Super God Gene – ตอนที่ 1996

หนึ่งดาบปลุกปีศาจ

“ว้าว! หมอนี่มีพลังเสียงที่ทรงพลังด้วยหรอเนี่ย?” ผู้ชมต่างก็อ้าปากค้าง

 

ยวิ๋นซู่อีดีใจอย่างมาก เธอหันไปหายวิ๋นฉางคงและถาม
“ท่านพ่อ นี่หมายความว่าหานเซิ่นผ่านการทดสอบของไผ่เดียวดายใช่ไหม?”

 

“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น” ยวิ๋นฉางคงมองไปยังตัวอักษรที่หานเซิ่นเขียน แต่เนื่องจากเขาไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องพลังเสียง เขาจึงไม่สามารถตัดสินอย่างแม่นยำได้

 

“มันถึงตาของเจ้าแล้ว” ไผ่เดียวดายมองคำที่หานเซิ่นเขียน เขาดูประหลาดใจอยู่ชั่วขณะ แต่ใบหน้าของเขาก็กลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว

 

หานเซิ่นรู้สึกดีใจ เขาได้เรียนรู้วิชาดาบหกวิถีมาจากจักรพรรดิหกวิถี และในหมู่พวกมันก็มีดาบเสียงอยู่ มันเป็นอะไรที่โชคดี ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะเป็นฝ่ายแพ้ไปแล้ว

 

วิชาดาบของหกวิถีนั้นแข็งแกร่ง พวกมันไม่ได้แย่ไปกว่าวิชาที่ถูกฝึกในจักรวาลจีโนเลย ถ้าหกวิถีเกิดในที่แห่งนี้ เขาก็คงจะนักดาบที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างแน่นอน

 

เมื่อคิดเกี่ยวกับวิชาดาบของหกวิถี หานเซิ่นก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
‘ดาบจิตวิญญาณของหกวิถีจะกระตุ้นเศร้าหมองและทำลายจิตใจของคู่ต่อสู้ มันจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในความเศร้าโศก ซึ่งไผ่เดียวดายนั้นประสบอะไรมามาก ดังนั้นเขาจะต้องเคยรู้สึกโศกเศร้ามาก่อน ยิ่งคนๆนั้นเศร้าหมองมากเท่าไหร่ มันก็จะมีประสิทธิภาพมากเท่านั้น บางทีมันอาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้เราชนะได้’

 

หานเซิ่นมองไปที่ไผ่เดียวดายและยิ้มออกมา “ข้ามีวิชาดาบอยู่วิชาหนึ่ง เจ้าอยากจะดูมันไหม?”

 

“เชิญ” ไผ่เดียวดายตอบ

 

หานเซิ่นเริ่มเคลื่อนไหว ในตอนที่เขาเรียนรู้วิชาดาบของหกวิถี เขาได้ฝึกวิถีดาบหัวใจก่อน นั่นทำให้เขาเคยชินกับวิถีดาบหัวใจอย่างมาก วิถีอื่นนั้นๆไม่สามารถเทียบได้กับความเชี่ยวชาญของเขาในวิถีนี้

 

หานเซิ่นประกบนิ้วชี้และนิ้วกลางเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นเขาก็ชี้มันออกไปที่หน้าผากของไผ่เดียวดาย

 

ไผ่เดียวดายไม่ได้หลบ เขายืนอย่างสงบนิ่งและมองดูการแสดงของหานเซิ่น แต่เมื่อนิ้วมือของหานเซิ่นปล่อยดาบแสงมาสู่หน้าผากของเขา สีหน้าของไผ่เดียวดายก็เปลี่ยนไป

 

เหล่าราชันของปราสาทสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของไผ่เดียวดาย มันทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจ พวกเขาไม่รู้ว่าวิชาดาบที่หานเซิ่นใช้มีความพิเศษยังไง ถึงได้ทำให้สีหน้าของไผ่เดียวดายเปลี่ยนแปลงไปแบบนั้น

 

ในสายตาของคนทั่วๆไปหรือแม้แต่ราชันเอง พวกเขาก็คิดว่ามันเป็นแค่การโจมตีธรรมดาที่ดูจะไม่ได้มีอะไรพิเศษ

“นี่คืออะไร? มันมีความแตกต่างอะไรอย่างนั้นหรอ? ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีพลังพิเศษอะไรอยู่ในดาบแสงที่หานเซิ่นปล่อยออกมาเลย”

 

“ถ้าเจ้าเห็นมัน เจ้าก็คงจะกลายเป็นไผ่เดียวดายอีกคนแล้ว”

 

วินาทีต่อมา นิ้วมือของหานเซิ่นก็ไปอยู่บนหน้าผากของไผ่เดียวดาย หลังจากนั้นเขาก็ดึงมือกลับและถอยออกมายืนที่จุดเดิม

 

สีหน้าของไผ่เดียวดายดูย่ำแย่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงราวกับว่าเขาพยายามจะควบคุมตัวเองเอาไว้ แต่พลังอันน่ากลัวในตัวของเขากำลังหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ พลังในร่างกายของเขาเป็นเหมือนกับอสูรที่กำลังบ้าคลั่งอยู่ในตัวของเขา ถึงแม้เขาจะปล่อยมันเล็ดลอดออกมาเพียงแค่นิดเดียว แต่มันก็เป็นอะไรที่ดูน่าสะพรึงกลัว

 

“โอ้ ไม่นะ! การโจมตีของหานเซิ่นปลุกปีศาจในตัวของไผ่เดียวดาย” ยวิ๋นฉางคงหน้าถอดสีไป

 

“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีและคนอื่นไม่เข้าใจ พวกเขาจึงหันไปหายวิ๋นฉางคง

 

ยวิ๋นฉางคงมีสีหน้าที่ซับซ้อน เขาอธิบาย “จิตใจที่ถูกทรมานของไผ่เดียวดายกำลังเจ็บปวดขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้เขาจะผ่านพ้นฝันร้ายเป็นหมื่นครั้งมาได้ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่ง แต่มันก็ไม่มีวันที่จิตใจของเขาจะรู้สึกสงบสุข มันเหมือนกับตอนที่เกิดน้ำท่วมและจำเป็นต้องสร้างเขื่อนขึ้นมาเพื่อหยุดการไหลของน้ำเอาไว้”

 

“น้ำทั้งหมดยังคงถูกกักเก็บอยู่ที่เดิมและไม่ได้หายไปไหน ยิ่งเขาพยายามหยุดความคิดเหล่านั้นมากเท่าไหร่ ความโศกเศร้าที่เขาจะรู้สึกก็มากขึ้นเท่านั้น ลองจินตนาการถึงความน่ากลัวในการมีชีวิตที่เลวร้ายเป็นหมื่นชีวิตอยู่ในจิตใจดู”

 

“แต่ที่สุดแล้วเขาก็อดทดต่อฝันร้ายทั้งหมื่นและรอดจากความเศร้าโศกมาได้ แต่วิชาดาบของหานเซิ่นดูเหมือนจะไปกระตุ้นความเศร้าหมองของเขาให้แสดงออกมา อารมณ์ที่ถูกเก็บเอาไว้เป็นเวลาหมื่นๆปีจะถูกระเบิดออกมา มันน่ากลัวยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้สึกในชีวิต อารมณ์ที่ถูกปลดปล่อยออกมานี้อาจจะทำลายจิตใจของเขาได้เลย ซึ่งไผ่เดียวดายอาจจะ…” ยวิ๋นฉางคงหยุดพูด เขาดูกังวล

 

ไผ่เดียวดายหายใจออกมาราวกับอสูรร้าย พร้อมกับมีเส้นเลือดสีเขียวนูนขึ้นมา เขาสูญเสียความสงบก่อนหน้านี้ไปจนหมด เขาดูเหมือนกับปีศาจที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากกรงขัง เพียงแค่มองก็ทำให้ผู้ชมหลายๆคนรู้สึกหวาดกลัวแล้ว

 

ไผ่เดียวดายคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า อารมณ์ที่ถูกเก็บเอาไว้ในตัวของเขาระเบิดออกมา

 

มันปกคลุมสนามประลองด้วยความรู้สึกที่น่ากลัวจนยากจะบรรยายได้ แม้แต่ศิษย์ของปราสาทนภาที่อยู่บนอัฒจันทร์ก็สามารถรู้สึกถึงมันได้ คนที่มีจิตใจอ่อนแอเริ่มที่จะร้องไห้ออกมา พวกเขารู้สึกสิ้นหวังและอยากตาย

 

บารอนหลายคนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ พวกเขาชักดาบออกมาและชี้ไปที่คอของตัวเอง พวกเขารู้สึกกับว่ามันไม่มีความหวังอีก และที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแค่ความโศกเศร้าเท่านั้น พวกเขารู้สึกราวกับว่าไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไมอีกแล้ว และความตายก็คือสิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการ

 

ทันใดนั้นก็มีพลังบางประหลาดพุ่งออกมาจากปราสาทและเข้าปกคลุมสนามประลอง มันแยกไผ่เดียวดายออกจากโลกภายนอก

 

ผู้ชมที่กำลังจะเฉือนคอตัวเองตื่นจากหมดสะกด พวกเขารู้สึกหวาดกลัวจากสิ่งที่เกิดขึ้น

 

ในสนามประลองไผ่เดียวดายจ้องมองหานเซิ่นด้วยใบหน้าที่ดูน่ากลัว

 

หานเซิ่นไม่ได้คาดคิดว่าความโศกเศร้าของไผ่เดียวดายจะหนักอึ้งถึงขนาดนี้ มันเกินความคาดหมายของเขามาก และเขาก็รู้สึกเสียใจที่ทำอย่างนั้นไป ถ้าไผ่เดียวดายไม่สามารถทนต่อมันได้และพยายามฆ่าตัวตาย ถึงแม้ยอดฝีมือของปราสาทนภาจะสามารถช่วยเขาเอาไว้ได้ เขาก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยจิตใจที่แตกสลาย

 

หานเซิ่นต้องการจะชนะก็จริง แต่เขาไม่ได้ต้องการที่จะทำลายไผ่เดียวดายแบบนั้น

 

แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว อารมณ์ที่ถูกกักเก็บเอาไว้ของไผ่เดียวดายถูกปลดปล่อยออกมา ซึ่งแม้แต่หานเซิ่นก็ไม่สามารถหยุดมันเอาไว้ได้

 

“พ่อ มันกำลังเกิดอะไรขึ้น” ยวิ๋นซู่ซางถามด้วยเสียงที่สั่น

 

สีหน้าของยวิ๋นฉางคงดูหม่นหมอง เขาพูดขึ้นอย่างช้าๆ
“พรสวรรค์ของหานเซิ่นน่ากลัวเกินไป เขากระตุ้นความโศกเศร้าของไผ่เดียวดายออกมาอย่างสมบูรณ์ มันทำให้ปีศาจของไผ่เดียวดายถูกปลุกขึ้นมา นี่มันจะนำไปสู่ความเป็นไปได้ 2 อย่าง หนึ่งเขาเอาชนะปีศาจในจิตใจของตัวเองได้และได้สติกลับคืนมา อีกอย่างหนึ่งก็คือเขาพ่ายแพ้ให้กับมัน ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาอาจจะพยายามฆ่าตัวตายหรือแม้แต่ฆ่าผู้อื่น”

“ไผ่เดียวดายจะเอาชนะปีศาจในตัวของเขาได้ไหม?” กระเรียนพันขนถาม

 

“ยาก!” ยวิ๋นฉางคงพูดออกมาแค่คำเดียว

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset