Super God Gene – ตอนที่ 2261

‘ถ้าก็อตแซงชัวรี่ที่ราชินีจิ้งจอกพูดถึงคือก็อตแซงชัวรี่ที่เราจากมาล่ะก็ อย่างนั้นแล้วสปิริตที่ไม่มีวันตายก็อาจจะเป็นสปิริตที่เราคุ้นเคย มีเพียงแค่สปิริตในก็อตแซงที่มีชีวิตเป็นอมตะ ถ้าพวกเขาถูกฆ่า พวกเขาก็จะเกิดใหม่ขึ้นมาจากสปิริตสโตน ตราบใดที่สปิริตสโตนยังอยู่ พวกเขาจะไม่มีวันตาย’ หานเซิ่นเชื่อว่านั่นคือสปิริตที่ผู้นำของเซเคร็ดทำการศึกษา

 

เมื่อหานเซิ่นคำนึงถึงเรื่องนี้ เขาก็คิดว่ามันมีความเป็นไปได้อยู่ 2 อย่างด้วยกัน หนึ่งคือผู้นำของเซเคร็ดเพียงแค่ศึกษาเกี่ยวกับวิธีที่สปิริตมีชีวิตเป็นอมตะ ส่วนอีกความเป็นไปได้คือสปิริตนั้นคือผลการทดลองของผู้นำเซเคร็ด

 

แต่ไม่ว่าคำอธิบายไหนจะเป็นความจริง สุดท้ายแล้วการศึกษาของผู้นำเซเคร็ดก็ล้มเหลว ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่ตาย

 

เซี่ยชิงเป็นหนึ่งในสปิริตที่อยู่มานานที่สุด ภายในก็อตแซงชัวรี่นั้นเขาจะไม่มีวันตาย

 

ครั้งหนึ่งหานเซิ่นเคยถามเซี่ยชิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเขาบอกว่าเมื่อสปิริตวิวัฒนาการออกมายังสหพันธ์ดวงดาว การเชื่อมต่อของเขากับสปิริตสโตนก็ถูกตัดขาด เซี่ยชิงเชื่อว่าถ้าเขาตายในตอนนี้ เขาจะไม่สามารถกลับไปมีชีวิตใหม่อีกครั้งได้

 

หานเซิ่นอยากจะถามราชินีจิ้งจอกเกี่ยวกับก็อตแซงชัวรี่เพิ่มเติม แต่นั่นคือทั้งหมดที่เธอรู้ สิ่งที่เธอรู้ส่วนใหญ่คือสิ่งที่เธอบังเอิญได้ยินมาจากขุนพลโกสต์โบน

 

หานเซิ่นรู้สึกเสียใจที่ฆ่าขุนพลโกสต์โบนไปง่ายๆแบบนั้น

 

แต่พลังของคริสตัลสีดำอยู่เหนือการควบคุมของหานเซิ่น ขุนพลโกสต์โบนทำอะไรบุ่มบ่ามเอง และเมื่อพิจารณาดูดีๆแล้ว หานเซิ่นก็ไม่ใช่คนที่ผิด

 

พวกเขาตกสู่ความเงียบสักพัก ก่อนที่ราชินีจิ้งจอกจะพูดขึ้นมา
“ข้าเดาว่าเมืองโกสต์โบนที่เจ้าเห็นคือที่พำนักของผู้นำเซเคร็ด และที่เมืองแห่งนั้นถูกตั้งชื่อว่าเมืองโกสต์โบนก็เพื่อปิดบังจุดประสงค์ที่แท้จริงของมัน”

 

“ที่พำนักที่ว่านั่นจริงๆแล้วมันคืออะไรกัน?”
หานเซิ่นได้ยินเธอพูดหลายครั้ง แต่เขายังไม่แน่ใจว่าจริงๆแล้วมันหมายถึงอะไรกัน

 

ราชินีจิ้งจอกตอบอย่างช้าๆ “ไอเดียของมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างซับซ้อน เพราะมันใช้ต้องในหลากหลายสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ง่ายๆก็คือผู้นำของเซเคร็ดพบหนทางที่เขาอาจจะมีชีวิตที่เป็นอมตะ แต่เขายังคงใช้มันไม่ได้ มันเป็นบางสิ่งที่จำเป็นต้องใช้เวลา”

 

“แต่ข้าไม่เห็นอะไรพิเศษในเมืองนั่นเลย” หานเซิ่นพูด

 

ราชินีจิ้งจอกยิ้มและพูด “มันเป็นโปรเจคลับของผู้นำเซเคร็ด เจ้าคิดว่ามันจะเป็นอะไรที่หาเจอง่ายๆหรือยังไง? เมืองนั้นคงจะเป็นแค่ฉากหน้าเท่านั้น มันอาจจะมีสิ่งของบางอย่างที่ทำให้เจ้าเข้าไปสู่ที่นั่นได้ เจ้าอาจจะต้องค้นหาเมืองนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง”

 

‘สิ่งที่ราชินีจิ้งจอกพูดไม่ตรงกับที่ขุนพบโกสต์โบนบอกเรา เขาบอกว่าอนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์นั้นตั้งอยู่ที่อื่น’
หานเซิ่นคิด หลังจากนั้นเขาก็ถามขึ้นมา “ข้าเห็นรูปปั้นของขุนพลโกสต์โบนอยู่ที่นั่นด้วย แต่มันเป็นเพียงแค่รูปปั้นยามเฝ้าประตูเท่านั้น และมันมีรูปปั้นของอีกคนหนึ่งอยู่ข้างใน นั่นคือผู้นำของเซเคร็ดอย่างนั้นหรอ?”

 

หานเซิ่นบรรยายเกี่ยวกับรูปปั้นของจักรพรรดิมนุษย์ หลังจากนั้นเขาก็รอคอยคำตอบของราชินีจิ้งจอก

 

ราชินีจิ้งจอกส่ายหัว “บอกตามตรง ข้าไม่เคยเห็นผู้นำของเซเคร็ด ข้ากลัวว่าแม้แต่ขุนพลทั้งสิบก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เห็นว่าผู้นำของเซเคร็ดมีรูปลักษณ์เป็นยังไงกันแน่”

 

“นั่นเป็นไปได้ยังไงกัน?” หานเซิ่นมองไปที่ราชินีจิ้งจอกอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

“จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ผู้นำของเซเคร็ดนั้นสวมใส่ชุดเกราะที่ปกปิดใบหน้าอยู่เสมอ ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าผู้นำของเซเคร็ดเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ทั้งหมดที่ข้ารู้ก็คือรูปร่างของเขาไม่ได้แตกต่างไปจากเจ้าหรือข้า แต่ยังไงซะนั่นก็เป็นเพียงแค่รูปร่างที่มองได้ผ่านชุดเกราะเท่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของเขา มันไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป ถ้าเขาจะเปลี่ยนร่างกายหรือแม้แต่ยีนของตัวเอง” ราชินีจิ้งจอกพูด

 

ราชินีจิ้งจอกจะไม่สามารถบอกอะไรเขาได้มาก ถึงแม้เธออยากจะพูดคุยต่อไป แต่เธอก็ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่านั้น เธอทำได้แค่บอกต่อถึงสิ่งที่เธอเคยได้ยินมาจากขุนพลโกสต์โบนเท่านั้น

 

หานเซิ่นตรวจสอบโซ่ที่ล่ามตัวราชินีจิ้งจอกอยู่ เมื่อเขาจำเป็นต้องพักเบรก เขาก็จะไปที่ไวท์โบนโลล์เพื่อฝึกฝน เขาจะวิชาเรื่องราวของยีนเพื่อดูดซับพลังโกสต์โบนเข้าไป

 

หานเซิ่นเลือกที่จะฝึกศาสตร์ตงเสวียนที่หลังสุด  เพราะเรื่องราวของยีนจำเป็นต้องใช้ปัจจัยภายนอกที่ไม่ใช่พลังของตัวเขาเอง และนั่นก็คือสิ่งที่เขากำลังมีอยู่ในตอนนี้

 

เมื่อเห็นว่าหานเซิ่นกลับเข้ามา เจ้ากิเลนโลหิตก็ออกมาจากภูเขาดอกบัวในทันที มันนำลูกแพร์โลหิตออกมาให้กับหานเซิ่น

 

หานเซิ่นพยายามจะผูกมิตรกับเจ้ากิเลนโลหิต เพราะมันไม่ได้มีจิตมุ่งร้ายต่อเขาเลยสักนิดเดียว และนั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกดีใจ
‘บางทีเราอาจจะทำให้เจ้าตัวนี้เชื่องได้จริงๆ ถ้าเรามีนักสู้ระดับราชันอยู่ข้างกายล่ะก็ บางทีเราอาจจะต่อกรกับศัตรูอย่างเอ็ดเวิร์ดได้’

 

หานเซิ่นพยายามจะสัมผัสตัวกิเลนโลหิต และเมื่อเขาทำแบบนั้นเจ้ากิเลนโลหิตก็ไม่ได้หลีกเลี่ยงเขา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เก็บเนื้อเก็บตัวอย่างมาก ซึ่งทำให้การผูกมิตรกับมันเป็นเรื่องยาก

 

ขณะเดียวกันในที่สุดเอ็ดเวิร์ดและคนอื่นๆก็พบประตูของปราสาท แต่ทว่าพวกเขายังไม่สามารถเปิดมันได้

 

“ทำไมมันถึงมีปราสาทอยู่ที่นี่? นี่ผู้นำของเซเคร็ดทิ้งมันเอาไว้อย่างนั้นหรอ?” อัศวินไอซ์บลูระดับราชันถามขึ้นมา

 

“เมื่อดูจากสถาปัตยกรรมของที่นี่แล้ว ข้าไม่คิดว่ามันเป็นของผู้นำเซเคร็ด ถ้าข้าดูไม่ผิดล่ะก็ สไตล์ของที่นี่ดูคล้ายคลึงกับงานฝีมือของขุนพลโกสต์โบน” กุนซือไวท์พูด

 

“ใครจะเป็นคนสร้างปราสาทนี้ขึ้นมาก็ช่าง พวกเราต้องหาทางเปิดมันออกให้ได้ พวกเขาจะไปที่อนุสรณ์สถานไม่ได้ถ้าไม่มีโบราณวัตถุที่หานเซิ่นเอาไป” เอ็ดเวิร์ดหันไปมองที่กุนซือไวท์
“กุนซือไวท์ ท่านเชี่ยวชาญในการคลายการป้องกันของสิ่งที่ต่างๆ ท่านไม่มีหนทางที่จะเปิดประตูของปราสาทนี้เลยอย่างนั้นหรอ?”

 

“กำแพงของปราสาทนี้พิเศษมากๆ ข้าไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน การจะทำลายเข้าไปอาจจะต้องใช้เวลาหลายทศวรรษ!” กุนซือไวท์พูด

 

“นั่นมันนานเกินไป มันไม่มีหนทางอื่นอยู่เลยหรอ?” ราชาอัศวินไอซ์บลูถาม

 

กุนซือไวท์ลูบคางของเขาขณะที่ครุ่นคิด “หนทางที่ดีที่สุดที่จะเข้าไปข้างในก็คือใช้กำลังเพื่อเปิดส่วนหนึ่งของสิ่งก่อสร้าง ถ้าพวกเราทุกคนรวมพลังกันนั่นก็อาจจะได้ผล แต่ก่อนอื่นพวกเราต้องเตรียมการบางอย่างซะก่อน และสำหรับเรื่องนั้นข้าจำเป็นต้องพึ่งความร่วมมือของทุกคนในที่นี้”

 

“พวกเราจะฟังที่ท่านบอก” เอ็ดเวิร์ดและราชาอัศวินไอซ์บลูพยักหน้า

 

“ข้าจำเป็นต้องใช้บางสิ่งที่ไม่มีอยู่ในฐานทัพ ดังนั้นข้าต้องไปที่อื่นเพื่อเอาพวกมันมา มันคงจะใช้เวลาประมาทหนึ่งเดือน ในช่วงนั้นข้าอยากจะให้พวกเจ้าคอยเฝ้าอยู่ที่นี่” กุนซือไวท์พูด

 

หลังจากนั้นกุนซือไวท์ก็พาครามจากไป ขณะที่ราชาอัศวินไอซ์บลูและเอ็ดเวิร์ดคอยเฝ้าปราสาทอย่างใกล้ชิด

 

ขณะที่หานเซิ่นกำลังพูดคุยกับราชินีจิ้งจอก สมาธิของเขาก็กำลังจดจ่ออยู่กับโครงสร้างของปราสาท และเกือบจะคาดไม่ถึงเขาก็พบหนทางที่จะช่วยราชินีจิ้งจอกออกไป

 

แต่จริงๆแล้วหานเซิ่นไม่อยากจะช่วยเหลือราชินีจิ้งจอก เพราะมันมีแต่จะนำภัยมาสู่ตัวเขา ใครจะรู้ว่าเธออาจจะจู่โจมหานเซิ่นในจังหวะที่เธอเป็นอิสระแล้ว?

 

จิ้งจอกเปลี่ยนร่างไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่เป็นมิตรที่สุด และที่เธอพูดคุยกับหานเซิ่นมากขนาดนี้ นั่นก็เป็นเพราะเธอถูกขังอยู่ที่นี่ตามลำพังมาเป็นเวลานานและเธอรู้สึกเบื่อเท่านั้น ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเธอได้รับอิสรภาพกลับคืนมา?

 

หานเซิ่นรู้ว่าจิ้งจอกเปลี่ยนร่างที่งดงามได้ทำให้หลายเผ่าพันธุ์ต้องล่มสลาย ซึ่งนั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่หานเซิ่นไม่อยากจะผูกมิตรกับราชินีจิ้งจอก

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset