Super God Gene – ตอนที่ 2230

“ถ้าท่านไม่ได้พูดอะไรออกมา ข้าก็คงจะคิดว่าพวกเราอาจจะตายจริงๆ แต่ตอนนี้ข้าแน่ใจแล้วว่าเราจะไม่ตาย” หานเซิ่นพูดอย่างมั่นใจ

 

“หนุ่มน้อย แค่คำพูดใครก็ทำได้ ถ้าเจ้ามั่นใจอย่างที่พูดจริงๆ เจ้าก็ขึ้นมาเดินบนเส้นทางนี้ด้วยตัวเอง” หญิงชรามองเขาด้วยความดูถูก

 

“แน่นอน” หลังจากที่หานเซิ่นพูด เขาก็เดินขึ้นไปบนวิถีแห่งชีวิตและความตายในทันที

 

หานเซิ่นไม่ได้ทำแบบนั้นเพื่อพิสูจน์ว่าหญิงชราพูดผิด หรือเพื่อจะช่วยเหลือไป๋เวย ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คือสัมผัสถึงพลังของวิถีแห่งชีวิตและความตาย พลังแบบนี้เป็นอะไรที่ยากจะได้เห็นแม้แต่ในหมู่ของสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า ดังนั้นเขาคงจะไม่มีโอกาสมากนักที่จะได้สัมผัสพลังกับแบบนั้น หานเซิ่นอยากจะสัมผัสว่ามันจะให้รู้สึกยังไงเมื่อเดินไปบนวิถีแห่งชีวิตและความตาย

 

ถ้าพลังของวิถีแห่งชีวิตและความตายเป็นของจริงไม่ใช่เพียงแค่ภาพลวงตาล่ะก็ แบบนั้นมันก็ไม่ใช่บางสิ่งที่เรียบง่ายอย่างการพลังในการควบคุมเวลา เพราะถ้ามันเป็นแค่พลังแห่งกาลเวลา แบบนั้นแล้วความเร็วในการเร่งเวลาก็ควรจะไปแค่ทิศทางเดียวและตายตัว แต่ทุกสิ่งมีชีวิตนั้นมีอายุขัยที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นมันไม่มีทางที่บันไดหินแต่ละขั้นจะเร่งอายุขัยเพื่อนำไปสู่ความตายเมื่อก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายเหมือนกัน มีเพียงแค่เหตุแห่งชีวิตและความตายเท่านั้นที่จะให้ผลแบบนั้นได้ ถ้าหานเซิ่นสามารถลิ้มรสพลังนั้นได้ มันก็จะเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเขา

 

“พี่ชาย นี่มันเสี่ยงเกินไป” หานเหยียนดึงแขนของหานเซิ่นเอาไว้ด้วยความกังวล ถึงแม้หานเหยียนจะรู้ว่าวิจารณญาณของหานเซิ่นมักจะถูกเสมอ แต่นี่ก็เป็นอะไรที่สำคัญ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เธอจะหวาดกลัว

 

“ไม่เป็นไร พี่แค่จะไปดูสักหน่อยเท่านั้น” หานเซิ่นสัมผัสหานเหยียนที่หัวและกะพริบตา หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปที่บันไดหิน

 

เป่าเอ๋ออยากจะตามหานเซิ่นไป แต่หานเซิ่นส่งเป่าเอ๋อให้กับหานเหยียน ก่อนที่เขาจะเดินขึ้นไปตามลำพัง

 

เมื่อหานเซิ่นเหยียบบนขั้นแรกของบันไดหิน เขาก็ใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนและวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง

 

“เราคิดถูก มันคล้ายคลึงกับวิชาจำลองนภา แต่ไม่รู้เพราะอะไรมันแตกต่าง มันคืออีกเหตุของพลัง”

ในขณะที่หานเซิ่นเปิดใช้งานออร่าศาสตร์ตงเสวียนและวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง หานเซิ่นก็มองเห็นสสารที่เกือบจะโปร่งใสเข้ามาล่ามตัวของเขา

 

ทุกก้าวที่หานเซิ่นก้าวออกไป เขาเห็นโซ่สสารล่ามตัวของเขามากขึ้นเรื่อยๆ หานเซิ่นรู้ว่าเส้นทางที่เดินไปไม่ใช่เพียงแค่ภาพลวงตา แต่มันเป็นพลังอันน่ากลัวที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า

 

หานเซิ่นเดินหน้าต่อไป และขณะที่เดินไปนั้น ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จากร่างหนุ่มของเขากลายเป็นร่างวัยกลางคน และจากร่างวัยกลางคนก็กลายเป็นร่างชรา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการที่เขารู้สึกได้ถึงอายุขัยของเขาที่กำลังลดลงไป

 

สิ่งมีชีวิตภายนอกก็อตแซงชัวรี่ไม่สามารถเห็นอายุขัยของตัวเองได้ แต่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในก็อตแซงชัวรี่สามารถเห็นมันได้เสมอ

 

หานเซิ่นมีอายุขัยอยู่หนึ่งพันปี และจากความถี่ของการเพิ่มอายุในตอนนี้ บันไดขั้นสุดท้ายจะทำให้อายุขัยที่เหลืออยู่ของเขาลดลงมาอยู่ที่เลขศูนย์แบบพอดิบพอดี หานเซิ่นลองก้าวถอยหลังลงเล็กน้อยและเมื่อเขาทำแบบนั้น เขาก็รู้สึกว่าอายุขัยที่เหลืออยู่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง มันเป็นเส้นทางที่เป็นวิถีแห่งชีวิตและความตายอย่างแท้จริง ตอนนี้หานเซิ่นนับถืออันดายอิ้งเบิร์ดอย่างมาก พลังที่สุดยอดแบบนี้เป็นบางสิ่งที่คู่ควรต่อการสรรเสริญ

 

หานเซิ่นพยายามใช้พลังของวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อจะอ่านมัน แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามสักแค่ไหน ทุกอย่างก็ยังคงเป็นปริศนา เขาไม่สามารถวิเคราะห์พลังอันลึกลับนั้นได้ เขารู้สึกผิดหวัง แต่เขาก็ยังคงเดินขึ้นไปบันไดหินต่อไป

 

ยิ่งเขาเดินต่อไปมากเท่าไหร่ พลังที่เขารู้สึกถึงก็รุนแรงยิ่งขึ้น หานเซิ่นมองเห็นมันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หานเซิ่นไม่หยุดเดินจนกระทั่งเขาไปถึงบันไดขั้นเดียวกับไป๋เวย ตอนนี้หานเซิ่นแก่มากๆเช่นเดียวกับไป๋เวย เพียงแค่การพูดก็มากพอที่จะทำให้เขาหอบ

 

“นี่ไม่ใช่ธุระของเจ้า ทำไมเจ้าถึงเดินขึ้นมาบนนี้?”

ไป๋เวยมองหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน เธอไม่รู้ว่าเขาพยายามจะเล่นเป็นฮีโร่หรืออะไรกันแน่

 

“ข้าแค่ต้องการพิสูจน์ทฤษฎีของตัวเองท่านั้น มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า” หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นเขาก็เดินขึ้นบันไดต่อไป

 

หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าตอนนี้เขาแก่มากๆ เขารู้สึกราวกับว่ากำลังสูญเสียพลังของตัวเองเช่นกัน ตอนนี้การก้าวแต่ละครั้งเป็นอะไรที่เหนื่อยมากๆ

 

ไป๋เวยมองหลังของหานเซิ่นขณะที่เขาเดินต่อไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน

 

หานเซิ่นเดินไปข้างหน้าอีกก้าว และมันก็เหลือบันไดอีกเพียงแค่ 2 ขั้นเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็ไม่ลังเล เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆและก้าวออกไปอีกก้าว หลังจากนั้นเขาก็หยุดนิ่งไป

 

เขามองอายุขัยที่เหลืออยู่ของตัวเอง ซึ่งตอนนี้ถูกลดลงมาเหลือเพียงแค่หนึ่ง โดยปกติแล้วคนๆหนึ่งจะตายหลังจากที่ก้าวขึ้นบนบันไดหินขั้นสุดท้าย

 

“อันดายอิ้งเบิร์ดมีพลังที่แข็งแกร่งมากๆ” หานเซิ่นพูดอย่างเฉยเมย ในตอนนี้เขารู้สึกนับถืออันดายอิ้งเบิร์ดอย่างแท้จริง

 

หญิงชราหลี่ตาของนาง “ข้าไม่ได้คาดคิดว่าเจ้าจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่คือพลังเหตุและไม่ใช่แค่พลังกาลเวลาธรรมดาๆ”

 

“น่าเสียดายที่ข้าคงจะไม่ได้เห็นอันดายอิ้งเบิร์ดในขณะที่ยังมีชีวิต… ข้าหวังจริงๆว่าจะ… แค่กๆ…” หานเซิ่นจริงจังกับสิ่งที่เขาพูดออกไป ยอดฝีมือแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะพบเจอได้ง่ายๆ

 

ถ้าเขาได้เห็นอันดายอิ้งเบิร์ดใช้พลังเหตุอันลึกลับนั้น บางทีเขาก็อาจจะสามารถเรียนรู้อะไรบางอย่างจากมันได้ ดังนั้นหานเซิ่นจึงคิดว่ามันเป็นอะไรที่น่าเสียดายอย่างมากที่ไม่ได้เห็นอันดายอิ้งเบิร์ดใช้มัน สสารลูกโซ่ที่เขาเห็นในตอนนี้มันเบลอเกินไป ทำให้เขาไม่สามารถเรียนรู้อะไรจากพวกมันได้

 

“ถ้าเจ้ารู้ว่ามันแข็งแกร่งถึงขนาดไหน นั่นหมายความว่าเจ้าจะเดินขึ้นมาบนบันไดขึ้นสุดท้ายใช่ไหม?” หญิงชรายิ้มให้กับหานเซิ่น มันยากที่จะจิตนาการได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่

 

“แน่นอนว่าข้าต้องการจะก้าวไป” หานเซิ่นพูดอย่างมั่นใจ แต่เนื่องจากความจริงที่ว่าเขาแก่มากๆ เสียงของเขาจึงฟังดูไม่มั่นใจนัก

 

“โอ้ เจ้าจะบอกว่าพลังของอันดายอิ้งเบิร์ดฆ่าเจ้าไม่ได้อย่างนั้นหรอ?” หญิงชรามองหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก

 

“ท่านฆ่าข้าได้ แต่ไม่ใช่ด้วยบันไดหินนี้” หานเซิ่นพูด

 

“ถ้านั่นคือสิ่งที่เจ้าคิด แบบนั้นก็เชิญก้าวขึ้นมา” หญิงชรายิ้มให้กับหานเซิ่น

 

หานเหยียนและคนอื่นมองดูหานเซิ่นด้วยความกังวล ถ้าเขาเดินไปข้างหน้าอีกก้าวและเป็นเหมือนกับที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ หานเซิ่นก็จะตาย

 

หานเซิ่นพูดเองว่าพลังของบันไดหินนี้ไม่ใช่เพียงแค่ภาพลวงตา นี้เป็นพลังเหตุที่แท้จริงที่เขากำลังต่อสู้ หานเหยียนรู้ว่าพลังเหตุนั้นน่ากลัวแค่ไหน พลังเหตุสามารถฆ่าคนได้ พวกมันไม่จำเป็นต้องทำให้ผู้คนเลือดไหลออกมาเพื่อฆ่าด้วยซ้ำ

 

ไป๋เวยมองหานเซิ่นและแสดงสีหน้าที่ซับซ้อนออกมา ไป๋เวยเชื่อว่าหานเซิ่นรู้ว่าเธอคือใคร เธอคิดว่าหานเซิ่นทำแบบนี้ก็เพื่อสร้างความประทับใจที่ดีต่อเธอ เธอเคยเห็นผู้คนมากมายทำแบบนี้เพื่อเธอมาก่อน แต่หานเซิ่นเดินไปจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย และเขาก็เตรียมพร้อมที่จะก้าวขาออกไป เธอมองหานเซิ่นผิดไป

 

ในจังหวะที่แบ่งแยกระหว่างชีวิตและความตาย ใครกันที่ยังจะสามารถกล้าหาญอยู่ได้? ใครกันที่จะยินดีเสี่ยงชีวิตของตัวเอง?

 

แม้แต่ไป๋เวยเองก็ไม่กล้าทำแบบนั้น เธอมองหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนและคิด ‘เขากำลังจะก้าวขึ้นไปบนบันไดขึ้นสุดท้ายอย่างนั้นหรอ? นี่เขามั่นใจหรือว่าทั้งหมดนี่เป็นแค่การคาดเดา?’

 

ขณะที่ทุกคนมองดู หานเซิ่นยกขาของเขาขึ้นและเตรียมจะเหยียบลงไปบนบันไดขั้นสุดท้าย

 

หญิงชราดูแปลกๆ และหานเหยียนก็ลืมที่จะหายใจ

 

หวงฟูจิ้งดูสงบนิ่ง แต่เธอหมวดคิ้วและคิดกับตัวเอง ‘อะไรกันที่ทำให้เขามั่นใจว่าจะไม่ตายจากการเดินขึ้นไปบนบันไดขั้นสุดท้าย?’

 

เธอรู้ว่าหานเซิ่นไม่ใช่คนที่จะยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเองโดยไม่มีเหตุผล ถ้าเขากล้าเดินขึ้นไปบนนั้น เขาก็ต้องรู้ว่าเขาจะไม่ตาย

 

ขณะที่ทุกคนมองดู หนึ่งในขาของหานเซิ่นเหยียบลงไปบนบันไดขึ้นสุดท้าย เขาใช้พลังหยดสุดท้ายเพื่อนำเอาขาอีกข้างขึ้นมา เขาขึ้นมายืนอยู่ข้างๆเจ้ากระต่ายที่ตายไปก่อนหน้านี้

 

ตูม!

ทั้งบันไดหินส่องสว่างขึ้นมา ไฟที่โปร่งแสงลุกโชติช่วงทั่วบันได มันเป็นเหมือนกับกองไฟขนาดใหญ่มากๆ

 

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset