Super God Gene – ตอนที่ 2402

ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าทั้งสี่ใช้พลังของพวกเขาเพื่อเปิดประตูหอคอยแห่งโชคชะตา มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะเข้าไปข้างในได้ เมื่อหานเซิ่นได้รับสัญญา เขาก็วิ่งเข้าไปในหอคอยทันที

 

เมื่อหานเซิ่นเข้าไปในหอคอยแล้ว ประตูก็ปิดลงด้านหลังของเขา

 

แต่เนื่องจากหานเซิ่นรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไร

 

ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าถึงสี่คนประสานพลังกันเพื่อเปิดประตูของหอคอย และมันก็สามารถเปิดได้เพียงแค่หนึ่งวินาทีเท่านั้น

 

หานเซิ่นมีเวลาหนึ่งเดือนที่จะอยู่ภายในหอคอยแห่งโชคชะตา เมื่อหมดหนึ่งเดือนแล้ว ประตูก็จะเปิดขึ้นอีกครั้ง และหานเซิ่นก็ต้องออกมาจากหอคอย

 

หานเซิ่นมองไปรอบๆหอคอย เขาได้ยินมาว่ามันมีวิชาจีโนที่มหัศจรรย์อยู่ภายในหอคอย ซึ่งสิ่งมีชีวิตไหนก็ตามที่ได้เรียนรู้มันจะวิวัฒนาการได้เร็วขึ้น แต่ทุกคนที่กลับออกไปจากหอคอยดูเหมือนจะเรียนรู้วิชาจีโนที่แตกต่างกันออกไป นั่นทำให้หานเซิ่นสงสัยว่าข่าวลือเป็นความจริงหรือเปล่า

 

หานเซิ่นอยู่บนชั้นแรกของหอคอยแห่งโชคชะตา โครงสร้างภายในของมันดูเหมือนกับหอคอยแห่งโชคชะตาของเขาไม่มีผิด แต่หอคอยนี้มีรูปภาพแขวนอยู่บนกำแพง

 

รูปภาพนั้นควรจะเป็นวิชาจีโนที่ตำนานพูดถึง แต่เมื่อหานเซิ่นมองไปรูปภาพ เขาก็รู้สึกตัวว่ารูปภาพนั้นไม่ใช่วิชาจีโนเลยสักนิดเดียว มันเป็นภาพวาดของคนๆหนึ่ง

 

บุคคลที่อยู่ในภาพเป็นผู้ชาย แต่หานเซิ่นไม่สามารถบอกได้ว่าเขาเป็นมนุษย์ คริสตัลไลเซอร์ เอ็กซ์ตรีมคิงหรือเผ่านภากันแน่

 

แต่ชายคนนี้ไม่ได้ถูกวาดอย่างคนธรรมดาทั่วไป เขาถูกวาดเอาไว้ดังเทพเจ้าที่อยู่บนแท่นบูชา บนกำแพงทั้งหมดนั้นแขวนภาพของผู้ชายคนเดียวกัน แต่อยู่ในท่วงท่าที่ต่างออกไป แต่ไม่ว่าเขาจะอยู่ในท่วงท่าไหน เขาก็ดูเหมือนจะมองออกมาจากรูปภาพด้วยความดูถูก มันทำให้รู้สึกไม่สบายใจเมื่อสบสายตากับชายในภาพวาด

 

ถึงแม้หานเซิ่นจะรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพวาดไม่ใช่คนจริงๆ แต่ชายในภาพวาดก็ทำให้เขารู้สึกหนาวอยู่ดี มันเหมือนกับว่าสายตาของชายคนนั้นสามารถมองทะลุถึงจิตวิญญาณของเขาได้อย่างไรอย่างนั้น

 

หานเซิ่นขมวดคิ้ว ยิ่งเขามองรูปภาพนานมากเท่าไหร่ เขาก็อยากจะหันหน้าหนีจากมันมากเท่านั้น นั่นมันไม่ปกติ

 

“มันมีบางสิ่งผิดปกติกับภาพวาดนี้อย่างนั้นหรอ? หรือว่ามันเหมือนกับวิญญาณหยกในสถานหยกขาว? นี่หรือว่ามันมีชีวิตจริงๆ?”
หานเซิ่นมองไปที่ชายในภาพวาด แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามยังไง เขาก็ไม่สามารถบอกถึงธรรมชาติที่แท้จริงของภาพวาดนั้นได้

 

หานเซิ่นสำรวจหอคอยชั้นที่หนึ่งจนทั่ว แต่เขาไม่พบอะไรอย่างอื่นนอกจากรูปภาพของชายคนนั้น หานเซิ่นเดินต่อขึ้นไปบนชั้นที่ 2 อย่างเงียบๆ

 

เมื่อขึ้นไปถึงชั้นที่ 2 หานเซิ่นก็ต้องขมวดคิ้ว ชั้นที่ 2 ก็มีภาพวาดของชายคนนั้นแขวนอยู่บนทุกกำแพงเช่นเดียวกัน เขาแค่อยู่ในท่วงท่าที่แตกต่างไปจากชั้นแรกเท่านั้น

 

‘อย่าบอกนะว่าทั้งหอคอยมีแค่รูปภาพของชายคนนี้น่ะ?’ หานเซิ่นคิดขณะที่เดินขึ้นไปบนชั้นที่ 3

 

การคาดเดาของหานเซิ่นนั้นถูกต้อง ชั้นที่ 3 เองก็แขวนรูปภาพของชายคนนั้นเอาไว้เช่นเดียวกัน

 

ทุกชั้นในหอคอยมี 8 กำแพงด้วยกัน ทุกกำแพงจะมีรูปภาพประจำของมันเอง หานเซิ่นเริ่มเดินตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งไปจนถึงชั้นที่ 6 และเขาก็เห็นภาพวาดของผู้ชายทั้งหมด 48 ภาพด้วยกัน

 

และมันเป็นบุคคลเดียวกันในทุกๆภาพ เขาแค่อยู่ในท่วงท่าที่แตกต่างกันไปเท่านั้น เขาอาจจะนั่งในรูปภาพหนึ่ง ขณะที่อีกรูปภาพเขาอาจจะกำลังยืนหรือนอนอยู่ แต่ไม่สำคัญว่าชายคนนั้นจะอยู่ในท่วงท่าไหน ดวงตาของเขาจะยังเหมือนเดิมเสมอ หานเซิ่นรู้สึกเกลียดดวงตานั้น

 

ชายคนนั้นไม่ได้น่าเกลียด ความจริงแล้วหานเซิ่นคิดว่าเขาค่อนข้างหล่อเหลา ชายคนนั้นมีรอยยิ้มที่ควรจะเป็นที่ชื่นชอบ แต่หานเซิ่นกลับรู้สึกเกลียดมันอย่างบอกไม่ถูก

 

หานเซิ่นประหลาดใจเล็กน้อยกับเรื่องนั้น เพราะเขาไม่ชอบตัดสินคนอื่นจากรูปลักษณ์ภาพนอก มันไม่สำคัญว่าคนๆหนึ่งจะดูดีหรือแย่ เขาจะไม่สร้างทัศนคติต่อคนๆนั้นขึ้นมาจนกระทั่งเขาได้รู้จักกับคนๆนั้นซะก่อน

 

แต่ตอนนี้เพียงแค่มองรูปภาพบนกำแพง มันก็ทำให้หานเซิ่นรู้สึกเกลียดผู้ชายคนนี้แล้ว ซึ่งมันเป็นอะไรที่ไม่ปกติเลยสักนิด

 

หานเซิ่นพยายามที่จะยับยั้งความโกรธของตัวเองเอาไว้ เขาเดินขึ้นไปบนชั้นที่ 7 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของหอคอย

 

ถ้าหอคอยแห่งโชคชะตานี้เกี่ยวกับข้องกับหอคอยแห่งโชคชะตาโลหะของเขาล่ะก็ ชั้นที่ 7 ก็ควรจะมีใบเสมาอยู่ นั่นคือสถานที่ที่หานเซิ่นกักขังผู้คนเอาไว้ในหอคอยของเขา

 

ทันทีที่หานเซิ่นขึ้นไปเหยียบบนชั้นที่ 7 ของหอคอยแห่งโชคชะตา เขาก็ต้องหยุดชะงักไป

 

มันไม่ได้มีรูปภาพอยู่บนชั้นที่ 7 มันมีเพียงแค่แท่นหินตั้งอยู่ที่ใจกลางของห้อง มีคนๆหนึ่งนั่งอยู่บนแท่นหิน และหานเซิ่นก็รู้สึกตัวในทันทีว่ามันเป็นคนๆเดียวกับที่แสดงในภาพวาดทั้ง 48 ภาพบนหอคอย

 

เขานั่งไขว้ขาอยู่บนแท่นหินราวกับพระสงฆ์ มือของเขาอยู่บนตักและดวงตาของเขาปิดสนิท มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังหลับไหลอยู่

 

หานเซิ่นสัมผัสไม่ได้ถึงพลังชีวิตจากชายคนนั้น ชายคนนั้นเป็นเหมือนกับรูปปั้น แต่หานเซิ่นสามารถบอกว่าชายคนนั้นมีชีวิตจริงๆ เขาสามารถมองเห็นรูขุมขนและผิวสีชมพูของชายคนนั้นได้

 

หานเซิ่นเห็นเส้นเลือดของชายคนนั้นช่นกัน นอกจากความจริงที่ว่าเขาไม่หายใจแล้ว เขาก็ดูเหมือนกับคนที่มีชีวิตอยู่จริงๆ

 

หานเซิ่นใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อสแกนชายคนนั้น มันเป็นอะไรที่แปลกที่ชายคนนั้นดูมีชีวิต ขณะที่ไม่มีร่องรอยของพลังชีวิตอยู่เลย และถึงจะสแกนด้วยออร่าศาสตร์ตงเสวียน หานเซิ่นก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าชายคนนั้นมีชีวิตอยู่หรือเปล่า นั่นเป็นอะไรที่แปลกมากๆ

 

ขณะที่หานเซิ่นกำลังตรวจดูชายคนนั้นอยู่ คลื่นประหลาดก็เริ่มเคลื่อนผ่านอากาศรอบๆร่างกายของชายคนนั้น คลื่นอากาศเคลื่อนตัวเป็นวงกลมเหมือนกับกระแสน้ำวนที่แทบจะมองไม่เห็น

 

หานเซิ่นถอยหลังออกไป แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกตัวว่าวังวนเป็นเพียงแค่พลังชีวิตและไม่ใช่อะไรที่เป็นอันตราย

 

แต่สิ่งที่ทำให้หานเซิ่นประหลาดใจที่สุดก็คือชุดเกราะคริสตัลสีดำที่อยู่ในจิตของเขาตอบสนองต่อวังวนนี้ ชุดเกราะเริ่มจะสั่นไหว ไม่นานพลังที่ลึกลับก็ไหลออกมาจากชุดเกราะและเข้าสู่ร่างกายของหานเซิ่น

 

หานเซิ่นรู้สึกว่าตัวเองหนักอึ้งขึ้นมา มันเหมือนกับว่าเซลล์ทั้งร่างกายของเขาถูกแช่แข็งอยู่กับที่ด้วยพลังลึกลับนั้น ศาสตร์ตงเสวียนและวิชาจีโนหลักอื่นๆของหานเซิ่นเองก็ถูกล็อคด้วยพลังประหลาดนั้นเช่นเดียวกัน

 

มีเพียงแค่ร่างกายแห่งราชันออริจินอลวอเทอร์และพลังอื่นที่หานเซิ่นดูดซับเข้าไปเท่านั้นที่ยังทำงานในร่างกายของเขา

 

“นี่มันคืออะไรกัน?” หานเซิ่นถามด้วยความหวั่นใจ หลังจากนั้นชายคนนั้นก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังยิ้มให้กับหานเซิ่น แต่มันไม่ใช่

 

หัวใจของหานเซิ่นลุกโชนด้วยความรู้สึกเกลียดชังอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันรุนแรงยิ่งกว่าตอนที่เขาได้เห็นรูปภาพพวกนั้น หานเซิ่นพยายามยับยั้งความรู้สึกนั้น

 

ตอนนี้ในที่สุดหานเซิ่นก็เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกเกลียดชังนั้นมาจากไหน ความรู้สึกเกลียดชังภายในตัวของเขากำลังไหลออกมาจากชุดเกราะคริสตัลสีดำ มันไม่ใช่อารมณ์ของเขาเอง

 

ชายคนนั้นมองหานเซิ่นอย่างเดียวกับที่เขามองออกมาจากรูปภาพ เขายิ้มและถามขึ้นมา
“เจ้าเชื่อว่าโลกนี้มีพระเจ้าไหม?”

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset