Super God Gene – ตอนที่ 2169

“เอ็กซ์ตรีมคิง? เอ็กซ์ตรีมคิงที่เป็นหนึ่งใน 3 เผ่าพันธุ์สูงสุดภายในจีโนฮอลล์น่ะหรอ?” เมื่อหานเซิ่นได้ยินชื่อนั้น เขาก็รู้สึกประหลาดใจ

 

เขาคิดว่าแนร์โรว์มูนพึ่งพาการปกป้องจากปราสาทนภาซะอีก แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด มันก็ดูจะไม่เป็นแบบนั้น

 

อี๋ซาพยักหน้า “มันเป็นเอ็กซ์ตรีมคิงที่จับพวกเราไปเป็นทาส อัลฟ่าของพวกเราถูกเลี้ยงดูโดยสมาชิกที่มีชื่อเสียงของเอ็กซ์ตรีมคิง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้นางได้รับทรัพยากรมากมาย”

 

สีหน้าของหานเซิ่นเปลี่ยนไป ปราสาทนภา ดราก้อนและเดสทรอยเยอร์อยู่ในระดับท็อปสิบ ขณะที่เดม่อนและบุดด้าอยู่ในระดับท็อปหนึ่งร้อย

 

แต่เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงอยู่ในระดับท็อป 3 ของจีโนฮอลล์ ท็อป 3 นั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์ไหนๆ แม้แต่กองกำลังทั้งหมดของปราสาทนภาก็ไม่สามารถท้าทายพวกเขาได้

 

ในจักรวาลจีโนเกือบจะทุกสิ่งทุกอย่างถูกแบ่งระหว่างเผ่าพันธุ์ระดับสูงทั้ง 3 เผ่าพันธุ์อื่นๆเป็นเผ่าพันธุ์ภายใต้การปกครองของเผ่าพันธุ์สูงสุดทั้ง 3 ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

 

เอ็กซ์ตรีมคิงเป็นเผ่าพันธุ์อันดับที่ 3 แต่ในตอนนี้เผ่าพันธุ์เอ็กซ์ตรีมคิงเป็นที่รู้จักกันดีที่สุด

 

ส่วน 2 เผ่าพันธุ์ที่เหลือค่อนข้างลึกลับ พวกเขาแทบไม่เคยถูกพบเห็นและไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ไหน 1 ใน 2 เผ่าพันธุ์สูงสุดเป็นเผ่าพันธุ์สันโดษที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร พวกเขาไม่เคยอนุญาตให้คนนอกเข้ามาในหมู่พวกเขา และพวกเขาก็ไม่เคยรับสมาชิกใหม่ ในบางครั้งมันอาจจะมีใครบางคนได้รับอนุญาตให้ร่วมงานกับพวกเขา แต่นั่นเป็นอะไรที่หาได้ยากมากๆ

 

เผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่อย่างปราสาทนภามีความเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์อันดับที่หนึ่ง มันถูกเรียกว่าเวรี่ไฮ แต่เวรี่ไฮก็ลึกลับมากเช่นเดียวกัน มันเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นคนของพวกเขาและน้อยคนที่จะติดต่อกับพวกเขาได้

 

มันมีข่าวลือว่าบุดด้ามีความสัมพันธ์บางอย่างกับเวรี่ไฮ แต่จนถึงตอนนี้มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าปากต่อปาก ไม่มีใครที่รู้รายละเอียดถึงข่าวลือนั้น

 

ส่วนเผ่าพันธุ์อย่างดราก้อนและเดสทรอยเยอร์มีความเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์อันดับที่ 2 พวกเขาถูกเรียกว่าแอนเชี่ยนท์ก็อต

 

อี๋ซาและปราสาทนภามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงคิดไปว่ารีเบทเป็นเผ่าพันธุ์ภายใต้ปกครองปราสาทนภา มันเป็นเรื่องแปลกที่ได้พบว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องกับเอ็กซ์ตรีมคิง

 

อี๋ซาพยักหน้าและพูดต่อ “ในตอนนี้รีเบทถือเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ชั้นสูง พวกเรามีอะไรหลายๆอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ยังจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากเผ่าอย่างเอ็กซ์ตรีมคิง”

 

หลังจากหยุดไปชั่วครู่ อี๋ซาพูดต่อ “ข้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าก็เพราะว่าเจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าทรัพยากรนั้นสำคัญถึงขนาดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าฝึกวิชาเรื่องราวของยีน สำหรับคนอย่างเจ้าแล้ว ทรัพยากรนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”

 

“ขอบคุณท่านราชินีมากที่บอกข้าในเรื่องนี้” หานเซิ่นโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพ

 

เขารู้ว่าอี๋ซาไม่ได้มาบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับเขาโดยไม่มีเหตุผล เธอต้องมีแผนการบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทรัพยากรที่จำเป็น ไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะไม่มาที่นี่

 

“ในหนึ่งเดือนข้างหน้า ข้าจะไปหาเอ็กซ์ตรีมคิง” อี๋ซาพูดขึ้นมา

 

หานเซิ่นรู้สึกตกใจ “จริงๆอย่างนั้นหรอ? แล้วเมื่อไหร่กันที่ท่านจะกลับมา?”

 

อี๋ซาไม่ตอบ เธอมองออกไปที่ทะเลสาบมิร์เรอร์ก่อนที่จะพูดขึ้นมา

“ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทำมาจนถึงตอนนี้จะสูญเปล่า ถ้าข้ากลายเป็นระดับเทพเจ้าไม่ได้ ถ้าข้าไม่วิวัฒนาการ มันก็ไม่สำคัญว่าข้าจะกลับมาหรือไม่ ข้าจะอยู่ที่นั่นไปเรื่อยๆและทำทุกสิ่งทุกอย่าง ตราบใดที่ถนนยังเปิดสำหรับเจ้า เจ้าก็ควรจะก้าวเดินต่อไป”

 

หลังจากนั้นอี๋ซาก็หันหลังและเดินจากไป เธอเมินเฉยต่อหานเซิ่นและหายตัวไปจากดาวอุปราคา

 

หานเซิ่นขมวดคิ้ว อี๋ซาไม่ได้บอกอะไรเขามากนัก แต่หานเซิ่นก็พอจะเข้าใจว่าเธอหมายความว่าอะไร

 

เธอรู้ว่าการเดินทางของเธอเป็นอะไรที่อันตราย และมันก็มีโอกาสที่เธอจะตายได้ แต่มันเป็นความเสี่ยงที่เธอยินดีจะก้าวเดินไปเพื่อโอกาสจะได้เป็นเทพเจ้า

 

ตัวตนของอี๋ซาทำให้หานเซิ่นรู้สึกปลอดภัย ขณะที่เขาอยู่อาศัยภายในแนร์โรว์มูน ในตอนที่เธอยังอยู่ มันไม่มีใครกล้าแตะต้องเขา ของที่เป็นของเขาก็ยังคงเป็นของเขา

 

แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินได้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรถ้าอี๋ซาไม่อยู่แล้ว ถ้าอี๋ซาวิวัฒนาการได้สำเร็จ มันก็จะเป็นอะไรที่วิเศษมากๆ แต่ถ้าเธอทำไม่สำเร็จและข่าวมาถึงหูหานเซิ่น มันก็ถือเป็นอะไรที่เลวร้ายสำหรับหานเซิ่นเช่นกัน

 

อี๋ซามาบอกเรื่องทั้งหมดกับเขา ก็เพราะว่ามันคือตัวเลือกที่เขาจำเป็นต้องเลือก คนเราจำเป็นต้องสูญเสียบางอย่างไปเพื่อให้ได้บางอย่างมา นั่นคือสิ่งที่เธอจะบอก

 

“นี่เธอคิดจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างภายในแนร์โรว์มูนให้กับเราอย่างนั้นหรอ?” จู่ๆหานเซิ่นก็ดีใจขึ้นมา

 

ด้วยชื่อเสียงของอี๋ซา เธอต้องมีทรัพย์สินมากมายภายในแนร์โรว์มูน ถ้าเขาสามารถครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ การพัฒนาสู่ระดับราชันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย

 

แต่หานเซิ่นเป็นศิษย์ของอี๋ซา จากกฎของรีเบทแล้ว เขาไม่ได้มีคุณสมบัติในการรับสมบัติของเธอไปครอบครอง เพราะทรัพย์สินส่วนใหญ่ของอี๋ซาจริงๆแล้วเป็นของรีเบท ด้วยเหตุนั้นถ้าเธอตายไป ทรัพย์สินทั้งหมดก็จะกลับไปเป็นของรีเบท มันมีทรัพย์สินไม่กี่อย่างเท่านั้นที่เป็นของเธอจริงๆ เขาอาจจะเป็นคนที่ใกล้เคียงที่สุดกับทายาทที่เธอมี แต่นั่นไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก

 

หานเซิ่นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะสามารถควบคุมทรัพยากรส่วนตัวของเธอได้หรือไม่ เพราะหลังจากที่เธอตาย รีเบทก็คงจะไม่ยอมปล่อยให้ทรัพย์สมบัติของอี๋ซาตกไปอยู่ในมือของคนนอกคนหนึ่ง

 

แน่นอนว่าก่อนที่อี๋ซาจะเดินทางไปหาเอ็กซ์ตรีมคิง เธอได้วางแผนการสำหรับแนร์โรว์มูนเอาไว้แล้ว แต่หานเซิ่นไม่ได้รับทรัพยากรอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่มีปากเสียงอะไรในเรื่องทั้งหมดนี้

 

แต่มันก็ไม่ใช่ว่าอี๋ซาจะจากไปโดยไม่ทิ้งอะไรให้เขาเลย แต่สิ่งที่อี๋ซามอบให้ทำให้หานเซิ่นรู้สึกสับสน

 

“ผู้พิทักษ์ตำหนักเย็น” หานเซิ่นพึมพำขณะที่จ้องมองแผ่นหยกในมือด้วยความสับสน

 

แผ่นหยกสีขาวมีขนาดพอๆกับฝ่ามือ และดูเหมือนมันจะถูกปั้นขึ้นมาจากน้ำแข็ง คำว่าผู้พิทักษ์ตำหนักเย็นถูกเขียนเอาไว้ด้วยตัวอักษรสีแดง

 

หานเซิ่นรู้ว่ามันเป็นบัตรประจำตัวหรืออะไรทำนองนั้น อี๋ซายังคงทิ้งโน๊ตไว้ให้กับเขาด้วยเช่นกัน เขาจึงได้รู้ว่ามันเป็นบางสิ่งที่เขาจำเป็นต้องใช้เพื่อเข้าไปในสถานที่ที่ชื่อตำหนักเย็น

 

“ตำหนักเย็นเป็นสถานสำหรับผู้ชายที่เป็นของเล่นของผู้หญิงที่หมดประโยชน์แล้ว?” ขณะที่หานเซิ่นคำนึงถึงความเป็นไปได้นั้น จิตใจของเขาก็นึกไปถึงภาพของชายในชุดที่เปิดเผยกำลังนั่งอยู่รอบๆห้องขณะที่กำลังเช็ดน้ำตาของตัวเอง ซึ่งทำให้หานเซิ่นรู้สึกไม่ดีขึ้นมา

 

“มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นไปได้ ฉันไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่อี๋ซาเล่นกับผู้ชายมาก่อน ฉันต้องไปดูตำหนักเย็นด้วยตัวเอง” หานเซิ่นส่ายหัวและพยายามขจัดภาพประหลาดที่เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ออกไป

 

ตำหนักเย็นอยู่บนดวงดาวของอี๋ซา ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงต้องเก็บข้าวของและเดินทางไปที่ดาวเบลด

 

หานเซิ่นอยากจะพาเป่าเอ๋อไปด้วย แต่โน๊ตที่อี๋ซาแนบเอาไว้บอกว่ามีแค่คนที่ถือแผ่นหยกอยู่เท่านั้นที่เข้าไปได้ สิ่งมีชีวิตอื่นจะถูกฆ่าทันทีที่ถูกเห็น

 

นั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกสงสัยอย่างมาก จริงๆแล้วตำหนักเย็นมันคืออะไร และทำไมอี๋ซาถึงได้ต้องการให้เขากลายเป็นผู้พิทักษ์ตำหนักเย็นกันแน่?

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset