่อไหลออกมา

 

หานเซิ่นปฏิเสธจะต่อสู้กับความรู้สึกที่คำทั้ง 2 ส่งมาที่เขา แต่มันก็เป็นอะไรที่ยากจะทนรับได้ ถ้าหานเซิ่นไม่ได้มีจิตใจที่แข็งแกร่งล่ะก็ เขาก็คงจะล้มลงไปกับพื้นแล้ว

 

กระเรียนพันขนขมวดคิ้วเมื่อเห็นเหงื่อที่ไหลโชกของหานเซิ่น เขาดูเหมือนกับคนที่เพิ่งจะก้าวขึ้นมาจากน้ำ

 

พวกเขาเพิ่งจะเดินขั้นไปได้แค่หนึ่งร้อยขั้นเท่านั้น แต่แล้วหานเซิ่นกลับเหงื่อท่วมตัว เขาเป็นแค่ไวเคานต์ ดังนั้นมันไม่มีทางที่เขาจะทนได้ถึงบันได้ขั้นที่หนึ่งพัน แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป หานเซิ่นก็อาจจะขึ้นไปได้ไม่ถึงขั้นที่สองร้อยด้วยซ้ำ

 

“มันแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้” หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ

 

หานเซิ่นไม่ได้ใช้จิตใจของตัวเองเพื่อต่อต้านปราสาทนภา แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันทรงพลังพอที่จะข่มจิตใจของเขา และเนื่องจากหานเซิ่นตัดสินใจจะไม่ต่อต้าน เขาจึงยอมรับแรงกดดันของมันและเดินหน้าต่อไป แต่มันเป็นอะไรที่หนักอึ้งจนทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังแบกภูเขาทั้งลูกเอาไว้ ทุกการก้าวขาของเขาจะทิ้งเหงื่อเอาไว้ด้านหลัง

 

ขณะที่หานเซิ่นพยายามอดทนต่อแรงกดดันและเดินหน้าต่อไป ซึ่งเขาก็ได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง แรงกดดันอันมหาศาลเริ่มจะทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้นมา

 

พลังของออร่าศาสตร์ตงเสวียนสามารถจะปิดผนึกสัมผัสของคนอื่นได้ แต่มันไม่ได้มีผลต่อร่างกายแต่อย่างใด

 

ถ้าพลังของออร่าศาสตร์ตงเสวียนสามารถกดดันอีกฝ่ายได้เหมือนกับที่เขาเผชิญหน้าอยู่ พลังนั้นก็จะไปถึงอีกระดับหนึ่ง

 

ขณะที่หานเซิ่นเดินหน้าต่อไป เขาได้ปล่อยให้แรงกดดันเข้ามาสู่ตัวเขาอย่างเต็มที่ เขาหวังว่าจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากคำทั้ง 2 นั้น

 

มันยากขึ้นเรื่อยๆที่หานเซิ่นจะก้าวเดินต่อไป ในตอนที่เขาไปถึงบันไดขั้นที่ 200 เขาก็จำเป็นต้องใช้พลังจำนวนมากเพื่อจะก้าวขาไปข้างหน้า

 

“ให้ข้าช่วยแบกเจ้าไปไหม?” กระเรียนพันขนเห็นว่าหานเซิ่นไปต่อไม่ไหวแล้ว เขาจึงตัดสินใจเข้ามาช่วย

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset