Super God Gene – ตอนที่ 2164

หานเซิ่นมองดูภูเขามหาสมุทรด้วยดวงตาข้างขวา ภายใต้ผลของวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง ประวัติศาสตร์ของภูเขามหาสมุทรก็ถูกเล่นต่อหน้าดวงตาข้างขวาของเขาราวกับภาพยนตร์

 

วิญญาณอสูรระดับเทพเจ้าเป็นอะไรที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะจินตนาการว่าพวกมันแต่ละดวงเป็นแบบไหน ถ้าเขาไม่เคยมีโอกาสได้ใช้มาก่อน ในภาพย้อนอดีตที่หานเซิ่นกำลังดูอยู่นั้น เขาเห็นก้อนหินที่สูงหนึ่งหมื่นเมตรก่อกำเนิดขึ้นมาจากก้อนหินที่เล็กกว่า หินนั้นแยกออกเป็นชิ้นที่บางเหมือนกับผิวหนังที่ถูกแกะออกไปทีละชั้นๆ

 

หานเซิ่นไม่ได้รู้อะไรมากเกี่ยวกับภูมิศาสตร์มากนัก แต่เขารู้ว่าโดยปกติแล้วก้อนหินไม่ได้เกิดขึ้นมาแบบนั้น แต่วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงนั้นก็ไม่ได้มอบข้อมูลที่ผิดให้กับเขาเช่นกัน อะไรก็ตามที่ดวงตาเขามองเห็นเป็นความจริง

 

“แปลกแฮะ หินมหาสมุทรไม่ได้เป็นก้อนหินจริงๆหรอเนี่ย? หรือว่าบางทีจริงๆแล้วพวกมันเป็นพืชอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัย แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันถูกเช่นกัน พวกมันดูไม่เหมือนกับพืชไหนๆที่เขาเคยเห็นมาก่อน หินมหาสมุทรเป็นหินอย่างเห็นได้ชัด และถ้าพวกมันมีชีวิต อย่างนั้นแล้วพวกมันก็เป็นก้อนหินมีชีวิตบางชนิด

 

จิตใจของหานเซิ่นนึกไปถึงทฤษฎีที่เลฟต์เครซี่เคยบอกกับเขาเมื่อนานมาแล้ว แต่เขาคิดว่าสถานการณ์ที่กำลังเห็นอยู่ในตอนนี้มันต่างออกไป

 

เนื่องจากหินมหาสมุทรใช้เวลายาวนานกว่าจะก่อตัวขึ้นมา ภาพวิดีโอที่เล่นในดวงตาข้างขวาของเขาจึงใช้เวลายาวนานกว่าจะย้อนกลับไปจนถึงต้นกำเนิดของก้อนหิน

 

ในศูนย์กลางของหินมหาสมุทร มันมีแมลงหินขนาดเล็กที่ดูคล้ายคลึงกับตัวไหม แมลงหินนั้นอาศัยอยู่ภายในทะเลลาวาราวกับว่ามันเป็นมหาสมุทรที่สงบนิ่ง ร่างกายของมันกลิ้งไปอย่างช้าๆผ่านลาวาจนกระทั่งมันตัดสินใจออกมา

 

ลาวาบนร่างก่ายของมันค่อยๆแข็งตัวจนกลายเป็นเปลือกหิน หลังจากนั้นเปลือกหินก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ มันค่อยๆกลายเป็นสีดำที่เป็นประกายเหมือนกับหยกดำ

 

เมื่อหินกลายเป็นสีดำโดยสมบูรณ์ แมลงหินก็กระโดดกลับลงไปในลาวา หลังจากนั้นมันก็กลิ้งไปมาอยู่ภายในนั้นอีกครั้ง

 

แมลงหินทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะที่เปลือกหินค่อยๆก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกร่างกายของมันมีขนาดพอๆกับนิ้วมือเท่านั้น แต่หลังจากผ่านไปอย่างยาวนาน มันก็กลายเป็นก้อนหินก้อนใหญ่

 

ในที่สุดเปลือกหินก็หนักเกินกว่าที่แมลงหินจะเคลื่อนไหวได้อีก มันไม่มีพละกำลังพอที่จะขึ้นมาจากลาวา และร่างกายของมันก็จมลึกลงไป

 

ยิ่งเวลาผ่านไป ทะเลลาวาก็สร้างชั้นหินขึ้นมาเรื่อยๆ และหลังจากผ่านไปเป็นล้านๆปี มันก็กลายเป็นหินมหาสมุทรที่มีขนาดใหญ่เท่ากับภูเขา

 

ภาพในอดีตทำให้หานเซิ่นตกตะลึง เขาไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าสิ่งมีชีวิตน้อยๆแบบนั้นจะกลายเป็นภูเขาลูกหนึ่ง มันทำให้เขาเห็นถึงคุณค่าของปาฏิหาริย์แห่งชีวิตขึ้นมา ชีวิตนั้นเป็นอะไรที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริง

 

การค้นพบนี่ทำให้หานเซิ่นอยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นคืออะไรกันแน่ แต่เจ้าแมลงหินมีพลังที่จะเปลี่ยนลาวาให้กลายเป็นหินมหาสมุทร

 

‘เจ้าแมลงนั่นยังมีชีวิตอยู่ไหมนะ ถ้ามันมีชีวิตอยู่ แบบนั้นแล้วมันกินอะไรเพื่อความอยู่รอดกัน?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง

 

แต่มันไม่มีทางที่หานเซิ่นจะรู้ถึงเรื่องนั้นได้ เพราะภูเขานั้นหนาเกินไป ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่อยู่ในจุดศูนย์กลางของภูเขา

 

ก้อนของหินมหาสมุทรเป็นอะไรที่ดูไร้ที่ติ มันไม่มีรอยแตกเหมือนกับก้อนหินธรรมดาทั่วๆไป และถึงแม้ภายนอกจะมีรอยแตกร้าว แต่เจ้าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในก็ไม่สนใจ นอกซะจากคนที่ทำการจู่โจมจะแข็งแกร่งกว่าหินมหาสมุทร ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีทางถูกตัดเปิดออกได้

 

โชคดีที่การวิเคราะห์ของวิญญาณอสูรเนตรม่วงนั้นมอบข้อมูลที่มีประโยชน์มากมายให้กับหานเซิ่น

 

ในตอนที่หานเซิ่นกำลังมองดูต้นกำเนิดของหินมหาสมุทร เขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจ

 

ถึงแม้ก้อนหินที่แมลงหินตัวน้อยสร้างขึ้นมาจะดูไร้ที่ติ แต่หานเซิ่นสังเกตเห็นรูขนาดเล็กบริเวณที่ควรจะเป็นตำแหน่งหน้าผากของแมลงหิน รูนั้นมีขนาดเล็กจนหานเซิ่นแทบจะสังเกตไม่เห็น

 

‘เจ้าแมลงหินจำเป็นต้องหายใจด้วยอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิด

 

เขาไม่เข้าใจว่ารูนั้นคืออะไรกันแน่ แต่ไม่ว่ามันจะมีชั้นหินเพิ่มขึ้นมาสักกี่ชั้น มันก็ยังคงมีรูน้อยๆที่ทะลุผ่านพวกมันทุกชั้น

 

แต่ตลอดช่วงเวลายาวนานที่ผ่านมา มันไม่มีใครคนอื่นสังเกตเห็นถึงรูนั้นมาก่อน

 

ถ้าหานเซิ่นไม่ได้ใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง แม้แต่ศาสตร์ตงเสวียนของเขาก็คงจะมองข้ามรูนั่นไปเช่นกัน

 

แต่ตอนนี้เมื่อหานเซิ่นพบมัน เขาก็อยากจะรู้เกี่ยวกับมันมากขึ้น เมื่อคิดได้อย่างนั้น หานเซิ่นก็เริ่มเดินเข้าไปหาภูเขามหาสมุทร

 

“ในที่สุดเขาก็เคลื่อนไหว เขาจะทิ้งอะไรเอาให้บนอนุสรณ์มหาสมุทรกัน เขาจะทิ้งชื่อของตัวเองเอาไว้หรือเปล่านะ?”

 

“ข้าไม่คิดว่าเขาจะแค่ทิ้งชื่อของตัวเองเอาไว้ สำหรับคนอย่างเขาแล้ว การแค่ทิ้งชื่อเอาไว้ถือเป็นอะไรที่ธรรมดาเกินไป บางทีเขาอาจจะทิ้งคำกลอนหรือวาดภาพเอาไว้ แบบนั้นมันจะเหมาะสมกับเขามากกว่า”

 

“นั่นมันก็จริง แต่ข้าไม่คิดว่ากลอนหรือภาพวาดเป็นอะไรที่เหมาะสม? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าหานเซิ่นใช้อาวุธอะไร? ข้าคิดว่าเขาควรจะทิ้งรอยมีดเอาไว้ ลองคิดดูดีๆ ถ้าอาจารย์หานทิ้งรอยมีดไว้ด้วยวิชามีดที่ยอดเยี่ยม พวกเราก็จะเรียนรู้จากมันได้ และศิษย์ของปราสาทนภาก็อาจจะเก่งกาจในวิชามีดยิ่งขึ้นไป แบบนั้นไม่ใช่เรื่องดีอย่างนั้นหรอ?”

 

“เจ้าพูดถูก แต่ถ้าอย่างนั้น การทิ้งจิตแห่งมีดเอาไว้เบื้องหลังก็อาจจะเป็นอะไรที่ดียิ่งกว่า”

 

กระเรียนพันขน พี่น้องยวิ๋นและบุดด้าเฟิร์สเดย์กำลังมองดูหานเซิ่นเดินเข้าไปหาภูเขามหาสมุทรอยู่เช่นกัน

 

“หานเซิ่นจะทิ้งอะไรเอาไว้เบื้องหลังกันแน่?” ยวิ๋นซู่อีถาม

 

เธอรู้ว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเธอกับหานเซิ่น แต่การเห็นหานเซิ่นจากไปก็ยังคงทำให้เธอรู้สึกเสียใจอยู่ดี

 

“หานเซิ่นไม่เคยแสวงหาชื่อเสียง เขาคงจะแค่ทิ้งชื่อหรือรอยมีดเอาไว้เท่านั้น” กระเรียนพันขนพูด

 

“นั่นก็เป็นไปได้” ยวิ๋นซู่ซางพูดพร้อมกับพยักหน้า

 

ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ หานเซิ่นก็ให้เป๋าเอ๋อเรียกคลาวด์บีสต์สีแดงออกมาและมุ่งหน้าขึ้นสู่จุดสูงสูดของภูเขา

 

การเคลื่อนไหวนั้นทำให้พวกผู้อาวุโสของปราสาทนภารู้สึกกังวลขึ้นมา เพราะในตอนที่อี๋ซากำลังจะจากไปนั้น เธอก็ทำแบบเดียวกันนี้

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset