Super God Gene – ตอนที่ 1982

หานเซิ่นอยากจะนั่งตามลำพัง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่มีทางเลือกอื่น เพราะไม่ว่าตรงไหนบนชั้นที่ 6 ก็มีผู้คนเต็มไปหมด

 

โชคดีที่อวี้จิงไม่ได้พูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับการออกไปล่าซีโน่เจเนอิค เขาแค่ถามขึ้นมา “ศิษย์น้องหาน เจ้าจะเข้าร่วมการสอบของปราสาทนภาด้วยใช่ไหม?”

 

“การสอบอะไร?” หานเซิ่นถาม นี่ไม่ใช่โรงเรียนมัธยม ดังนั้นมันจะมีการสอบอะไรได้

 

“การสอบจะถูกจัดขึ้นในทุกปี และมันก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรถ้าเกิดสอบตก แต่ถ้าเจ้าทำได้ดี ผู้อาวุโสและผู้นำของปราสาทนภาก็อาจจะเกิดสนใจในตัวเจ้าขึ้นมา และถ้าเจ้าติด 1 ใน 3 อันดับแรก เจ้าก็จะได้รับรางวัลอีกด้วย ถ้าเจ้าทำคะแนนได้ดี ผู้อาวุโสก็อาจจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ ถึงแม้เจ้าจะเป็นคนนอกก็ตาม แต่แน่นอนว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีดอยู่แล้ว ถึงยังไงก็ตามรางวัลของคนที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ก็เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมอยู่ดี”

 

“รางวัลอะไร?” หานเซิ่นถาม

 

“สมบัติจะถูกมอบให้กับคนที่ติด 3 อันดับแรก และถ้าเจ้าได้อันดับที่หนึ่ง เจ้าก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งที่นั่นเจ้าจะเลือกวิชาจีโนได้หนึ่งวิชา”

 

เมื่อได้ยินอย่างนั้นหานเซิ่นก็หมดความสนใจอย่างรวดเร็ว เขายังมีวิชาจีโนของตัวเองที่จำเป็นต้องฝึกอีกหลายวิชา ถึงแม้วิชาจีโนของปราสาทนภาจะทรงพลัง แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะหาเวลามาฝึกพวกมันได้

 

เมื่ออวี้จิงเห็นว่าหานเซิ่นไม่สนใจ เขาก็มองไปรอบๆก่อนที่จะเข้าไปกระซิบข้างหูหานเซิ่น “ศิษย์น้องหาน ถ้าเจ้ามีเวลา ข้าอยากจะพูดคุยกับเจ้าเกี่ยวกับการสอบตามลำพัง บางทีพวกเราอาจจะร่วมมือกันได้”

 

หานเซิ่นมองไปที่อวี้จิง แต่อวี้จิงก็ทำท่าบอกให้เขาเงียบๆ หานเซิ่นจึงเดาว่าอวี้จิงต้องขอให้เขาทำการขี้โกงอะไรบางอย่างแน่ อวี้จิงถึงไม่ต้องการให้ใครได้ยินเรื่องนั้น

 

หลังจากนั้นอวี้จิงก็พูดกับหานเซิ่นอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องของการสอบอีก ในที่สุดสถานหยกขาวก็เปิดออกและปลดปล่อยลมปราณหยกออกมา เมื่อเห็นอย่างนั้นทุกคนก็ใช้สมาธิกับการดูดซับมันเข้าไป

 

หานเซิ่นใช้กายหยกเพื่อดูดซับลมปราณหยกเข้าไป พวกมันทั้งคู่มีคำว่าหยกเหมือนกัน ดังนั้นมันน่าจะเข้ากันได้ในระดับหนึ่ง

 

เมื่อหานเซิ่นใช้กายหยก ลมปราณหยกก็ไหวเวียนในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว วิชากายหยกสามารถดูดซับพวกมันเข้าไปอย่างง่ายดายและรวดเร็วยิ่งกว่าเรื่องราวของยีน

 

‘ว้าว! พวกมันเข้ากันได้จริงๆด้วย’ หานเซิ่นรู้สึกดี

 

หานเซิ่นเปลี่ยนไปใช้ศาสตร์ตงเสวียนและวิชาโลหิตชีพจรต่อ หลังจากนั้นเขาก็สังเกตว่าพวกมันดูดซับลมปราณหยกเข้าไปได้ช้ากว่าเรื่องราวของยีนมาก

 

“ดูเหมือนว่าเราจำเป็นต้องฝึกวิชากายหยกก่อน” หานเซิ่นเลิกเสียเวลาและใช้สมาธิกับการฝึกวิชากายหยก

 

ลมปราณหยกนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่มันไม่หนาแน่นพอ ถึงหานเซิ่นจะสามารถดูดซับพวกมันเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่วิชากายหยกของเขาก็พัฒนาไปอย่างช้าๆ ไม่นานเขารู้ตัวว่าทรายดาราจักรนั้นเหนือกว่าลมปราณหยกมาก

 

ก่อนที่ลมปราณหยกครั้งที่ 2 จะปะทุขึ้นมา หานเซิ่นก็เดินขึ้นไปยังชั้นที่ 7 วิชากายหยกของเขาเข้ากันได้ดีกับลมปราณหยก ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าจะทนต่อลมปราณหยกของชั้นที่ 7 ได้

 

แต่เมื่อหานเซิ่นขึ้นไปยังชั้นที่ 7 เขาก็ไม่เห็นกระเรียนพันขนหรือยวิ๋นซู่ซาง แม้แต่เฟิร์สเดย์ก็ไม่อยู่ที่นั่น

 

แต่มันมีคนหนุ่มคนหนึ่งอยู่บนชั้นที่ 7 บนตักของเขามีดาบหยกวางอยู่

 

ชายคนนั้นไม่ได้มองมาที่หานเซิ่น เขายังคงนั่งหลับตาอยู่ที่เดิมอย่างไม่สนใจโลกภายนอก หานเซิ่นก็ไม่ได้ชื่นชอบการพูดคุยเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงหามุมๆหนึ่งและนั่งลงเพื่อรอคอยลมปราณหยกปะทุรอบที่ 2

 

ลมปราณหยกของชั้นที่ 7 บริสุทธิ์มากกว่าลมปราณหยกของชั้นที่ 6 มันดีต่อวิชากายหยกของเขามากกว่า

 

ไม่มีคนอื่นขึ้นมาชั้นที่ 7 ดังนั้นสภาพแวดล้อมของชั้นที่ 7 จึงทำให้หานเซิ่นพอใจมากกว่า มันดีกว่าการนั่งอยู่บนชั้นที่ 6 ที่แออัดเป็นไหนๆ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ‘ถ้ารู้ว่าทนต่อมันได้ เราก็คงจะขึ้นมาที่นี่ตั้งแต่ลมปราณหยกปะทุรอบแรกแล้ว’

 

เมื่อลมปราณหยกรอบที่ 2 ปะทุขึ้นมา หานเซิ่นก็เริ่มใช้วิชากายหยกดูดซับมันเข้าไป

 

ลมปราณหยกของชั้นที่ 7 นั้นหนาแน่นกว่าอื่นๆ หานเซิ่นรู้สึกว่าลมปราณหยกไหลเวียนในร่างกายของเขา และมันช่วยให้วิชากายหยกของเขาพัฒนาขึ้น พวกมันดูดซับเข้าไปในกระดูกของเขา มันทำให้หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเหมือนกับหยก

 

มันมีความรู้สึกที่มหัศจรรย์เข้าไปในโครงกระดูกของหานเซิ่น แทนที่จะทำให้เขารู้สึกหนาวเย็น ลมปราณหยกกลับทำให้เขารู้สึกร้อนขึ้นมาแทน

 

แต่หานเซิ่นรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพมายา นั่นเป็นเพราะว่าลมปราณหยกไม่ได้ทำให้เขาเจ็บปวด แต่มันทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชาวขึ้นมา

 

หลังจากนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกว่าวิชากายหยกแปลกๆ มันบริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ

 

นี่เป็นสิ่งที่หานเซิ่นหวังเอาไว้ เขาเริ่มใช้วิชากายหยกอย่างไม่ต้องหยุดคิด

 

แต่ทันใดนั้นก็มีภาพประหลาดปรากฏขึ้นบนกำแพงหยกของชั้นที่ 7 พระอาทิตย์และพระจันทร์ปรากฏขึ้นในภาพนั้น กระดูกสีขาวก็เช่นกัน ดาบสายลมตัดผ่านพวกมัน

 

มันเหมือนกับว่ามีเทพเจ้าปรากฏตัวขึ้นในท้องฟ้า

 

สิ่งก่อสร้างลอยขึ้นราวกับว่ากำลังจะขึ้นไปสู่ท้องฟ้า

 

ระหว่างก้อนเมฆคือเมืองลึกลับเมืองหนึ่ง มันถูกซ่อนอย่างมิดชิด

 

รูปภาพเหล่านั้นปรากฏบนกำแพงหยก และพวกมันก็ทำให้ลมปราณหยกนั้นบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น

 

ชายหนุ่มที่ดูหยิ่งยโสลืมตาขึ้นมา ดวงตาของเขาเปล่งปลั่งขณะที่มองออกไปยังกำแพงหยก เขาดูตกตะลึง

 

ภาพบนกำแพงหยดเริ่มจะเปลี่ยนไป และเมืองที่อยู่ในภาพก็เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ มันมีราชาคนหนึ่งอยู่หน้าเมืองๆนั้น

 

เขาก้าวหนึ่งก้าวแล้วคุกเข่า จากนั้นเขาก็อีกก้าวสิบก้าวแล้วก้มลงกราบ มันเหมือนกับว่าเขาเป็นผู้ศรัทธาที่กำลังเดินเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์

 

เมื่อชายหนุ่มที่ดูหยิ่งยโสเห็นว่าบนกำแพงหยกแสดงภาพของเมืองที่อยู่ภายใต้หมู่เมฆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป

 

“5 เมือง?” ดวงตาของชายหนุ่มที่ดูหยิ่งยโสเป็นประกายขึ้นมา เขาจ้องไปยัง 5 เมืองที่อยู่บนกำแพง

 

ราชาหลายคนก้มลงต่อหน้าเมืองเหล่านั้น ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไป แต่หลังจากนั้นไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหล่าราชาที่อยู่ใกล้กับเมืองที่สุดกำลังสิ้นใจ และไม่นานพวกเขาก็หายไป

 

ประตูเมืองลึกลับทั้ง 5 ยังคงปิดสนิท ดูเหมือนว่าพวกมันปิดสนิทมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset