Super God Gene – ตอนที่ 1998

การต่อสู้ระหว่างมีดและดาบ

เสียงการปะทะกันของมีดและดาบดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทคนิคที่หานเซิ่นและไผ่เดียวดายใช้เป็นอะไรที่เรียบง่าย แต่พวกมันก็เป็นอะไรที่ร้ายแรงเช่นกัน

 

การต่อสู้ก่อนหน้านี้เป็นอะไรที่น่าทึ่งก็จริง แต่มันไม่ใช่การต่อสู้จริงๆ พวกเขาเพียงแค่ประลองวิชากันเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขากำลังต่อสู้กันจริงๆ การเคลื่อนไหวของพวกเขาเรียบง่ายและชัดเจน มันไม่ได้มีท่วงท่าอะไรที่พิเศษ แต่ทุกการโจมตีเป็นอะไรที่น่ากลัวอย่างมาก การพลาดเพียงแค่นิดเดียวนั้นหมายถึงความเป็นความตาย

 

เคร๊ง! เคร๊ง! เคร๊ง!

 

มีดและดาบยังคงปะทะกันอย่างต่อเนื่อง จิตแห่งดาบและจิตแห่งมีดของนักสู้ทั้ง 2 ปกคลุมทั่วสนามประลอง

 

จิตใจของพวกเขาทั้งคู่กำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป และทันใดนั้นพวกมันก็พัฒนาสู่การต่อสู้ระดับราชัน พวกเขาเป็นเหมือนกับม้าคลั่งที่ไม่สามารถหยุดวิ่งได้

 

“จิตใจของพวกเขากำลังแข็งแกร่งขึ้น นี่มันขี้โกงชัดๆ นี่พวกเขากำลังจะพัฒนาสู่ระดับเทพเจ้า ขณะที่พวกเขายังเป็นแค่ระดับเอิร์ลอย่างนั้นหรอ?”

 

“ที่จิตใจของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น มันเป็นเพราะความโศกเศร้าผลักดันพวกเขาไปข้างหน้า พวกเขาไม่อาจจะหนีผลกระทบของมันที่มีตัวพวกเขาได้”

 

“ถ้าพวกเขาเป็นแค่เอิร์ล แล้วทำไมการต่อสู้ของพวกเขาถึงได้เหนือกว่าระดับของพวกเขามากนัก?”

 

“น่าเสียดาย ถ้าพวกเขายังต่อสู้ต่อไป มันจะไม่มีผู้ชนะ แต่มันจะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายที่เหลือรอด”

 

“แต่ถ้าพวกเขาไม่ต่อสู้ มันก็จะเกิดโศกนาฏกรรมอยู่ดี สำหรับตอนนี้ไผ่เดียวดายยังมีศรัทธาอยู่ แต่ถ้าพวกเขาหยุดต่อสู้กัน ไผ่เดียวดายก็จะถูกความโศกเศร้ากลืนกิน”

 

“หลังจากที่การต่อสู้ครั้งนี้จบลง มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะดำเนินการสอบต่อไป มันไม่มีใครในระดับเอิร์ลอีกแล้วที่จะต่อกรกับพวกเขาได้”

 

ยวิ๋นซู่อีรู้สึกหวาดกลัว เธอจับไหล่ของยวิ๋นซู่ซาง หัวใจของเธอเต้นรัวเช่นเดียวกับเสียงปะทะกันของมีดและดาบ สีหน้าของเธอดูซีดเซียว

 

ยวิ๋นซู่ซางช่วยพยุงเธอเอาไว้

 

“ท่าอาจารย์ ถ้าพวกเขายังต่อสู้กันต่อไป ความโศกเศร้าก็จะส่งผลต่อพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราควรจะหยุดพวกเขาไหม?”
กระเรียนพันขนเห็นว่าสถานการณ์ของพวกเขาทั้ง 2 เป็นอะไรที่ย่ำแย่

 

ยวิ๋นฉางคงส่ายหัว “มันสายเกินไปแล้วที่พวกเขาจะถอย ถ้าพวกเราทำอย่างนั้นพวกเขาจะต้องตาย สำหรับตอนนี้พวกเขาทำได้แต่เดินหน้าต่อไปเท่านั้น พวกเขากำลังเดินหน้าสู่ขุมนรก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป พวกเขาจำเป็นต้องรอดจากการปลดปล่อย แบบนั้นพวกเขาก็ยังมีโอกาสอยู่”

 

“รอดจากการปลดปล่อย?” ยวิ๋นซู่อีรีบถามขึ้นมา

 

ยวิ๋นฉางคงถอนหายใจและพูด “ความโศกเศร้าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่พวกเขาต่อสู้กัน แต่มันก็เป็นการปลดปล่อยพลังงานด้านลบออกมาด้วยเช่นกัน ไผ่เดียวดายเก็บกดมาเป็นเวลายาวนาน ตอนนี้ถ้าเขาปลดปล่อยพวกมันทั้งหมดออกมาได้ มันก็มีหวังที่เขาจะรอด ถึงมันจะเป็นเรื่องยาก แต่มันไม่มีอะไรอย่างอื่นที่เขาจะทำได้อีกแล้ว”

 

“แล้วหานเซิ่นล่ะ? เขาจำเป็นต้องปลดปล่อยพลังงานด้านลบออกมาไหม?” ยวิ๋นซู่อีถาม

 

ยวิ๋นฉางคงส่ายหัว “สำหรับเขามันกลับกัน เขาไม่จำเป็นต้องปลดปล่อยอะไร ตอนนี้เขาถูกความโศกเศร้าของไผ่เดียวดายเข้าครอบงำ ดังนั้นหานเซิ่นต้องต่อสู้เพื่อป้องกันไม่ให้ความรู้สึกของไผ่เดียวดายทำลายจิตใจของเขา ตอนนี้เขากำลังต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเอง”

 

“สถานการณ์นี้จะจบยังไงมันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวหานเซิ่น ถ้าเขาพ่ายแพ้ให้กับปีศาจในหัวใจของไผ่เดียวดาย ไผ่เดียวดายก็จะสูญเสียจุดประสงค์ของตัวเองและพ่ายแพ้ให้กับปีศาจเช่นเดียวกัน และถึงแม้หานเซิ่นจะต่อต้านปีศาจนั้นได้ ถ้าหานเซิ่นเกิดพ่ายแพ้ต่อไผ่เดียวดาย ผลลัทธ์ก็จะออกมาเหมือนเดิม ดังนั้นหานเซิ่นจะพ่ายแพ้ต่อตัวเองหรือไผ่เดียวดายไม่ได้เด็ดขาด”

 

เมื่อได้ยินยวิ๋นฉางคงพูดอย่างนั้น ยวิ๋นซู่อีก็กังวลมากขึ้นกว่าเดิม

 

จิตใจของทั้ง 2 นั้นแข็งแกร่งมาก และถึงจะมีม่านพลังระดับราชันครอบเอาไว้ มันก็ยังคงรั่วไหลออกมาอยู่ดี ศิษย์ของปราสาทนภาหลายคนได้รับผลกระทบ พวกเขาต้องการที่จะตายหรือทำลายอะไรสักอย่าง

 

มันมีก้อนเมฆก้อนหนึ่งลอยอยู่เหนือสนามประลอง ภายในก้อนเมฆสีขาวนั้นมีอสูรตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ก้อนเมฆนั่นเริ่มแพร่ขยายออกราวกับน้ำและเข้าปกคลุมทั้งสนามประลอง เพื่อที่ผู้ชมจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร

 

อสูรตัวนั้นคือดรีมบีสต์ เมื่อเห็นความรู้สึกของหานเซิ่นและไผ่เดียวดายกำลังพัฒนาเหนือกว่าระดับของราชัน และเหล่าราชันไม่สามารถจะต้านความรู้สึกที่ออกมาจากพวกเขาทั้ง 2 ได้อีก ดรีมบีสต์จึงออกมาช่วยกักเก็บอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาทั้งคู่ มันทำให้แน่ใจว่าความโศกเศร้าของไผ่เดียวดายจะไม่รั่วไหลออกไปส่งผลกระทบต่อศิษย์ของปราสาทนภาที่อยู่รอบๆ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเก็บความเศร้าโศกแบบนั้นและเดินหน้าต่อไปได้

 

มีดของหานเซิ่นเคลื่อนไหวอย่างบ้าระห่ำ และจิตแห่งมีดของเขากำลังออกมาอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายของเขาเป็นเหมือนกับอสูรที่สามารถฉีกมิติจนขาดสะบั้น

 

หานเซิ่นได้รับจิตแห่งมีดระดับเทพเจ้ามาจากฝักมีดที่เจอในสุสานปีศาจ แต่มันไม่ได้เป็นของของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจะใช้พลังของมันได้จนถึงขีดสุด

 

แต่ตอนนี้ภายใต้การถูกกลืนกินจากความโศกเศร้าของไผ่เดียวดาย หานเซิ่นก็ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาต่อกรกับคู่ต่อสู้ตรงหน้า มันทำให้เขาเข้าใจจิตแห่งมีดของวิชามีดเขี้ยวดาบมากขึ้นกว่าเดิม มันกำลังปรับตัวเข้ากับหานเซิ่น แต่ก่อนจิตแห่งมีดก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง แต่ตอนนี้มันกำลังกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสัญชาตญาณของเขา

 

จิตแห่งมีดของวิชามีดเขี้ยวดาบนั้นจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แต่การทำลายล้างอันบ้าคลั่งของมันก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปภายใต้ความเศร้าโศกของไผ่เดียวดาย

 

เมื่อหานเซิ่นผสานเข้ากับจิตแห่งมีดของวิชามีดเขี้ยวดาบ มีดเขี้ยวผีสิงของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก

 

ที่มีดเขี้ยวผีสิงติดตามหานเซิ่นนั่นเป็นเพราะจิตแห่งมีดระดับเทพเจ้าที่เขามีอยู่ มันไม่ใช่เพราะตัวหานเซิ่นเอง และด้วยความสามารถในการใช้จิตแห่งมีดระดับเทพเจ้าที่ถูกจำกัด เขาจึงไม่สามารถจะปลดล็อคพลังที่แท้จริงของมีดเขี้ยวผีสิงได้

 

แต่เมื่อหานเซิ่นรวมเป็นหนึ่งกับจิตแห่งมีดระดับเทพเจ้า พลังที่แท้จริงของมีดเขี้ยวผีสิงก็ตื่นขึ้นมา

 

ตูม!

 

หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่หลั่งไหลออกมาจากมีดเขี้ยวผีสิง แต่ในขณะเดียวกันรอยบนหน้าผากของไผ่เดียวดายก็เริ่มเปิดออก ดวงตัวอีกดวงเปิดขึ้นบนหน้าผากของไผ่เดียวดายและเริ่มมีเลือดไหลออกมาจากดวงตานั้น

 

หานเซิ่นเคยเห็นดวงตาดวงที่ 3 ของกระเรียนพันขนมาก่อน ซึ่งมันกระจ่างใส แต่ของไผ่เดียวดายนั้นต่างออกไป

 

ดวงตาดวงที่ 3 ของไผ่เดียวดายเต็มไปด้วยจิตสังหาร เพียงแค่มองมันก็มากพอที่จะทำให้วิญญาณของคนๆนั้นสั่นกลัว

 

เมื่อดวงตาดวงที่ 3 ของไผ่เดียวดายเปิดออก พลังของเขาก็เพิ่มขึ้น และด้วยความเร็วกับพละกำลังที่น่าเหลือเชื่อ เขาก็เทเลพอร์ตมาตรงหน้าหานเซิ่น

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset