Super God Gene – ตอนที่ 2370

หานเซิ่นขี่หลังกิเลนโลหิตและตามหลังหลันไห่ซินไปอย่างช้าๆ เขาทำเหมือนกับว่าไม่ได้สนใจอะไร แต่ความจริงแล้วเขาไม่รู้ว่าโบราณวัตถุนั้นอยู่ที่ไหน ดังนั้นเขาจึงแกล้งทำเป็นไม่รีบไม่ร้อนอะไรเพื่อที่เขาจะได้อยู่ด้านหลังของหลันไห่ซิน

 

สิ่งที่ทำให้หานเซิ่นสับสนก็คือหญิงแก่เผ่าไซเรนที่อยู่ข้างหน้าไม่ได้พาพวกเขาออกไปจากดาววอเทอร์โซน พวกเขากำลังมุ่งหน้าลึกเข้าไปในท้องทะเลแทน

 

‘นี่สมบัติของไซเรนอยู่บนดวงดาวแห่งนี้อย่างนั้นหรอ? ถ้าสมบัตินั้นอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วทำไมพวกเขาถึงยังไม่เอามันมาอีก’
หานเซิ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตัว ‘บางทีหลันไห่ซินและคนอื่นอาจจะไม่ได้เป็นเจ้าของโบราณวัตถุนั้น? บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้นำมันมาที่นี่ แต่โบราณวัตถุนั้นคงจะอยู่บนดาววอเทอร์โซนตั้งแต่ที่พวกเขามาถึงแล้ว”

หานเซิ่นครุ่นคิดเพิ่มอีกเพื่อคำนึงถึงรายละเอียดต่างๆ
‘แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ คนที่ครอบครองโบราณวัตถุก็น่าจะเป็นแม่ของไป๋อี้ แต่ทำไมแม่ของไป๋อี้ถึงไม่มอบโบราณวัตถุให้กับลูกชายคนเดียวของเธอ? จากบันทึกของไป๋อี้ ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ว่าโบราณวัตถุอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่คนที่รู้กลับเป็นหลันไห่ซิน สถานการณ์ทั้งหมดนี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด’

 

หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับมันเพิ่มอีก แต่เขาไม่สามารถหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลได้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงตัดสินใจตามน้ำไป เขาจะปลาบปลื้มอย่างมาก ถ้าเขาได้โบราณวัตถุมาเป็นของตัวเอง แต่มันก็ไม่เป็นไรถ้าเกิดเขาไม่ได้มันมา เพราะยังไงซะมันก็ไม่ใช่ของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

 

ด้วยการนำทางของหญิงแก่เผ่าไซเรน หานเซิ่นและคนอื่นไปหยุดอยู่ใกล้ๆกับภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ใต้ทะเล

 

หานเซิ่นขมวดคิ้วและมองไปรอบๆ

 

หานเซิ่นคุ้ยเคยกับภูเขาลูกนี่ ครั้งก่อนที่เขามาที่นี่นั้นเขาได้ไล่ตามหอยสังข์ภูเขามา ความจริงแล้วที่นี่คือที่ที่เขาฆ่าหอยสังข์ภูเขาและหอยสังข์คริสตัลสายรุ้ง

 

แต่ครั้งก่อนหานเซิ่นอยู่ทางด้านซ้ายของภูเขา ตอนนี้เขายืนอยู่ที่ด้านขวาของภูเขาแทน

 

‘หอยสังข์คริสตัลสายรุ้งไม่มีทางเกี่ยวข้องกับโบราณวัตถุนี้หรอกใช่ไหม’
หานเซิ่นคิด เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งที่แปลกประหลาดมากๆกำลังเกิดขึ้น

 

ไป๋อี้ไล่ฆ่าซีโน่เจเนอิคระดับสูงทั้งหมดของดาววอเทอร์โซน แต่ที่ภูเขาลูกนี้กลับมีซีโน่เจเนอิคระดับราชัน 2 ตัวและระดับเทพเจ้าอีกหนึ่งตัว นั่นถือเป็นอะไรที่แปลกประหลาด

 

“องค์หญิง มันไม่เป็นอะไร” หญิงแก่เผ่าไซเรนเดินออกไปตรงหน้าภูเขาก่อนที่จะหันกลับมาโค้งคำนับหลันไห่ซิน

 

หลันไห่ซินพยักหน้าและมอบเป่าเอ๋อให้กับองครักษ์หญิงเผ่าไซเรน หลังจากนั้นเธอก็เดินไปตรงหน้าภูเขาและถอดสร้อยคอออกมาจากคอของเธอ

สร้อยคอนั้นดูเรียบง่าย โซ่สีแดงของสร้อยคอประดับด้วยจี้หินสีฟ้า มันไม่ได้ส่องประกายเหมือนกับอัญมณี ดังนั้นมันจึงไม่ได้ดูพิเศษอะไร

 

ถ้าหลันไห่ซินไม่นำมันออกมาในตอนนี้ หานเซิ่นก็ไม่มีทางรู้เลยว่ามันเป็นของสำคัญ เขาจะเดินผ่านมันโดยไม่เหลียวมามอง ถ้ามันวางอยู่ด้านข้างของถนน มันดูธรรมดาเกินกว่าที่จะดึงดูดสายตาของผู้คน

 

มันมีรูสามเหลี่ยมขนาดเล็กอยู่ที่ไหล่เขา และหลันไห่ซินก็สอดหินสีฟ้าเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นก็มีเสียงบูมดังขึ้นมาจากภายในภูเขา

 

ภูเขาใต้น้ำทั้งลูกเคลื่อนไหวและเผยให้เห็นเส้นทางที่มืดมิด บันไดนำลึกลงไปใต้ภูเขา และเมื่อหานเซิ่นพยายามมองลงไป เขาก็เห็นแต่สีดำสนิทเท่านั้น

 

นอกจากนั้นน้ำทะเลก็ถูกแยกออกด้วยพลังที่มองไม่เห็น บนบันไดนั้นแห้งสนิท

 

หญิงแก่เผ่าไซเรนค่อยๆเดินลงบันไดไป และหลันไห่ซินก็พาเป่าเอ๋อกับไซเรนคนอื่นตามหลังไป

 

ขณะที่เดินลงบันไดไป หานเซิ่นก็ขมวดคิ้วและมองไปรอบๆด้วยความรู้สึกกังวลต่อบางสิ่งที่ไม่มองเห็น แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เขารู้สึกแบบนั้น

 

หานเซิ่นเชื่อในสัญชาตญาณตัวเอง ถ้าเขารู้สึกไม่สบายใจแบบนี้ มันก็ต้องมีอันตรายบางอย่างซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้อย่างแน่นอน

 

แต่หานเซิ่นยังสัมผัสถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ที่นี่ไม่ได้ บันไดนำพวกเขาลงไปเรื่อยๆราวกับว่าพวกมันไม่มีที่สิ้นสุด ผู้คนส่องสว่างในความมืดมิด แต่แสงของพวกเขาเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆของบริเวณรอบๆเท่านั้น และแสงของพวกเขาก็ไม่สามารถเจาะทะลุความมืดออกไประยะไกลได้

 

หานเซิ่นมองไปยังบันไดที่มืดมิด และเขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังเดินลงไปในปากของอสูรที่ชั่วร้าย

 

ลิลลี่นั้นหวาดกลัวอย่างมาก เธอพยายามจะยืนใกล้ๆกับกิเลนโลหิต เธอเกือบจะพบว่าตัวเองกำลังเกาะขาของหานเซิ่น โดยปกติแล้วเธอจะหวาดกลัวต่อกิเลนโลหิตและพยายามอยู่ห่างออกไปจากมัน มันเห็นได้ชัดว่าความมืดทำให้เธอรู้สึกกลัวอย่างมาก

 

ในสถานการณ์อื่น หานเซิ่นคงจะพยายามปลอบขวัญเธอเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้เขากำลังปลอมตัวเป็นไป๋อี้ ไป๋อี้ไม่ใช่คนที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจใคร ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงแกล้งทำเป็นว่ามองไม่เห็น

 

กลุ่มของพวกเขาเดินลงบันไดไปอย่างเงียบๆ หานเซิ่นไม่แน่ใจว่าพวกเขาเดินทางมานานแค่ไหนแล้ว แต่เขาคิดว่ามันผ่านมาอย่างน้อยๆ 8 ชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะเห็นแสงสว่าง

 

“พวกเราเกือบจะถึงแล้ว” หญิงแก่เผ่าไซเรนดูดีใจ เธอเคลื่อนที่เร็วขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

 

แสงในความมืดนั้นสว่างขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากที่เดินทางไปอีกครึ่งชั่วโมง หานเซิ่นก็เห็นสิ่งที่อยู่ในแสงนั้น

 

มันเป็นปราสาทคริสตัลที่ดูเหมือนกับออกมาจากเทพนิยาย ทั้งปราสาทอาบด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์และเมฆที่ดูลึกลับ มันดูเหมือนกับบางสิ่งที่ออกจากดินแดนแห่งความฝัน

 

เมื่อหานเซิ่นและคนอื่นเข้าไปใกล้ พวกเขาก็เห็นว่าเหนือประตูของปราสาทคริสตัลนั้นมีป้ายอยู่ มันเขียวเอาไว้ว่าปราสาทคริสตัลจริงๆ

 

เมื่อมองไปที่ปราสาทคริสตัล หานเซิ่นก็รู้สึกค่อนข้างกังวล หัวใจของเขาเต้นรัว

 

ปราสาทคริสตัลนั้นโปร่งใสทั้งหลังราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากคริสตัล เขาควรจะมองทะลุผ่านเข้าไปข้างในได้ แต่เมฆและประกายของแสงสีรุ้งที่ลอยอยู่ในปราสาท ทำให้มองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน

 

แสงสีรุ้งนั้นทำให้หานเซิ่นรู้สึกตกใจเล็กน้อย มันดูเหมือนกับสายรุ้งของหอยสังข์ระดับเทพเจ้าที่เขาฆ่าตายไป

 

และคริสตัลของปราสาทคริสตัลก็ดูเหมือนจะเป็นวัสดุเดียวกันกับเปลือกของหอยสังข์คริสตัลสายรุ้ง

 

“นั่นเป็นแค่เรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัย แต่เขาไม่คิดแบบนั้น

 

ตอนนี้หานเซิ่นเริ่มรู้สึกลังเลที่จะเดินหน้าต่อไป ถ้าหอยสังข์คริสตัลสายรุ้งเป็นซีโน่เจเนอิคจากปราสาทคริสตัลนี้ล่ะก็ มันก็อาจจะมีซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าซ่อนอยู่ภายในนั้นอีก

 

หานเซิ่นหันมองไปที่เป่าเอ๋อและนกแดงน้อยบนไหล่ของเธอ พวกเธอดูไม่ได้กังวลอะไรกับสถานที่แห่งนี้ ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย

 

ขณะที่หานเซิ่นกำลังคิด กลุ่มของพวกเขาก็ไปถึงหน้าประตูปราสาท หลังจากนั้นหลันไห่ซินก็หันมามองหานเซิ่น “ถึงตาเจ้าแล้ว”

 

หานเซิ่นสะดุ้ง เขาไม่รู้ว่าหลันไห่ซินหมายถึงอะไร แต่เขาก็ไม่สามารถแสดงความสับสนออกมาได้

 

ดังนั้นเขาจึงมองไปที่ประตูของปราสาทคริสตัลและแกล้งทำเป็นว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

 

“เจ้ามาถึงที่นี่แล้ว เจ้ายังมัวรออะไรอีก นี้เจ้าไม่เชื่อใจแม่ตัวเองอย่างนั้นหรอ? ถ้านางไม่ได้ตั้งให้ประตูของปราสาทคริสตัลเปิดได้เฉพาะเลือดของเจ้า ข้าก็คงจะไม่ยอมรับคำร้องขอของนาง”
หลันไห่ซินมองไปที่หานเซิ่น “ตอนนี้เมื่อเจ้ารู้ว่าปราสาทคริสตัลอยู่ที่ไหน เจ้าก็คิดที่จะเพิกถอนข้อตกลงของพวกเราอย่างนั้นหรอ?”

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset