Super God Gene – ตอนที่ 2434

คุณหญิงมิร์เรอร์ยังคงมีพลังชีวิตอยู่ ดังนั้นเธอยังไม่ตาย

 

หานเซิ่นหันไปมองเด็กสาวผมทอง เขาสังเกตเห็นว่าเธอหันมามองที่เขาเช่นกัน พวกเขาจ้องกันในระยะที่ห่างกันเพียงแค่หนึ่งก้าวเท่านั้น

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หานเซิ่นสงสัย หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับว่ามันกำลังจะหลุดออกมาจากอกของเขา เขาคิดจะเทเลพอร์ตหนีกลับเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่

 

เด็กสาวผมทองเพิ่งจะฆ่ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าไปอย่างง่ายดาย ดังนั้นการฆ่าหานเซิ่นก็คงจะเป็นอะไรที่ง่ายเหมือนกับการเหยียบแมลงตัวหนึ่ง การพยายามจะต่อสู้กับเธอเป็นการรนหาที่ตาย หานเซิ่นไม่อยากจะตาย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรที่เด็กสาวอาจจะตีความว่าเป็นการรุกราน

 

เมื่อหานเซิ่นมองเข้าไปในดวงตาของเด็กสาว เขาก็ห้ามความอยากที่จะเทเลพอร์ตกลับเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่เอาไว้ เธอไม่ได้ดูมีจิตมุ่งร้ายอะไร

 

แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่สำคัญที่สุด เขาสามารถบอกได้ว่าเด็กสาวนั้นฆ่าเขาได้เร็วกว่าที่เขาจะใช้วิชาโลหิตชีพจรเพื่อเทเลพอร์ตกลับเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่ได้ทัน เธอคงจะตัดหัวของเขาก่อนที่เขาจะใช้ศาสตร์โลหิตชีพจรซะอีก

 

ดังนั้นแทนที่จะหนีหรือต่อสู้ พวกเขาทั้งคู่เพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น หานเซิ่นไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร เขากลัวว่าการเคลื่อนไหวจะทำให้เด็กสาวผมทองโจมตีใส่เขา

 

ขณะนี้เด็กสาวผมทองเพียงแค่ยืนอยู่กับที่ เธอมองมาทางหานเซิ่น แต่ดวงตาของเธอนั้นขาดการโฟกัส มันยากที่จะบอกได้ว่าเธอมองมาที่เขาจริงๆหรือเปล่า

 

หานเซิ่นยังคงนิ่งสนิทขณะที่เหงื่อไหลผ่านคิ้วของเขา เด็กสาวที่น่ากลัวยังคงแข็งทื่อราวกับก้อนหิน พวกเขาจ้องมองกันยาวนานกว่าสิบนาที

 

ถ้าพวกเขาอยู่ในผับหรือบาร์ การจ้องมองหญิงสาวผมทองที่งดงามเป็นอะไรที่เพลิดเพลิน แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในเมืองล้างที่ต้องสาป และหานเซิ่นก็ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่นิดเดียว

 

การมองหญิงสาวที่สวยเป็นเหมือนกับการมองภาพวาดที่งดงาม แต่ในตอนนี้หานเซิ่นหายใจได้อย่างลำบากภายใต้แรงกดดันของสถานการณ์ ทุกวินาทีนั้นยาวนานเหมือนกับศตวรรษ

 

เด็กสาวคนนี้งดงามจริงๆ เธอดูเหมือนกับเจ้าหญิงผมทองจากเทพนิยาย แต่ไม่ว่าเธอจะดูมีเสน่ห์สักแค่ไหน เมื่อคิดถึงเรื่องที่เธอฆ่าเอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าได้อย่างง่ายดาย มันก็ทำให้หานเซิ่นไม่สามารถสงบจิตใจของตัวเองได้

 

‘ขยับสักหน่อยเถอะ แสดงทีท่าให้ฉันได้เห็นสักนิดว่าเธอต้องการจะต่อสู้หรือต้องการจะสงบศึกกันแน่?’ หานเซิ่นคิดอย่างสิ้นหวังขณะเหงื่อไหลลงมาใบหน้าของเขา แต่เด็กสาวยังคงจ้องมองมาที่เขา ดวงตาของเธอยังคงขาดการโฟกัสราวกับว่าเธอกำลังเหม่อลอย

 

หานเซิ่นกัดฟัน เขาค่อยๆขยับเท้าถอยห่างจากเธอ เขาสงสัยว่าจะสามารถเดินถอยออกไปโดยที่ไม่ทำให้เธอรู้สึกตัวได้หรือเปล่า

 

แต่เมื่อหานเซิ่นก้าวขาไปได้เพียงแค่ครึ่งก้าว เด็กสาวผมทองก็ก้าวเข้ามาหาเขาหนึ่งก้าวเต็มๆ เธอเกือบจะชนเข้ากับเขา หานเซิ่นหยุดในทันที ซึ่งทำให้เด็กสาวผมทองหยุดไปด้วยเช่นเดียวกัน

 

ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ใกล้ชิดกันยิ่งกว่าเดิม หานเซิ่นเกือบจะรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเด็กสาว และเขาก็ได้ดมกลิ่นหอมของเธออีกครั้ง

 

หานเซิ่นไม่เคลื่อนไหวและเด็กสาวก็ไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน พวกเขาทั้ง 2 ยังคงจ้องกันและกันต่อไป

 

‘โอ้ไม่นะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? นี่เด็กสาวคนนี้เป็นเจ้าหญิงนิทราอย่างนั้นหรอ? นี่เธอคิดว่าเราหล่อมากจนเธอไม่อยากจะฆ่าเราอย่างนั้นใช่ไหม? นี่หรือว่าเธอต้องการแต่งงานกับเรา? ถ้าเธอต้องการแต่งงานกับฉัน เธอก็แค่บอกฉันมา! อย่าได้เอาแต่ยืนเฉยโดยไม่ทำอะไร นี่มันน่าขนลุก!’
หานเซิ่นคิด ถ้าเด็กสาวนั้นชอบเขา เธอก็ควรจะรวบรวมความกล้าและบอกเขามา

 

ถ้ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ล่ะก็ ความตึงเครียดที่สะสมของหานเซิ่นก็อาจจะระเบิดออกมา เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวไม่สังเกตเห็นถึงความอึดอัดของเขา ดวงตาของเธอยังคงขาดโฟกัส ในตอนที่เธอก้าวมาข้างหน้า ขณะที่เขาก้าวถอยไป มันคงจะเป็นการตอบสนองโดยจิตใต้สำนึก

 

หานเซิ่นไม่รู้ว่าเด็กสาวจะทำอะไรเมื่อเธอตื่นขึ้นมาแล้ว ถ้าเธอทำให้คุณหญิงมิร์เรอร์ได้รับบาดเจ็บและฆ่าไนท์วินด์ไปได้โดยที่ยังไม่มีสติอย่างเต็มที่ล่ะก็ เธอก็เป็นบุคคลที่น่ากลัวมากๆ

 

หลังจากนั้นหานเซิ่นก็จำบางสิ่งขึ้นมาได้ รูปภาพรูปที่ 4 บนฉากกั้นเป็นจริงขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว และเมื่อหานเซิ่นนึกถึงรูปภาพที่ 5 ขึ้นได้ หัวใจของเขาก็เต้นรัวยิ่งกว่าเดิม

 

ในรูปภาพรูปที่ 5 บุคคลไร้ใบหน้าคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น ขณะที่บุคคลไร้ใบหน้า 2 คนกำลังต่อสู้กัน

 

หานเซิ่นสามารถคาดเดาได้ว่าบุคคลไร้ใบหน้าบนพื้นนั้นคงจะเป็นคุณหญิงมิร์เรอร์ ซึ่งนั่นหมายความว่าบุคคลไร้ใบหน้า 2 คนที่ต่อสู้กันก็คือเด็กสาวผมทองกับตัวเขาเอง ถ้าเขาต่อสู้กับใครบางคนที่มีพลังมากอย่างเธอ มันก็ไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะเธอได้

 

เมื่อคิดถึงเรื่องของคุณหญิงมิร์เรอร์ หานเซิ่นก็เหลือบไปมองเธอ สภาพของเธอในตอนนี้ดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก และเธอก็กำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่เธอยังคงนอนอยู่บนพื้น

 

‘ทำไมเธอถึงไม่หนีไป?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง แต่หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจ

 

เธอคงจะจำรูปภาพรูปที่ 5 ได้เช่นเดียวกัน ถ้ารูปภาพรูปที่ 5 เป็นความจริง เธอก็จะปลอดภัยที่สุดโดยการนอนอยู่บนพื้นต่อ ถ้าเธอลุกขึ้นมา บางทีเธออาจจะกลายเป็นคนที่ต้องต่อสู้แทน

 

‘ชั่วร้ายอะไรอย่างนี้’ หานเซิ่นคิด

 

เด็กสาวผมทองยังคงไม่เคลื่อนไหว แต่ดูเหมือนกับว่าดวงตาของเธอเริ่มดูสดใสขึ้น เธอกำลังจะตื่นขึ้นมา

 

หานเซิ่นยังคงคิดกับตัวเอง ‘ถ้ารูปภาพเหล่านี้เป็นความจริง แบบนั้นมันก็เหลือบุคคลไร้ใบหน้าแค่ 2 คนในรูปภาพที่ 6 คนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น ขณะที่อีกคนจะคุกเข่าในท่วงท่าสวดภาวนาต่อหน้ารูปปั้น ไม่รู้ว่าคนที่นอนอยู่บนพื้นจะอยู่หรือตาย แต่ถ้าคนที่นอนบนพื้นยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ มันก็หมายความว่ามีแค่คนเดียวระหว่างเรากับคุณหญิงมิร์เรอร์ที่จะรอดตาย ถ้าระหว่างพวกเรามีเพียงแค่คนเดียวที่จะรอดตายล่ะก็ คุณหญิงมิร์เรอร์จะต้องเป็นคนที่ตาย และเราจะเป็นคนที่รอดไปได้’

 

หานเซิ่นยังคงมั่นใจว่าตัวเองจะหนีรอดไปได้ ที่เขามั่นใจก็เพราะเขายังมีร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดอยู่ ถึงเขาจะไม่สามารถเอาชนะเด็กสาวผมทองได้ แต่เขาก็สามารถใช้ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดเพื่อเป็นอมตะในระยะสั้นๆและหนีกลับเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่

 

หานเซิ่นยังคงครุ่นคิดต่อไป ขณะที่คุณหญิงมิร์เรอร์ยังคงนอนอยู่บนพื้นเพื่อรอคอยโอกาสของตัวเอง ส่วนเด็กสาวผมทองยังคงจ้องมองหานเซิ่น ในตอนนี้ยังไม่มีใครเคลื่อนไหว มันเหมือนกับว่ากาลเวลาหยุดนิ่งไป

 

ดวงตาของเด็กสาวเริ่มจะกลับมามีชีวิตชีวา แต่ด้วยเห็นผลบางอย่างทำให้ตัวตนของเธอดูต่างไปจากเดิม

 

ในตอนแรกที่เธอออกมาจากไข่ เธอดูเหมือนกับเครื่องจักรสังหารที่ไร้ความรู้สึก แต่ในตอนนี้เธอเริ่มดูเหมือนมนุษย์จริงๆ

 

เด็กสาวกระพริบตาเป็นครั้งแรก และหัวใจของหานเซิ่นก็เต้นรัวขึ้นในทันที ตอนนี้เมื่อเด็กสาวตื่นขึ้นมาแล้ว ใครจะรู้ว่าเธอจะทำอะไรต่อไป

 

หลังจากที่เด็กสาวกระพริบตา มันก็ดูเหมือนว่าเธอจะได้สติกลับมาอย่างเต็มที่ เธอเห็นหานเซิ่นและเริ่มจะเคลื่อนไหว เธอกระโดดเข้าใส่หานเซิ่นพร้อมกับเอื้อมมือมาจับที่คอของเขา

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset