Super God Gene – ตอนที่ 2180

หานเซิ่นและกลุ่มของเขาเดินทางข้ามภูเขาและหนองน้ำจำนวนมาก แต่เขาก็เจอแค่ศพของซีโน่เจเนอิคเท่านั้น เขาไม่สามารถหาซีโน่เจเนอิคที่ยังมีชีวิตอยู่ได้แม้แต่ตัวเดียว

 

พวกเขาไม่สามารถหาซีโน่เจเนอิคระดับดยุกตัวไหนๆได้ หรือแม้แต่ตัวที่ระดับต่ำกว่าก็หาไม่ได้เช่นกัน

 

“ทำไมมันถึงมีผู้คนมากมายใช้ประโยชน์จากเวลาแบบนี้?” หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ แต่เขาก็รู้ตัวว่าไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้

 

หานเซิ่นตัดสินใจเดินทางออกจากดาวโซดิ แต่ทันใดนั้นยอดฝีมือระดับดยุกหลายคนก็เริ่มลงมาจากอวกาศ

 

เมื่อเห็นท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยยานอวกาศและเหล่ายอดฝีมือลงมายังดวงดาวโซดิ หานเซิ่นก็ขมวดคิ้ว ถ้าพวกมันไม่ได้บินมาจากทิศทางที่แตกต่างกันล่ะก็ หานเซิ่นก็อาจจะเชื่อว่าพวกมันมุ่งหน้ามาหาเขา

 

“ดาวโซดิกำลังอยู่ภายใต้การปิดล้อม ดังนั้นอย่าได้พยายามออกไปจากพื้นผิว” เสียงประกาศดังขึ้นทั่วท้องฟ้า

 

ยานรบทั้งหมดเรียงแถวต่อกันราวกับรถที่ติดการจลาจล แม้แต่ป้อมปราการอวกาศก็มาประจำอยู่ในวงโคจรของดวงดาว อาวุธทั้งหมดเล็งมาที่ดาวโซดิจากทุกทิศทางเช่นกัน ถ้าพวกมันยิงออกมาพร้อมๆกันล่ะก็ ดวงดาวโซดิก็คงจะกลายเป็นผุยผง

 

ยานอวกาศขนาดเล็กจำนวนมากบินออกมาจากยานรบขนาดใหญ่ และพวกมันดูเหมือนจะมุ่งหน้าลงมาที่ดวงดาวโซดิ หานเซิ่นรู้สึกตกใจและอยากจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น “คนทรยศของเดสทรอยเยอร์คงจะไม่อยู่บนดาวโซดิหรอกใช่ไหม? ถ้าเขาอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องเป็นคนที่กล้าหาญมากๆ เขาอาจจะพยายามซ่อนตัวในที่ที่โจ่งแจ้ง แต่มันดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนเปิดเผยตัวตนของเขาได้สำเร็จ”

 

หานเซิ่นไม่สามารถคิดคำอธิบายอย่างอื่นสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น

 

ทั้งดวงดาวโซดิถูกปิดล้อม ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปที่หานเซิ่นและคนอื่นจะออกไปจากดาวดวงนี้ ยานรบและป้อมปราการอวกาศทั้งหมดเข้าสู่โหมดต่อสู้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นถ้ากลุ่มของหานเซิ่นพยายามจะฝ่าวงล้อมออกไป พวกเขาก็ต้องถูกโจมตีอย่างแน่นอน

 

นี่เป็นเขตแดนของรีเบท ดังนั้นหานเซิ่นไม่มีความจำเป็นต้องหนีไป หานเซิ่นพาหานเมิ่งเอ๋อและคนอื่นๆไปที่เมืองแห่งเดียวบนดาวโซดิ ซึ่งมันมีชื่อว่าเมืองสตีล

 

หานเซิ่นเป็นเหมือนกับบุคคลวีไอพีของรีเบท ด้วยเหตุนั้นเมื่อเขาเข้าไปในเมืองสตีล พนักงานที่นั่นก็ทำการต้อนรับเขาเป็นอย่างดี และพวกเขายังมอบห้องพักที่หรูที่สุดในโรงแรมให้กับพวกหานเซิ่นอีกด้วย

 

‘หวังว่าการปิดล้อมนี้จะจบลงโดยเร็ว ฉันไม่ต้องการไปทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ตำหนักเย็นสาย’

แต่หานเซิ่นไม่คิดว่ามันจะใช้เวลานานเกินไป พวกเขาปิดล้อมดวงดาวด้วยก้องทัพของดยุกและมาร์ควิส ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่มาร์ควิสคนหนึ่งจะหนีจากพวกเขาไปได้

 

แต่หลังจากผ่านไป 2 วัน กองกำลังที่ทำการปิดล้อมดวงดาวก็ยังคงหาคนทรยศไม่พบ

 

นั่นทำให้หานเซิ่นขมวดคิ้ว มันมีมาร์ควิสและดยุกอยู่เป็นจำนวนมากทั่วทั้งดวงดาวโซดิ ซึ่งป่านนี้พวกเขาก็น่าจะค้นหาได้ทั่วทุกซอกทุกมุมของดวงดาวเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคนทรยศผู้ลึกลับของเดสทรอยเยอร์ก็ยังคงไม่ถูกจับตัว

 

มันมีคำอธิบาย 2 อย่างที่พอเป็นไปได้ อย่างแรกคือข้อมูลที่พวกเขามีอยู่ไม่ถูกต้องและคนทรยศไม่ได้อยู่บนดวงดาวโซดิ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาหาตัวคนทรยศไม่เจอ

 

ความเป็นไปได้ที่ 2 ก็คือจริงๆแล้วคนทรยศของเดสทรอยเยอร์ไม่ได้ซ่อนตัว บางทีเขาอาจจะกำลังเดินอยู่ในสถานที่ที่โจ่งแจ้ง แต่เขาเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง และด้วยเหตุนั้นมันจึงไม่มีใครจดจำเขาได้

 

หานเซิ่นไม่คิดว่าความเป็นไปได้แรกถูกต้อง เพราะถ้าพวกเขาไม่สามารถยืนยันได้ว่าคนทรยศของเดสทรอยเยอร์อยู่ที่นี่จริงๆล่ะก็ มันก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะเข้าปกคลุมท้องฟ้าด้วยยานรบจำนวนมากแบบนั้น นั่นทำให้เห็นว่าพวกเขามั่นใจในข้อมูลที่มี และคนทรยศก็ต้องอยู่ที่นี่จริงๆ

 

“ถ้าคนทรยศคนนั้นปลอมตัวตนได้จริงๆ นั่นก็เป็นข่าวร้ายมากๆ มันมีมาร์ควิสมากมายอยู่บนดาวดวงนี้ ซึ่งพวกเขาไม่มีทางจะตรวจเช็คทุกคนได้ และถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาก็จะหาคนทรยศไม่เจอ” หานเซิ่นกังวลว่ามันอาจจะใช้เวลานานเกินไป

 

ขณะที่หานเซิ่นกำลังนั่งทานอาหารอย่างรื่นรมย์ร่วมกับคนอื่นๆ ทันใดนั้นหานเซิ่นก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของคนๆหนึ่งที่เขาคุ้นเคย เขาเงยหน้าขึ้นมาและเห็นว่าคนๆนั้นก็คือผู้หญิงจากเอ็กซ์ตรีมคิง

 

นอกจากเธอจะไม่ได้ออกจากเขตแดนของรีเบทไปแล้ว เธอยังเดินทางมาที่ซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์สตาร์อีกด้วย เธอเองก็กำลังมองหาสมบัติของเดสทรอยเยอร์ที่ถูกขโมยไปเช่นกัน

 

‘คนทรยศนั้นขโมยอะไรไปกันแน่ ทำไมแม้แต่คนของเอ็กซ์ตรีมคิงก็ยังมาที่นี่เพื่อค้นหามัน’ หานเซิ่นแปลกใจ

 

เอ็กซ์ตรีมคิงหญิงคนนั้นเห็นหานเซิ่น แต่เธอแกล้งทำเป็นไม่เห็น เธอเดินผ่านหานเซิ่นไปและนั่งลงข้างหน้าต่าง

 

หานเซิ่นไม่ได้ใส่ใจอะไรเธอมากนัก ถ้าเธอต้องการจะเมินเฉยใส่เขา เขาก็คิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเข้าไปพูดคุยกับเธอ

 

ไม่นานหลังจากนั้นหานเซิ่นก็เห็นหลากหลายเผ่าพันธุ์เดินเข้ามาในร้านอาหาร ยอดฝีมือที่มาค้นหาตัวคนทรยศต่างก็เดินทางมาที่เมืองสตีล

 

ดูเหมือนตอนนี้พวกเขาจะรู้สึกตัวถึงปัญหาเช่นเดียวกับหานเซิ่น คนทรยศของเดสทรอยเยอร์ไม่ได้ซ่อนตัวอีกต่อไป แต่เขาเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตัวเอง ตอนนี้มันจึงไม่มีใครรู้ว่าคนทรยศมีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นยังไง

 

บุดด้าหลายคนเดินเข้ามาในร้านอาหาร และคนที่เป็นระดับมาร์ควิสคนหนึ่งเดินเข้ามาโค้งคำนับให้กับหานเซิ่น

 

“อมิตาพุทธ! หานเซิ่น ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”

 

หานเซิ่นจำได้ว่าบุดด้าคนนั้นคือหนึ่งในมาร์ควิสที่เขาช่วยเอาไว้ในเมทัลเวิลด์ แต่ทว่าเขาไม่ได้รู้จักชื่อของบุดด้าคนนี้

 

“ด้วยความยินดี แต่ข้าแค่พยายามช่วยตัวเองเท่านั้น” หานเซิ่นตอบ

 

เมื่อหานเซิ่นและบุดด้ามาร์ควิสพูดคุยกัน มาร์ควิสและดยุกในร้านอาหารหลายคนได้ยินพวกเขา ข่านอยู่ในหมู่คนพวกนั้นด้วย เมื่อเขาเห็นหานเซิ่น เขาก็ยิ้มและเดินเข้ามานั่งลงข้างๆหานเซิ่น

“หานเซิ่น บังเอิญจังเลยที่พวกเราได้พบกันอีกครั้งที่นี่ ข้าได้ยินว่าเจ้าแช่แข็งบาร์ นั่นเป็นอะไรที่น่ากลัวมากๆ น่าเสียดายที่เจ้าเป็นมาร์ควิสช้าเกินไป ถ้าเจ้าเป็นมาร์ควิสเร็วกว่านี้อีกหน่อยล่ะก็ ข้าเดิมพันว่าเจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับดอลลาร์ เจ้าคงจะเคยได้ยินชื่อของคนที่ได้รับอันดับที่หนึ่งในระดับมาร์ควิสของบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนใช่ไหม?”

 

ข่านเปลี่ยนเป็นคนที่ชอบประจบประแจงจนน่ารำคาญ เขาทำให้ยอดฝีมือที่อยู่ภายในร้านอาหารหันมามองหานเซิ่นด้วยสีหน้าซับซ้อน

 

หานเซิ่นเมินเฉยต่อคำชมของข่าน ข่านเป็นเหมือนกับแมลงสาบที่ไม่ยอมตายง่ายๆ หานเซิ่นเคยพยายามฆ่าร่างยักษ์ของเขาถึง 2 ครั้ง แต่ก็ล้มเหลว และข่านก็ยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งที่ไหนก็ตามที่หานเซิ่นไป เขาก็ต้องเจอกับชายที่น่ารำคาญคนนี้

 

“ฮะ” ข่านอุทานออกมาและใบหน้าของเขาซีดไปเล็กน้อย นั่นเพราะมีชายตัวใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านอาหาร มือของเขาถือมีดกระดูกอยู่

 

หานเซิ่นหันไปมองและเห็นบาร์ยืนถือมีดกระดูกอยู่ตรงนั้น ผลของการแช่แข็งได้หายไปแล้ว

 

การปรากฏตัวของบาร์ทำให้ทั้งร้านอาหารเงียบสนิท ชายที่โหดเหี้ยมจะฆ่าคนในทุกหนทุกแห่ง เขาไม่สนใจกฎหมายหรืออะไรทั้งนั้น

 

เมื่อข่านเห็นบาร์เดินเข้ามา เขาก็ลุกขึ้นและฝืนยิ้มให้กับหานเซิ่นก่อนที่จะพูดออกมา “ไว้ค่อยคุยกันต่อทีหลัง”

 

หลังจากนั้นข่านก็กลับไปนั่งโต๊ะเดิมกับพวกเผ่าเดม่อน

 

บาร์เดินมาตรงหน้าหานเซิ่นและพูด “ข้าจะกินเจ้า”

 

หลังจากนั้นโดยไม่รอคำตอบจากหานเซิ่น เขาเดินไปที่อีกโต๊ะหนึ่งและแทงมีดกระดูกลงกับพื้น เขานั่งลงและมองมาที่หานเซิ่นโดยไม่กระพริบตา

 

หานเซิ่นรู้ว่าบาร์ไม่ได้ขจัดพลังน้ำแข็งออกไปด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นล่ะก็สัตว์ประหลาดที่บ้าคลั่งอย่างเขาก็คงจะจู่โจมหานเซิ่นในทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

 

ไม่มีใครรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แต่ที่นี่มีดยุกและมาร์ควิสอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ร้านอาหารเต็มไปด้วยผู้คน

 

“ข้านั่งลงตรงนี้ได้ไหม?” เสียงของใครบางคนดังขึ้นมาใกล้ๆกับหานเซิ่น

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset