Super God Gene – ตอนที่ 2099

แสงสีแดงฉีกผ่านก้อนเมฆบนท้องฟ้า มันเป็นเหมือนกับภูเขาไฟที่ปะทุขึ้นโดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุดลง

 

“ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าในอนาคตต้องมาจบชีวิตลงในตอนนี้ มันเป็นอะไรที่น่าเสียดายยิ่งนัก”

ข่านมองไปที่แสงสีแดงบนท้องฟ้า หลังจากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาราวกับว่าเขารู้สึกเวทนาจากใจจริง

 

“แต่นั่นคือสัจธรรมของโลกใบนี้ อัจฉริยะมากมายตายไปและกลายเป็นแค่ความทรงจำที่ลืมเลือน คนที่อยู่รอดและกลายเป็นเทพเจ้าได้สำเร็จนั้นไม่ได้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอไป แต่พวกเขาเป็นคนที่เอาตัวรอดได้ดีที่สุด น่าเสียดายที่ชีวิตของพวกเจ้าต้องจบลงเพียงเท่านี้” ข่านพูดกับตัวเองขณะที่มองแสงสีแดงที่กำลังจะจางหายไป

 

ไนท์โกสต์ที่เหลือรอดอยู่ร่วงลงมาที่พื้นหมดแล้ว พวกเขาสูญเสียเลือดมากเกินไป ร่างกายของพวกเขาสั่นรัวและไม่เหลือกำลังอีก จากไนท์โกสต์นับหมื่น ตอนนี้เหลือเพียงแค่ 4-5 พันคนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่

 

ดยุกสลีปเลสส์จ้องมองหอกเลือดปีศาจในมือและสังเกตเห็นว่ามันเป็นอาวุธที่ดูธรรมดาๆหลังจากที่ปลดปล่อยพลังออกไปแล้ว หลังจากนั้นเธอก็หันไปมองสภาพไนท์โกสต์ที่เหลือรอดอยู่ ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้วที่พวกเขาจะฝ่าการป้องกันของปราสาทนภาและไปเข้าร่วมกับเผ่าเดม่อน

 

“อย่างน้อยๆฝันร้ายก็จบลงแล้ว” ดยุกสลีปเลสส์ถอนหายใจ แต่ในจังหวะที่เธอจะคืนหอกให้กับข่าน เธอก็หยุดชะงักไป ดวงตาของเธอเบิกกว้างขณะที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

เมื่อแสงสีแดงเลือนหายไปจนหมดแล้ว ดยุกสลีปเลสส์ก็เห็นแสงสีฟ้าทรงกลมลอยอยู่ในอากาศ ซึ่งมันก็คือโล่โปร่งใสสีฟ้าของหานเซิ่น

 

ถึงแม้มันจะถูกพลังของหอกเลือดปีศาจเข้าเต็มไปเต็มๆ แต่โล่สีฟ้าก็ยังไม่แตกสลาย แถมผิวของมันยังใสสะอาดราวกับว่าไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

 

หานเซิ่นและทั้ง 2 คนยังคงอยู่ภายในโล่เช่นเดิม พวกเขานั่งพักอย่างผ่อนคลายราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“เป็นไปไม่ได้” ข่านเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่ดวงตากำลังมองเห็น

 

หอกเลือดปีศาจเป็นอาวุธระดับราชัน แต่แล้วมันกลับไม่สามารถทำลายโล่ป้องกันที่มาร์ควิสคนหนึ่งสร้างขึ้นมาได้ นี่มันไม่สมเหตุสมผลสำหรับเขา ถึงแม้โล่ป้องกันจะเกิดจากสมบัติระดับราชันหรือเทพเจ้า แต่ด้วยพลังที่จำกัดของหานเซิ่น มันก็ไม่ควรจะแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้

 

ดยุกสลีปเลสส์ต้องจ่ายเลือดของไนท์โกสต์ไปไม่รู้กี่พันคนเพียงเพื่อจะใช้พลังระดับราชัน แต่โล่ป้องกันของหานเซิ่นกลับยังคงสภาพอยู่ได้ โดยที่เขาไม่มีร่องรองความความเหนื่อยล้าหรือต้องสังเวยอะไรเลย

 

นี่เป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลในสายตาของพวกเขา เพราะแม้แต่สมบัติระดับเทพเจ้าก็ไม่ควรจะทำอะไรแบบนั้นได้

 

ข่านและดยุกสลีปเลสส์ไม่มีทางรู้ได้ว่าที่หานเซิ่นใช้นั้นไม่ใช่สมบัติซีโน่เจเนอิค แต่เป็นวิญญาณอสูร

 

“ดูเหมือนว่าในตอนนี้พวกเราไม่จำเป็นต้องหนีอีกแล้ว”

หานเซิ่นเรียกใบเสมาของราชาแมลงปีศาจกลับและชักมีดเขี้ยวผีสิงออกมา หลังจากนั้นเขาก็กระพือปีกและบินกลับลงไปที่ดาวไนท์โกสต์

 

ไผ่เดียวดายเองก็ตามหานเซิ่นกลับลงไปพร้อมกัน

 

หอกเลือดปีศาจได้ใช้พลังของเหล่าไนท์โกสต์ไปจนหมด ตอนนี้มันจึงไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาต้องหนีอีกต่อไป

 

เมื่อเห็นหานเซิ่นและไผ่เดียวดายกำลังบินลงมา พวกไนท์โกสต์ก็ต้องการจะเข้าไปหยุดทั้ง 2 คนเอาไว้ แต่พวกเขาสูญเสียเลือดมากเกินไป ทำให้พวกเขาไม่เหลือเรี่ยวแรงจะต่อสู้อีก

 

มีดลมปราณสีม่วงเข้มฉีกร่างของไนท์โกสต์ที่อ่อนแอขาดเป็นชิ้นๆด้วยพลังเขี้ยว

 

“ซีโน่เจเนอิคไนท์โกสต์ระดับมาร์ควิสถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ”

“ซีโน่เจเนอิคไนท์โกสต์ระดับมาร์ควิสถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ”

“ซีโน่เจเนอิคไนท์โกสต์ระดับมาร์ควิสถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ คุณได้รับวิญญาณอสูรไนท์โกสต์”

 

ร่างของไนท์โกสต์มากมายถูกเฉือนเป็นชิ้นๆด้วยมีดเขี้ยวผีสิง เสียงประกาศดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวของหานเซิ่น ขณะที่เขาไล่ฆ่าพวกไนท์โกสต์

 

นิ้วทั้งสิบของไผ่เดียวดายเป็นเหมือนกับดาบในตัวเอง ดาบแสงถูกฟันออกไปราวกับตาข่ายและสังหารไนท์โกสต์ทุกคนตรงหน้าของเขา

 

“ไม่!” ดยุกสลีปเลสส์รู้สึกหน้ามืดจนเกือบจะเป็นลมไป การสังเวยตั้งมากมายของเธอนั้นสูญเปล่า และมันยังทำให้เหล่าไนท์โกสต์ทั้งหมดตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถต่อสู้ได้อีก

 

ดยุกสลีปเลสส์ร้องคำรามออกมา และด้วยจิตใจที่ไม่หวาดกลัวต่อความตาย เธอวิ่งเข้าไปหาหานเซิ่น

 

“เจ้าจัดการทั้งหมดนี่ได้สินะ” หานเซิ่นกระพือปีกและเทเลพอร์ตผ่านดยุกสลีปเลสส์ไป เขามุ่งหน้าไปหาข่านที่กำลังพยายามจะหนีไป

 

ดยุกสลีปเลสส์ต้องการจะฆ่าพวกเขาก็จริง แต่คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดคือข่าน หานเซิ่นไม่คิดจะปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้

 

ข่านเห็นหานเซิ่นไล่ตามมาจากด้านหลัง และถึงเขาจะรวดเร็ว แต่เขาก็ไม่ได้รวดเร็วอย่างหานเซิ่น

 

“หานเซิ่น เจ้าอาจจะชนะในครั้งนี้ แต่ครั้งหน้าที่เราพบกัน เจ้าจะไม่โชคดีแบบนี้” ข่านนำกล่องโลหะกล่องหนึ่งออกมาและขว้างมันลงตรงหน้า

 

ฟันเฟืองภายในกล่องโลหะที่ดูเหมือนกับเครื่องจักรเริ่มหมุนวนและกลายเป็นนกยูงโลหะ

 

“ไป!” ข่านสั่งนกยูงโลหะ มันกางปีกออกและหางของมันก็เรืองแสงสีเขียวออกมา มันเริ่มบินออกไปด้วยความเร็วราวกับจรวด ทำให้ระยะห่างระหว่างข่านและหานเซิ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“การจะหนีไปไม่ได้ง่ายแบบนั้นหรอก” หานเซิ่นลูบหัวของเป่าเอ๋อ หลังจากนั้นเป่าเอ๋อก็เรียกน้ำเต้าของเธอและปลดปล่อยคลาวด์บีสต์สีแดงออกมา

 

“เจ้าเมฆน้อย ถ้าเจ้าอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไล่ตามชายคนนั้นไป ไม่อย่างนั้นข้าจะขังเจ้าไปอีก 500 ปี” หานเซิ่นพูดขณะที่ขึ้นไปเหยียบบนตัวของมัน

 

เจ้าคลาวด์บีสต์สีแดงดูไม่เต็มใจนัก แต่ด้านหลังของมันก็เริ่มจะปลดปล่อยหมอกควันออกมา มันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง

 

ข่านขี่นกยูงโลหะออกไปสู่อวกาศด้วยความรู้สึกแย่อย่างที่สุด เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่แผนการทั้งหมดล้มเหลวไม่เหลือชิ้นดี ซึ่งนั่นจะทำให้เขาถูกบดขยี้โดยคู่แข่งภายในเผ่าเดม่อน

 

“ยังโชคดีที่เรานำสัตว์ขี่ระดับดยุกติดตัวมาด้วย ไม่อย่างนั้นเราคงจะไม่รอดแน่ๆ” ข่านคิดอย่างโล่งใจ

 

แต่เมื่อเขาหันกลับไปมองด้านหลัง ขากรรไกรของเขาก็ค้างไป บางสิ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางเขาด้วยความเร็วสูง เมื่อเขาเห็นถึงความเร็วของมันแล้ว มันก็ทำให้เขารู้สึกราวกับว่านกยูงโลหะระดับดยุกหยุดเคลื่อนไหวอย่างไงอย่างงั้น

 

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset