Super God Gene – ตอนที่ 1987

ปะการังสีแดง

 

กระเรียนพันขนคิดจะพูดอย่างอื่นอีก แต่ลมปราณหยกเริ่มจะปะทุออกมาแล้ว พวกเขาทั้ง 4 คนจึงหันไปใช้สมาธิในการดูดซับลมปราณหยกเข้าไป

 

เมื่อลมปราณหยกรอบแรกสิ้นสุดลง ยวิ๋นซู่อีก็ขึ้นมาบนชั้นที่ 7 หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันถึงเรื่องการสอบและการเข้าร่วมอย่างคาดไม่ถึงของไผ่เดียวดาย

“ในรอบที่ 6 ของเจ้า เจ้าจะต้องเจอกับไผ่เดียวดายคนนั้น นั่นจะเป็นการต่อสู้ที่หินสุดๆ ข้ากังวลแทนเจ้า แต่ต้องขอยอมรับว่าข้าคาดหวังที่จะได้เห็นมัน ถ้าเจ้าคิดจะไปต่อสู้ล่ะก็ ข้าจะต้องไปดูอย่างแน่นอน” กระเรียนพันขนยิ้ม

 

“ข้าเห็นด้วยกับที่ศิษย์พี่กระเรียนพูด” เฟิร์สเดย์พูด

 

หานเซิ่นถามอย่างสงสัย “ไผ่เดียวดายทำผิดอะไรถึงได้ถูกทรมานแบบนั้น?”

 

หานเซิ่นรู้ว่าการถูกทรมานแบบนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการถูกฆ่าซะอีก มันถือเป็นปาฏิหาริย์ที่ไผ่เดียวดายสามารถตื่นขึ้นมาได้หลังจากผ่านไป 10 ปี ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

ฝันร้ายเป็นพลังของซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า คนธรรมดาไม่มีทางจะทนต่อมันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขาประสบกับฝันร้ายเป็นเวลายาวนาน

 

“ผู้อาวุโสไม่ยอมพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้น พวกเราจึงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขารู้แค่ว่าเขาฝ่าฝืนกฎบางอย่าง” ยวิ๋นซู่ซางพูด

 

หลังจากที่พูดคุยกันสักพัก หานเซิ่นก็ได้ยินแต่คำว่าแข็งแกร่งและแข็งแกร่งมาก ซึ่งนั่นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อเขา

 

ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่ได้เก็บอะไรพวกนั้นไว้ในจิตใจ เขาไม่คิดว่าคนๆนั้นจะไร้เทียมทาน แต่จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอนั้น เขาจำเป็นต้องต่อสู้กับชายคนนั้นถึงจะรู้ความจริง มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเสียเวลาคิดเกี่ยวกับมันไปมากกว่านั้น

 

เมื่อลมปราณหยกรอบที่ 2 ใกล้จะปะทุ ยวิ๋นซู่อีก็กลับลงไปที่ชั้นที่ 4 ส่วนหานเซิ่นดูดซับลมปราณหยกอยู่บนชั้นที่ 7 เขาคิดว่าวิชากายหยกกำลังพัฒนาไปอย่างราบรื่น หานเซิ่นเชื่อว่ามันจะไปสู่ระดับเอิร์ลได้ ถ้าได้ดูดซับลมปราณหยกอีกสัก 10 รอบ

 

มันน่าเสียดายที่ลมปราณหยกปะทุขึ้นแค่ 2 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น

 

ซึ่งหลังจากที่นับเวลาดูแล้ว หานเซิ่นก็รู้ตัวว่ามันต้องใช้เวลาอีก 2-3 เดือน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วการพัฒนาจากไวเคานต์ไปสู่ระดับเอิร์ลในเวลาเพียง 2-3 เดือนนั้นถือว่าเป็นเหมือนกับปาฏิหาริย์

 

หลังจากที่ออกจากสถานหยกขาว หานเซิ่นก็มีแผนจะไปล่าซีโน่เจเนอิคที่เกาะโอลด์ไนท์ต่อ ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่นนอกจากเก็บสะสมยีนให้เต็ม

 

มันเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้นก่อนที่จะถึงการสอบ ซึ่งหานเซิ่นต้องการจะเก็บยีนระดับเอิร์ลให้เต็มก่อนที่จะถึงการสอบถ้าเป็นไปได้

 

ในขณะที่หานเซิ่นเตรียมจะออกเดินทางไปที่เกาะนั้น ยวิ๋นซู่อีก็เดินเข้ามาหาเขา

 

“หานเซิ่น เจ้ากำลังจะกลับไปที่เกาะของเจ้าอย่างนั้นหรอ?”

 

“ข้ากำลังจะไปที่เกาะโอลด์ไนท์เพื่อล่าซีโน่เจเนอิค” หานเซิ่นตอบ

 

“เจ้าพาข้าไปด้วยได้ไหม? ที่นั่นไม่ได้อันตรายอะไรเหมือนอย่างถ้ำเสวียนเยวี๋ยน ข้าเชื่อว่าข้าปกป้องตัวเองได้ และข้าก็จะไม่ขอส่วนแบ่งจากเจ้าอีกด้วย ข้าแค่อยากติดตามเจ้าไปด้วยเท่านั้น” ยวิ๋นซู่อีพูด

 

หานเซิ่นตอบตกลง เกาะโอลด์ไนท์ไม่ได้อันตรายอะไร และถ้าเธอไม่ได้คิดที่จะขอส่วนแบ่งอะไร หานเซิ่นก็ไม่คิดว่าการพาเธอไปด้วยจะเป็นเรื่องเสียหาย

เมื่อเห็นว่าหานเซิ่นตอบตกลง เธอก็ดูดีใจอย่างเห็นได้ชัด เธอยิ้มออกมาและพูด “เกาะโอลด์ไนท์นั้นไม่อนุญาตให้สัตว์ขี่ระดับเอิร์ลเข้าไป ดังนั้นข้าจึงขี่เสือปีกหยกไปไม่ได้ ข้าขอนั่งกระเรียนหยกรัตติกาลของเจ้าไปด้วยได้ไหม?”

 

“ได้แน่นอน มันแข็งแกร่งพอที่จะรับน้ำหนักคน 2 คนได้ เพียงแต่มันจะช้าหน่อยเท่านั้นเอง” หานเซิ่นยิ้ม

 

“ถึงมันจะช้าก็ไม่เป็นไร” ยวิ๋นซู่อีพูด

 

เมื่อกระเรียนไร้ขาเริ่มบินขึ้น หานเซิ่นก็กระโดดขึ้นบนหลังของมัน และยวิ๋นซู่อีก็ตามขึ้นไป

 

พื้นที่บนหลังของนกกระเรียนไร้ขานั้นมีค่อนข้างจำกัด พวกเขาจึงต้องนั่งแบบติดกัน ซึ่งนั่นทำให้ยวิ๋นซู่อีหน้าแดง

 

หลังจากนั้นพวกเขาก็หายตัวไปในหมู่เมฆ

 

นกกระเรียนไร้ขาบินลึกเข้าไปในเกาะโอลด์ไนท์หลายร้อยไมล์ แต่พวกเขาก็ยังไม่เจอซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลเลยสักตัว เวลาแบบนี้มันทำให้หานเซิ่นนึกถึงหวังอวี่ฮังขึ้นมา ถ้าหวังอวี่ฮังอยู่ที่นี่ หานเซิ่นก็ไม่จำเป็นต้องออกตามหาซีโน่เจเนอิคให้เหนื่อย เพราะพวกซีโน่เจเนอิคจะมาหาพวกเขาเอง

 

ขณะที่พวกเขาตามหาซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ล พวกเขาก็เห็นอะไรบางอย่างที่ส่องแสงอยู่บนยอดของภูเขา หานเซิ่นจึงรีบไปที่นั่นพร้อมกับยวิ๋นซู่อี ภูเขานั้นคลายคลึงกับดาบที่ตั้งสูงขึ้นไป 800 เมตร และมันก็มีพืชที่เหมือนกับปะการังสีแดงขึ้นอยู่ข้างบนนั้น

 

แสงที่พวกเขาเห็นเป็นแสงสะท้อนของพืชพวกนี้

 

เมื่อยวิ๋นซู่อีเห็นพวกมัน เธอก็ดูแปลกใจ “นี่คือพืชซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ล มันมีชื่อว่าปะการังโลหิต ซีโน่เจเนอิคนั้นหลงรักการกินพวกมัน เพราะพวกมันดีต่อการวิวัฒนาการของพวกซีโน่เจเนอิค พวกมันจะถูกกินเมื่อโตจนมีขนาดพอๆกับฝ่ามือ ต้นที่อยู่บนยอดสุดนั้นสูงถึง 3 เมตร แต่มันกลับยังไม่ถูกกิน นี่มันแปลกมากๆ”

 

หานเซิ่นมองไปที่ปะการังสีแดงและพูด “อ้า ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงยังไม่ถูกกิน มันมีซีโน่เจเนอิคที่แข็งแกร่งคอยปกป้องอยู่ ดังนั้นซีโน่เจเนอิคตัวอื่นจึงไม่กล้าเข้ามาใกล้”

 

“ข้าไม่เห็นซีโน่เจเนอิคที่ไหนเลย” ยวิ๋นซู่อีมองไปรอบๆ แต่เธอมองไม่เห็นอะไร

 

หานเซิ่นชี้ไปที่ปะการังสีแดงและพูด “ดูที่ปะการังสีแดง มันอยู่ที่นั่น”

 

ยวิ๋นซู่อีมองตามนิ้วของหานเซิ่นไปและเห็นกิ่งไม้ แต่มันไม่ใช่กิ่งไม้จริงๆ มันเป็นแมลงสีแดงที่พลางตัวเข้ากับปะการัง มันดูคล้ายคลึงกับตั๊กแตน มันกำลังคบเคี้ยวปะการังสีแดงอยู่

 

“นั่นมันตั๊กแตนโลหิตเทพ มันมีความยาวหนึ่งฟุตเท่านั้น แต่ถึงขนาดตัวของมันจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร มันก็เป็นซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลที่แข็งแกร่งมากๆ”
ขณะที่พูด สีหน้าของยวิ๋นซู่อีก็เปลี่ยนไป “ข้ารู้แล้ว! ตั๊กแตนตัวนี้เฝ้าปะการังเอาไว้ก็เพราะมันต้องการจะวิวัฒนาการ แต่มันไม่ได้จะพัฒนาไปเป็นมาร์ควิส แต่มันกำลังจะกลายพันธุ์ พวกเราควรจะฆ่ามันก่อนที่มันจะกินปะการังนั่น!”

 

หานเซิ่นรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขายิ้มและพูดออกมา “ถ้ามันต้องการจะกลายพันธุ์ ก็ปล่อยให้มันได้กลายพันธุ์”

 

ยวิ๋นซู่อีต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของหานเซิ่น เธอก็ไม่คิดจะพูดอะไรอีก ถ้าหานเซิ่นบอกว่ามันไม่เป็นอะไรล่ะก็ เธอก็จะเชื่อใจเขา

 

ตั๊กแตนโลหิตเทพกินปะการังสีแดงเข้าไปอย่างช้าๆ พวกเขารอคอยอยู่หนึ่งชั่วโมง แต่ตั๊กแตนก็กินได้เพียงแค่ส่วนน้อยของพืชเท่านั้น แต่ทันใดนั้นร่างของมันก็เรืองแสงออกมาราวกับทับทิมที่มันเงา

 

“หานเซิ่น เจ้าเป็นคริสตัลไลเซอร์ แต่เจ้ายังเป็นลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีด เจ้าคิดที่จะแต่งงานกับคริสตัลไลเซอร์หรือรีเบท?” ยวิ๋นซู่อีถามขึ้นมาเล่นๆ

 

“ข้ามีภรรยาอยู่แล้ว นางเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับข้า” หานเซิ่นตอบอย่างขาดความกระตือรือร้นขณะมองไปที่เจ้าตั๊กแตน

 

ยวิ๋นซู่อีดูผิดหวัง เธอถามขึ้นมา “ทำไมเจ้าไม่พาภรรยาของเจ้ามาด้วย?”

 

“ลูกของข้ายังเด็ก นางต้องคอยดูแลพวกเขา ข้าเลยให้นางอยู่ที่บ้าน” หานเซิ่นตอบ

 

“เจ้ามีลูกอย่างนั้นหรอ?” ดวงตาของยวิ๋นซู่อีเบิกกว้าง

 

“ใช่แล้ว ข้ามีลูกสืบสายเลือด 2 คน ส่วนอีกคนเป็นลูกบุญธรรม” หานเซิ่นตอบ

 

หัวใจของยวิ๋นซู่อีแตกสลาย เธอพบว่าตัวเองหายใจได้ลำบาก เธอมองหานเซิ่นและถอนหายใจออกมา แต่เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเป็นเวลานาน

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset