Super God Gene – ตอนที่ 2279

“อีกอย่างหนึ่ง ถึงข้าจะรู้ว่ามันมีเลือดนรกอยู่ในรูปปั้น แต่ข้าไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนกันแน่ และเนื่องจากเจ้ายังอ่อนแอ ข้าไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเจ้าจะทำความเสียหายกับมันได้หรือเปล่า นอกจากนั้นถึงข้าจะได้รับเลือดนรกมา โอกาสในการจะปลุกเลือดนรกในตัวของข้าก็ยังคงต่ำ นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าบอกว่ามันเป็นโอกาสหนึ่งในพันล้าน ถ้าเจ้ามีวิธีที่จะหนีไปล่ะก็ ข้าแนะนำให้เจ้าใช้มันซะตอนนี้” ขณะที่อี๋ซาพูดจบ ใบหน้าของเธอก็ซีดยิ่งกว่าเดิม

 

หานเซิ่นหันหน้าไปหารูปปั้น หลังจากนั้นเขาก็เปิดใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง

 

ถ้าเขาอยากจะมีชีวิตรอด เขาจำเป็นต้องพึ่งอี๋ซา และเขาก็ไม่อยากจะเห็นเธอตายเช่นกัน ถ้ามันมีหนทางที่จะช่วยชีวิตเธอและแก้ไขสถานการณ์ที่คับขันของเขาไปด้วย เขาก็อยากจะลองดู

 

เป็นอย่างที่อี๋ซาพูด มันอันตรายที่จะลองดู ถ้าพวกเขาล้มเหลว มันก็มีโอกาสสูงที่เขาจะตาย

 

และถ้าการโจมตีของหานเซิ่นไม่ได้ผล รูปปั้นเฮลล์โกสต์ก็อาจจะโจมตีเขากลับ

 

โชคดีที่หานเซิ่นมีรังนกของอันดายอิ้งเบิร์ดไว้ใช้ป้องกันตัวเอง ด้วยโล่แบบนั้นเขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว

 

แถมเขายังมีกิเลนโลหิตอยู่ ถ้าเกิดพลังของเขาเองไม่สามารถทำลายร่างของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้ พละกำลังของกิเลนโลหิตก็อาจจะทำได้

 

แต่ก่อนที่เขาจะสั่งให้กิเลนโลหิตโจมตี หานเซิ่นจำเป็นต้องหาตำแหน่งของเลือดนรกภายในรูปปั้นเฮลล์โกสต์ให้ได้ซะก่อน และเมื่อเขาหาตำแหน่งของมันได้แล้ว เขาก็ต้องทำให้แน่ใจว่ามันจะสำเร็จในการโจมตีเพียงครั้งเดียว เพราะเขาไม่รู้ว่าจะได้รับโอกาสครั้งที่ 2 หรือเปล่า

 

ด้วยการวิเคราะห์ของวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง หานเซิ่นตรวจพบห่วงโซ่สสารที่ซับซ้อนอย่างมาก และพวกมันก็เป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจได้ แต่หานเซิ่นไม่ได้อยากว่ารูปปั้นเฮลล์โกสต์ถูกสร้างขึ้นมายังไง ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือหาตำแหน่งที่มีเลือดนรกอยู่เท่านั้น

 

ด้วยการใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนและวิญญาณผีเสื้อเนตรม่วง ในที่สุดดวงตาของหานเซิ่นก็เป็นประกายขึ้นมา
“มันอยู่ตรงนั้น!”

 

เมื่อหานเซิ่นมองไปที่ระหว่างคิ้วของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ เขาก็สังเกตเห็นว่าห่วงโซ่สสารบริเวณนั้นหนาแน่นเป็นพิเศษ สสารสีม่วงหนาซะจนหานเซิ่นไม่สามารถหารอยต่อของพวกมันได้

 

“กิเลนโลหิต โจมตีไปตรงนั้น!” หานเซิ่นยกธันเดอร์ก็อตสไปค์ขึ้นและเล็งไปที่ระหว่างคิ้วของรูปปั้นเฮลล์โกสต์

 

กิเลนโลหิตแบกหานเซิ่นบนหลังขณะที่เรืองแสงสีแดงออกมา ลมปราณโลหิตหมุนเวียนเพื่อปกคลุมทั้งร่างกายของมัน มันปล่อยเสียงคำรามที่ดังกระหึ่มราวกับฟ้าร้องออกมา ก่อนที่จะกระโดดเข้าใส่ระหว่างคิ้วของรูปปั้นเฮลล์โกสต์

 

อี๋ซาประหลาดใจขณะที่มองดูหานเซิ่น เธออ่อนแอเกินกว่าที่จะเข้าร่วมได้ และเป็นตอนนั้นเองที่เธอเพิ่งจะสังเกตเห็นอสูรที่หานเซิ่นกำลังขี่อยู่ เธอสามารถบอกได้ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพ และมันก็ไม่ใช่แค่สิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพธรรมดาเช่นกัน มันเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตในระดับเดียวกัน

 

อี๋ซาประหลาดใจที่หานเซิ่นสามารถสั่งการสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งขนาดนั้นได้ ภาพนั้นทำให้เธอรู้สึกมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย

 

ซีโน่เจเนอิคตัวหนึ่งที่แข็งแกร่งพอๆกับเธออาจจะทำให้รูปปั้นเฮลล์โกสต์แตกร้าวและนำเอาเลือกนรกออกมาได้สำเร็จ

 

ขณะที่อี๋ซากำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่นั้น กรงเล็บของกิเลนโลหิตก็ส่งการโจมตีที่โหดร้ายเข้าไปใส่ระหว่างคิ้วของรูปปั้น

 

แต่ทันใดนั้นรูปปั้นเฮลล์โกสต์ก็ส่องสว่างแสงสีม่วงออกมา ก่อนที่หานเซิ่นและกิเลนโลหิตจะตอบสนองได้ทัน มืออีกข้างของมันก็จับตัวกิเลนโลหิตเช่นเดียวกับอี๋ซา เล็บที่แหลมคมของมันทิ่มเข้าไปในเนื้อหนังของกิเลนโลหิต

 

กิเลนโลหิตส่งเสียงกรีดร้องออกมา กรงเล็บของรูปปั้นเจาะทะลุเกล็ดของกิเลนโลหิตเข้าไปอย่างง่ายดาย

 

หานเซิ่นปลอดภัย เนื่องจากมือของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้จับตัวของกิเลนโลหิตเท่านั้น เขาร่วงกลับลงไปบนสะพานและมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ

 

เห็นได้ชัดว่าพลังของรูปปั้นเฮลล์โกสต์อยู่ในระดับเทพเจ้า เพราะแม้แต่กิเลนโลหิตก็ไม่สามารถขัดขืนมันได้ ไม่ว่าเจ้ากิเลนโลหิตจะพยายามดิ้นรนมากสักแค่ไหน มันก็ไม่หลุดออกมาจากกำมือของรูปปั้นเฮลล์โกสต์

 

การดิ้นรนมีแต่จะทำให้เล็บของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ฝังเข้าไปลึกยิ่งกว่าเดิม เลือดเริ่มไหลออกมามากขึ้น

 

อี๋ซาดูหดหู่ เธอประเมินความเหลี่ยมจัดของรูปปั้นต่ำเกินไป อี๋ซาคิดว่าเธอกำลังดึงความสนใจของรูปปั้นเฮลล์โกสต์มาที่ตัวเอง แต่ตอนนี้เธอรู้ตัวแล้วว่ารูปปั้นเฮลล์โกสต์มีพลังมากกว่าที่เธอคิดเอาไว้

 

“กิเลนโลหิตอย่าขยับ!” หานเซิ่นตะโกนบอกกิเลนโลหิตจากด้านล่าง

 

เมื่อได้ยินเสียงของหานเซิ่น เจ้ากิเลนโลหิตก็หยุดดิ้นรนและยอมปล่อยตัวเองไปกับความเจ็บปวด เมื่อกิเลนโลหิตหยุดขันขืน กรงเล็บของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ก็ดูเหมือนจะเบาบางลงไป

 

“บ้าเอ๊ย! ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว มันไม่ใช่เพราะอี๋ซาและกิเลนโลหิตแข็งแกร่งไม่พอ ที่รูปปั้นโจมตีพวกเขาเป็นเพราะพวกเขามีพลังนรกอยู่ในตัวเรียบร้อยแล้ว” หานเซิ่นมองดูร่างกายสีม่วงของตัวเอง

 

รูปปั้นเฮลล์โกสต์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต มันเป็นแค่รูปปั้นจริงๆ และภายในรูปปั้นก็มีเลือดนรกอยู่ นั่นเป็นแหล่งพลังของมัน แต่ในขณะที่มันมีพลังมาก มันก็ขาดสติปัญญาที่จะคิดทำอะไรด้วยตัวเอง มันเพียงแค่ทำตามที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้เท่านั้น

 

มันเป็นเพราะพลังนรกที่อยู่ภายในร่างกายของพวกเขาที่ทำให้รูปปั้นเคลื่อนไหว ถ้าหานเซิ่นใช้พลังของเขา พลังนรกที่ตอนนี้อยู่ภายในร่างกายของเขาก็จะทำงานและกระตุ้นให้รูปปั้นเฮลล์โกสต์ทำการเคลื่อนไหว

 

เหตุการณ์นั้นต่อเนื่องกันเหมือนกับโดมิโน่ นอกซะจากหานเซิ่นจะสามารถกำจัดพลังนรกจากตัวของเขาได้ แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ไม่สามารถป้องกันการโจมตีของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้

 

และเมื่อพลังนรกแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของหานเซิ่นมากพอแล้ว รูปปั้นก็จะโจมตีเขา ถึงแม้เขาจะไม่ได้ลงมือทำอะไรก่อนเช่นเดียวกับอี๋ซา ในตอนที่อี๋ซาก้าวขึ้นมาบนสะพาน เธอไม่ได้จู่โจมรูปปั้นเฮลล์โกสต์ แต่ถึงอย่างนั้นรูปปั้นก็ยังจับตัวเธอ

 

ที่หานเซิ่นและกิเลนโลหิตไม่ได้กระตุ้นให้รูปปั้นเฮลล์โกสต์ทำการเคลื่อนไหวในตอนที่พวกเขาเดินเข้ามาใกล้ นั่นเป็นเพราะรังนกของอันดายอิ้งเบิร์ด ในตอนแรกหานเซิ่นคิดว่ารังนกไม่ได้มีผลอะไรต่อพลังนรก แต่จริงๆแล้วมันช่วยกำจัดพลังนรกบางส่วนไป นั่นเป็นเหตุผลที่หานเซิ่นและกิเลนโลหิตไม่ได้ถูกโจมตีในทันทีที่พวกเขามาถึง

 

หานเซิ่นรู้สึกปวดหัวขึ้นมา ปัญหามันไม่ใช่แค่การเอาเลือดนรกออกมาจากรูปปั้นอีกต่อไป แต่มันเป็นความจริงที่เขาไม่สามารถแตะต้องรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้ด้วยซ้ำ ถ้าหานเซิ่นใช้พลังของเขาในระดับหนึ่ง พลังนรกที่สะสมในร่างกายของเขาก็จะทำงาน หลังจากนั้นรูปปั้นเฮลล์โกสต์ก็จะโจมตีเขา

 

“ไปซะ” อี๋ซาเป็นคนฉลาด เธอเข้าใจถึงปัญหาเช่นเดียวกัน เมื่อร่างกายของเขาถูกพลังนรกเข้าแล้ว ความหวังทั้งหมดที่จะเอาชนะรูปปั้นเฮลล์โกสต์ก็สูญสิ้นไป แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ถ้าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน

 

หานเซิ่นจ้องมองไปที่รูปปั้นเฮลล์โกสต์โดยไม่พูดอะไร เขาไม่อยากจะจากไปทั้งๆอย่างนั้น นอกจากเขาจะช่วยอี๋ซาไม่สำเร็จแล้ว ตอนนี้กิเลนโลหิตยังถูกจับตัวไปอีก ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่หานเซิ่นจะโยนผ้ายอมแพ้

 

หานเซิ่นถือธันเดอร์ก็อตสไปค์อยู่ในมือ ปีกบนหลังของเขากระพือและเทเลพอร์ตไปตรงหน้ารูปปั้นเฮลล์โกสต์ แต่ในจังหวะที่เขาเข้าใกล้ มือที่กำลังกำอี๋ซาเอาไว้ก็ฟาดใส่หานเซิ่น

 

ปัง!

หานเซิ่นใช้รังนกเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังถูกส่งกระเด็นออกไปและร่วงลงกระแทกกับพื้นที่แข็งของสะพาน ร่างกายของหานเซิ่นเป็นเหมือนกับอุกกาบาตที่ตกลงสู่พื้นโลก หานเซิ่นกระอักเลือดออกมาเต็มพื้นตรงหน้าของเขา

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset