Super God Gene – ตอนที่ 2254

จิตของโกสต์โบนถูกทำลายด้วยชุดเกราะคริสตัลสีดำ แต่พลังของโกสต์โบนยังคงหลงเหลืออยู่ภายในร่างกายของหานเซิ่น และถึงแม้หานเซิ่นจะไม่สามารถใช้พวกมันได้ แต่พลังที่อยู่ในร่างกายของเขาก็เป็นพลังเดียวกันกับพลังที่กักขังพวกเขาเอาไว้ ซึ่งนั่นมอบความเป็นไปได้ใหม่ให้กับหานเซิ่น

 

หานเซิ่นจำเป็นต้องหาหนทางทำลายพลังป้องกันที่นี่ และด้วยการทำแบบนั้นบางทีเขาอาจจะออกไปจากที่นี่ได้

 

แต่ด้วยการที่ราชินีจิ้งจอกอยู่ที่นี่ด้วย เธอไม่มีทางจะปล่อยให้เขาไปทดลองวิธีต่างๆตามใจชอบ และถ้าเกิดพวกเขาต้องต่อสู้กันขึ้นมา หานเซิ่นก็ไม่สามารถเอาชนะเธอได้ ดังนั้นเขาต้องหาหนทางทำให้เธอยอมร่วมมือกับเขาก่อน

 

“พลังที่ป้องกันที่นี่อยู่เป็นบางสิ่งที่แม้แต่ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างนั้นแล้วอะไรกันที่ทำให้เจ้าคิดว่าจะทำมันได้?”
ราชินีจิ้งจอกกรอกตาของเธอ “แต่มันเป็นเรื่องดีที่เจ้าอยู่ที่นี่ อย่างน้อยมันก็มีใครบางคนอยู่ที่นี่เพื่อพูดคุยกับข้า แบบนั้นข้าจะได้ไม่เบื่อตาย”

 

‘นั่นฟังดูดี แต่ไม่ว่าเธอจะสวยสักแค่ไหน หลังจากผ่านไปสักพักมันก็น่าเบื่ออยู่ดี ฉันไม่คิดจะอยู่กับเธอไปตลอด’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง

 

“เอิ่ม…ท่านจะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ตอนนี้ขุนพลโกสต์โบนได้เปลี่ยนร่างกายของข้าเป็นร่างโกสต์โบน ข้ายังใช้พลังโกสต์โบนได้ ข้าคิดว่าพลังป้องกันของที่แห่งนี้เกี่ยวเนื่องกับพลังโกสต์โบน มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ถ้าจะทำลายมัน” หานเซิ่นพูด

 

ราชินีจิ้งจอกดูค่อนข้างเบื่อในตอนนี้ “พลังที่ป้องกันที่นี่อยู่ไม่ใช่แค่พลังโกสต์โบนเพียงอย่างเดียว ถึงแม้โกสต์โบนจะเกิดใหม่อีกครั้ง เขาก็ทำลายพวกมันออกไปไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่ระดับเทพเจ้า เจ้าเองก็เช่นเดียวกัน ฉะนั้นแค่อยู่กับข้าที่นี่และทุกอย่างจะไม่เป็นไร”

 

หลังจากนั้นราชินีจิ้งจอกก็กลับไปที่ปราสาท หานเซิ่นก็ตามหลังเธอกลับไปที่ปราสาทเช่นกัน

 

ดูเหมือนราชินีจิ้งจอกไม่มีความหวังที่จะหนีออกไปจากที่นี่ และเธอก็ไม่มีอารมณ์จะพูดเกี่ยวกับมันเช่นกัน หานเซิ่นจึงได้แต่ตรวจสอบและวิเคราะห์พลังป้องกันของปราสาทอยู่ตามลำพัง

 

หานเซิ่นยังไม่คิดจะไปดูโซ่ที่ล่ามราชินีจิ้งจอกอยู่ ในตอนนี้เขาเริ่มจากการตรวจสอบพลังป้องกันกำแพงก่อน ถ้าเขาสามารถทำลายพวกมันได้ อสูรกาแล็กซี่ก็จะสามารถพาเขาออกไปจากที่นี่ได้

 

ด้วยการใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อตรวจดูพลังป้องกันที่อยู่ในกำแพง หานเซิ่นสังเกตเห็นว่าพวกมันเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบ โครงสร้างลำดับของมันเหนียวแน่น และพวกมันก็อยู่ในรูปแบบที่แปลกประหลาด ถึงแม้เขาจะใช้ท่าตบขั้นสุดยอด พลังของเขาก็ไม่เพียงพอที่จะทำลายโครงสร้างลำดับของพวกมัน

 

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ หานเซิ่นก็ไม่มีทางจะทำอะไรกับมันได้

 

แต่ตอนนี้เขามีร่างโกสต์โบนอยู่ นอกจากนั้นเขายังมีพลังโกสต์โบนของสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า มันจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

 

ถ้าราชินีจิ้งจอกสามารถทำลายการป้องกันเพื่อให้เขาผ่านเข้ามาได้ก่อนหน้านี้ หานเซิ่นก็คิดว่าตัวเองสามารถได้เหมือนกัน

 

หานเซิ่นใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อตรวจสอบทั่วทั้งปราสาท เขาพยายามจะดูว่าปราสาทนั้นถูกสร้างขึ้นมาในรูปแบบไหน

 

พลังป้องกันไม่ได้ถูกเสริมเข้าไปทีหลัง แต่พวกมันถูกสร้างขึ้นมาเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งก่อสร้าง หินของปราสาทเป็นหนึ่งในพลังป้องกัน แม้แต่ตัวของราชินีจิ้งจอกเองก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน นอกซะจากพลังป้องกันของทั้งปราสาทจะถูกทำลายไป ราชินีจิ้งจอกก็ไม่มีวันออกไปจากที่นี่ได้ และถ้าหานเซิ่นต้องการทำลายพลังป้องกันของทั้งปราสาท เขาก็ต้องทำลายพลังของราชินีจิ้งจอกด้วย นั่นคือเหตุผลที่เธอไม่คิดจะหนีออกไป

 

ขุนพลโกสต์โบนนั้นชาญฉลาด เขาออกแบบปราสาทนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ลงมือสร้างมันขึ้นมา

 

‘พลังป้องกันของที่นี่เป็นอะไรที่มหัศจรรย์ แต่มันทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาจากเทคนิคโกสต์โบน ตอนนี้เมื่อเรามีร่างโกสต์โบนอยู่ ถ้าเราหาข้อบกพร่องบางอย่างในการก่อสร้างได้ เราก็อาจจะหนีไปได้ ถึงแม้การทำลายพลังป้องกันทั้งหมดของปราสาทจะเป็นเรื่องยากก็ตาม’ หานเซิ่นยังคงทำการวิเคราะห์โครงสร้างของปราสาทต่อไป

 

ทันใดนั้นหานเซิ่นก็สังเกตเห็นว่าในปราสาทที่มีพลังป้องกันสมบูรณ์แบบนั้น เขาหาจุดบกพร่องที่เล็กมากๆจนเจอ

 

จริงๆแล้วมันไม่ควรจะเรียกว่าเป็นจุดบกพร่อง แต่มันเป็นแค่จุดที่การป้องกันหลวมกว่าปกติเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกมีหวังขึ้นมา

 

จุดที่หานเซิ่นพบคือจุดที่ใกล้ๆกับรูปปั้นปลาที่อยู่ข้างๆสระน้ำ นั่นคือตำแหน่งที่เขาเข้ามาในที่แห่งนี้

 

“ถ้าเดาไม่ผิดล่ะก็ บริเวณนั้นมีจุดบกพร่องอยู่ และนั่นเป็นเพราะราชินีจิ้งจอกพยายามใช้พลังของเธอใส่จุดนั้นซ้ำๆเพื่อให้อสูรตัวน้อยเข้าออกได้ ถึงแม้พลังของราชินีจิ้งจอกจะทำลายพลังป้องกันของที่นี่ไม่ได้ แต่มันก็ทำให้โครงสร้างลำดับในบริเวณนั้นหลวมกว่าบริเวณอื่นๆ” ตอนนี้หานเซิ่นมีหนทางที่จะหนีออกไป

 

บนดาวไอซ์บลูกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางลึกเข้าไปในภูเขา ถ้าหานเซิ่นได้มาเห็นเขาก็คงจะประหลาดใจ นั่นเป็นเพราะคนสำคัญของฐานทัพไอซ์บลูมาอยู่พร้อมหน้ากันหมด

 

กุนซือไวท์ คราม ราชาอัศวินไอซ์บลู ผู้ตรวจการเอ็ดเวิร์ดและยังมีอัศวินไอซ์บลูระดับราชันอีกหลายคน ทีมที่มานั้นถือเป็นแกนหลักของหน่วยอัศวินไอซ์บลู

 

“กุนซือไวท์ ด้วยพลังที่มหัศจรรย์ของท่าน ท่านก็ยังระบุไม่ได้ว่าหานเซิ่นอยู่ที่ไหนอย่างนั้นหรอ?” อัศวินไอซ์บลูที่อยู่ข้างๆเอ็ดเวิร์ดพูดขึ้นมา

 

“มิสเตอร์ไวท์ไม่พูดโกหก” ครามตอบอย่างเกรี้ยวโกรธ

 

กุนซือไวท์โบกมือเพื่อหยุดคราม จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมา
“พลังของข้าจะไม่ทำให้ข้าหลงทาง และทั้งหมดที่ข้าทำได้ก็คือคาดเดาสถานที่ที่เขาอยู่ ความเป็นไปได้เดียวที่ข้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนเป็นเพราะมีพลังที่แข็งแกร่งบางอย่างมากรีดกวางข้าเอาไว้ ทั้งหมดที่ข้าจะแนะนำได้ก็คือให้พวกเราเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ข้าเดาว่าการต่อสู้ครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อพวกเราหาเขาพบ”

 

“พวกเราจะฟังทุกอย่างที่ท่านบอกพวกเรา” ราชาอัศวินไอซ์บลูพูด

 

เอ็ดเวิร์ดห้ามอัศวินไอซ์บลูข้างๆจากการพูดอะไรอีก พวกเขาติดตามกุนซือไวท์และเดินขบวนกันต่อไป

 

กลุ่มของพวกเขาเดินทางลึกเข้าไปในภูเขา กุนซือไวท์นำทางพวกเขาทุกคนไปขณะที่คำนวณอะไรบางอย่างไปด้วย

 

“ทำไมเจ้าถึงเอาแต่เดินไปเดินมาอยู่ได้? เข้ามาพูดคุยกับข้า”
ราชินีจิ้งจอกจ้องไปที่หานเซิ่น ขณะที่เธอนอนอยู่บนเตียงหยกของเธอ

 

“ข้ากำลังมองหาหนทางที่จะทำลายการป้องกันของที่นี่” หานเซิ่นรู้ว่าไม่สามารถปิดบังมันจากเธอได้ ดังนั้นเขาจึงบอกเธอไปตรงๆ

 

เมื่อได้ยินที่เขาพูด ราชินีจิ้งจอกก็ยังคงไม่เชื่อว่าหานเซิ่นจะทำลายพลังป้องกันเพื่อออกไปได้

 

“ความสนุกของค่ำคืนหนึ่งเป็นอะไรที่ประเมินค่าไม่ได้ เลิกเสียเวลาและหันมาแสดงความสนใจผู้คนที่อยู่รอบๆตัว” เสียงของราชินีจิ้งจอกฟังดูยั่วยวน และเธอก็ดูเหมือนกับปีศาจจอมล่อลวง

 

“หน้ากากโกสต์โบนที่เหลืออยู่มีพลังระดับครึ่งเทพเหมือนกันใช่ไหม?”
หานเซิ่นหันไปมองหน้ากากโกสต์โบนที่อยู่ที่ห้องโถงด้านข้าง

 

ราชินีจิ้งจอกยิ้ม “แน่นอนว่าไม่ พวกมันเป็นแค่สถานที่ที่โกสต์โบนเคยใช้อยู่อาศัย เมื่อเขายังอยู่ที่นี่ พวกมันก็มีพลัง แต่ตอนนี้พลังของเขาอยู่ในร่างกายของเจ้า หน้ากากพวกนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป”

 

หานเซิ่นคิดหนทางที่จะออกไปจากที่นี่ขึ้นมาได้ แต่เขายังคงอ่อนแอเกินไป

 

หานเซิ่นหยิบหน้ากากอันหนึ่งขึ้นมาและพบว่ามันไม่มีพลังอะไรอยู่จริงๆ แต่ทว่ามันเป็นอะไรที่แข็งแรงอย่างมาก

 

“ท่านช่วยเปิดไวท์โบนเฮลล์ให้ข้าหน่อยได้ไหม?” หานเซิ่นถาม

 

ในตอนนี้เมื่อหน้ากากโกสต์โบนไร้ประโยชน์ หานเซิ่นจึงหันไปหากิเลนโลหิตแทน ถ้าเขาทำให้มันมาเป็นพวกได้ มันก็จะเป็นอะไรที่ง่ายขึ้นมาก

 

“ทำไมเจ้าถึงอยากจะเข้าไปในนั้น?” ราชินีจิ้งจอกถามหานเซิ่น

 

“ข้าอยากลองดูว่าจะทำให้มันเชื่องได้ไหม ถ้าข้าได้รับพลังของมัน ข้าก็อาจจะทำลายการป้องกันของที่นี่ได้” หานเซิ่นพูดสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ออกไปตรงๆ

 

“โอเค นั่นเป็นความคิดที่ดี เอาล่ะเจ้าไปทำแบบนั้นได้” ราชินีจิ้งจอกโยนกุญแจกระดูกดำให้กับหานเซิ่น

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset