Super God Gene – ตอนที่ 2171

หานเซิ่นหลี่ตา ตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวของคนๆนั้นมากพอที่จะบดขยี้แม้แต่ก้อนหินที่แข็งแกร่งที่สุด

 

ขณะที่คนๆนั้นเดินเข้ามา หานเซิ่นก็รู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าเปลี่ยนสีไป ตัวตนของคนๆนั้นกำลังคุกคามเขาซ้ำๆราวกับคลื่นที่ไม่มีวันหยุด

 

“เจ้าเป็นใครกัน?” หานเซิ่นถามออกมาขณะที่มองร่างของคนที่กำลังเดินเข้ามา

 

หานเซิ่นยังคงยืนตรง เขาปักหลักอยู่ที่เดิมราวกับว่าพลังนั้นไม่ได้มีผลกับเขาเลยสักนิดเดียว

 

คนๆนั้นยังคงค่อยๆเดินเข้ามาโดยไม่พูดอะไร และทุกก้าวของเขาก็ตามมาด้วยเสียงของหินที่แตกเป็นชิ้นๆใต้เท้าของเขา

 

เสียงฝีเท้าที่เบาหวิวดังสนั่นในหูของหานเซิ่น มันส่งผลให้เกิดการระเบิดภายในหัวของหานเซิ่น มันทำให้ดวงตาของเขาหรี่ลงยิ่งไปกว่าเดิม

 

เงานั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เสียงฝีเท้าเป็นเหมือนกับระเบิดลูกโซ่ที่ระเบิดในหัวของหานเซิ่นตามกันไปทีละลูก นอกจากนั้นแล้วตัวตนของอีกฝ่ายก็ดูน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆในทุกก้าว

 

หานเซิ่นมองไปที่ร่างๆนั้นและสังเกตเห็นว่าคนๆนั้นมีความสูงที่ใกล้เคียงกับเขา แต่ในสายตาของหานเซิ่นแล้ว คนๆนั้นดูยิ่งใหญ่กว่าเขามาก เขาความรู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นเทพเจ้าที่ทอดเงาเหนือตัวเขา ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนกับมดตัวหนึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว

 

หานเซิ่นรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพมายาเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นคนๆนี้ก็สามารถใช้พลังได้ถึงระดับที่คนธรรมดาไม่มีทางต่อสู้กับมันได้

 

“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เผ่าพันธุ์รีเบทมียอดฝีมือแบบนี้อยู่?” หานเซิ่นสับสนกับตัวตนของคนๆนี้

 

ร่างกายและตัวตนของคนๆนั้นเป็นอะไรที่น่ากลัวอย่างมาก แต่พลังชีวิตของเขาดูจะไม่ใช่ระดับราชัน อย่างมากเขาก็เป็นแค่ระดับดยุกเท่านั้น แต่หานเซิ่นไม่สามารถนึกถึงใครคนไหนภายในแนร์โรว์มูนที่มีออร่าที่น่ากลัวขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นระดับดยุก

 

คนๆนั้นยังคงเดินตรงเข้ามา แต่ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนตัวตนที่น่ากลัวของเขาก็ไม่สามารถข่มขู่ให้หานเซิ่นหวาดกลัวได้ ในที่สุดคนๆนั้นก็หยุดเดินเมื่ออยู่ห่างจากหานเซิ่นไปสิบก้าว เธอแค่ยืนอยู่ตรงนั้นและจ้องมองมาที่เขา

 

ตอนนี้หานเซิ่นสามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายจริงๆแล้วเป็นผู้หญิง เธอสวมใส่ชุดเกราะและหมวกสีดำ ใบหน้าของเธอจะถูกปิดบังด้วยหน้ากากที่เธอสวมอยู่ ยกเว้นดวงตาสีทองที่เปล่งประกายออกมาจากหน้ากาก แต่มันเห็นได้ชัดว่าเธอเป็นผู้หญิง เมื่อดูจากส่วนโค้งของชุดเกราะ

 

เธอสูงพอๆกับหานเซิ่น และขาที่เรียวยาวของเธอดูเป็นอะไรที่น่าดึงดูดอย่างมาก

 

แต่สายตาของหานเซิ่นไม่ได้ถูกดึงดูดไปที่ดวงตาหรือขาของเธอ จริงๆแล้วเขากำลังมองไปที่มือข้างซ้ายของเธอ

 

มือข้างขวาของเธอถูกห่อหุ้มด้วยถุงมือเกราะ แต่ทว่ามือข้างซ้ายของเธอเป็นมือเปล่าๆที่ไม่ได้สวมใส่อะไร ผิวมือของเธอดูขาวบริสุทธิ์ นิ้วมือของเธอดูเรียวยาว และเล็บของเธอก็ละเอียดอ่อนราวกับคริสตัล

 

แต่หานเซิ่นไม่ได้มองเพื่อชื่นชมความงามของมัน ที่เขามองมันก็เพราะพลังที่หมุนวนอยู่ในฝ่ามือของเธอ มันเป็นพลังที่เขาไม่สามารถหาคำอธิบายได้

 

โดยที่ไม่มีแสงแห่งเทพที่น่าตกใจหรือเปลวไฟที่น่ากลัว จู่ๆมือของเธอก็กุมเป็นหมัดที่สง่างามและชกออกไปใส่หานเซิ่น ดวงตาของหานเซิ่นจับจ้องไปยังหมัดที่กำลังตรงเข้ามาหาเขา

 

ขณะที่หมัดกำลังพุ่งเข้ามาหาหานเซิ่น ร่างกายของเขาก็สั่นไหว แต่เขาไม่ได้สั่นด้วยความกลัว เขาสั่นเนื่องจากเปิดใช้พลังทั้งหมดภายในตัว

 

หลังการสั่นไหว พลังทั้งหมดของหานเซิ่นก็พรั่งพรูขึ้นมา

 

แรงกดดันที่หานเซิ่นรู้สึกจากหมัดที่กำลังเข้ามา ทำให้เขาพยายามรวบรวมพลังทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ การยืนอยู่ต่อหน้าผู้หญิงชุดเกราะสีดำคนนี้ ทำให้เขารู้สึกได้ถึงอันตรายร้ายแรง

 

แต่หานเซิ่นไม่มีเจตนาจะหลบหลีก เมื่อหมัดนั้นถูกชกเข้ามา มันก็รู้สึกราวกับว่าทุกซอกทุกมุมเต็มไปด้วยพวกมัน หมัดนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง

 

แต่แน่นอนว่าหานเซิ่นไม่มีแผนจะหนี เขากำมือขวาเป็นกำปั้นและชกหมัดกลับไปใส่อีกฝ่าย

 

เปลวไฟที่นำพาหมัดไปนั้นดูเหมือนกับปีศาจ พวกมันถูกย้อมด้วยพลังเขี้ยวที่น่ากลัว ขณะที่พุ่งตรงไปปะทะกับหมัดของผู้หญิงในชุดเกราะ

 

หมัดของทั้งคู่ปะทะกัน แต่พลังภายในหมัดของหานเซิ่นแตกสลาย และหมัดหยกก็ชนเข้ากับหมัดของหานเซิ่นด้วยแรงมหาศาล

 

ตูม!

 

หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงพลังที่ไร้ขีดจำกัดจากหมัดหยกนั้น มันเป็นเหมือนกับซูเปอร์โนวาที่ปลดปล่อยแรงมหาศาลออกมา จนทำให้หานเซิ่นกระเด็นออกไป

 

หานเซิ่นใช้ขาของตัวเองลากผ่านหินและดินเพื่อพยายามทรงตัว แต่พลังที่ส่งเขากระเด็นออกไปนั้นรุนแรงเกินไป ขาของเขาลากไปกับพื้นเป็นระยะทางไกลหลายร้อยเมตรจนกระทั่งไปชนเข้ากับกำแพงหิน

 

และในขณะที่กำแพงหินถล่มลงมา หานเซิ่นก็ยังคงยืนอยู่ได้ แต่มือขวาของเขาได้รับบาดเจ็บ กระดูกแตกร้าว

 

“เจ้าเป็นใครกัน?” หานเซิ่นถามผู้หญิงในชุดเกราะอีกครั้ง

 

หมัดของผู้หญิงในชุดเกราะเป็นอะไรที่แปลกประหลาด มันหมือนเป็นบางสิ่งที่ไร้เทียมทาน ซึ่งแม้แต่บางคนที่แข็งแกร่งอย่างหานเซิ่นก็ไม่สามารถทนต่อพลังที่มันปลดปล่อยออกมาได้

 

หลังจากที่หานเซิ่นรับหมัดนั้น เขาก็รู้ตัวว่าผู้หญิงที่น่าสะพรึงกลัวคนนี้จริงๆแล้วเป็นเพียงแค่มาร์ควิสคนหนึ่งเหมือนกับเขา

 

ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นประหลาดใจอย่างมาก เพราะด้วยพลังที่เธอมีอยู่ มันก็เป็นไปได้สูงมากที่เธอจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าไผ่เดียวดายซะอีก

 

หานเซิ่นคิดว่าอาจจะต้องตอบโต้ด้วยเบรกซิกซ์สกาย นั่นน่าจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาต่อสู้กับหมัดของเธอได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

“เจ้าทนหมัดเอ็กซ์ตรีมคิงไฟนอลของข้าได้อย่างนั้นหรอ? ไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนบอกว่าเก่งกาจทัดเทียมกับไผ่เดียวดาย เจ้าผ่าน”

ดวงตาสีทองของผู้หญิงในชุดเกราะจ้องมาที่หานเซิ่น เสียงของเธอเย็นชา แต่มันก็ยั่วยวนใจมากๆเช่นกัน “ข้าจะมอบโอกาสในการเป็นหนึ่งในอัศวินให้กับเจ้า”

 

“เจ้าเป็นคนของเอ็กซ์ตรีมคิง?” หานเซิ่นมองผู้หญิงในชุดเกราะด้วยความตกใจ

 

“ใช่” ผู้หญิงในชุดเกราะตอบ

 

“นี่เจ้าเดินทางมาถึงที่นี่ก็เพื่อสร้างปัญญากับให้ข้าเนี่ยนะ?” หานเซิ่นถาม

 

ผู้หญิงในชุดเกราะตอบอย่างไร้โทนเสียง “ข้ามาที่นี่ด้วยธุระเกี่ยวกับอี๋ซา ข้ากำลังจะจากไป แต่ข้าได้ยินว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ดังนั้นข้าจึงมาเพื่อดูบุคคลที่ถูกบอกว่าแข็งแกร่งเทียบเท่ากับไผ่เดียวดาย เจ้าจะต้องผ่านอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจึงอยากยื่นคำเชิญให้กับเจ้า”

 

“ต้องขอโทษด้วย แต่ข้ายังไม่มีแผนที่จะทอดทิ้งแนร์โรว์มูน”

หานเซิ่นยังคงระมัดระวังตัวตลอดขณะที่พูดออกมา เขาเตรียมตัวสำหรับความเป็นไปได้ที่เธออาจจะโจมตีเขาอีกครั้ง

 

แต่ผู้หญิงในชุดเกราะไม่มีแผนจะทำแบบนั้น เมื่อหานเซิ่นปฏิเสธ เธอก็หันหลังและเดินจากไป

 

หานเซิ่นมองดูเธอเดินจากไปขณะที่เส้นผมสีทองยาวปลิวไสวด้านหลังของเธอ แต่ภาพของเธอย้อมไปด้วยความโศกเศร้าราวกับจะบอกหานเซิ่นว่าเขาไม่รู้ตัวว่าเพิ่งจะพลาดอะไรไป

 

‘เป็นผู้หญิงที่ยิ่งยโสอะไรขนาดนี้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset